No Favorites

สอนโลกุตระธรรมแต่เถียงให้ได้กราบวัตถุต่ำๆ (งง)

พระพุทธ + รูป = พระพุทธรูป แปลว่า ร่างกายของผู้ที่เป็นพระพุทธเจ้า (ต้องเรียกให้ตรง) นับตั้งแต่ตรัสรู้ไปจนถึงนอนปรินิพพานอยู่ที่กุสินารา รูปนั้นถึงจะเรียกว่า พระพุทธรูป เผาแล้วมีพระธาตุ เรียกว่า พระธาตุ คำว่า รูป หมายถึง รูปทั้งหลายทั้งปวง (ร่างกายคนก็เรียกว่ารูป) ดังที่ตรัสไว้ว่า...

รูปใด ๆ จะอยู่ในโลกนี้หรือโลกอื่นและจะอยู่ในอากาศ มีรัศมีรุ่งเรืองก็ตามที่รูปทั้งหมดเหล่านั้น อันมารสรรเสริญแล้ววางดักสัตว์ไว้แล้ว เหมือนเขาใส่เหยื่อล่อเพื่อฆ่าปลา ฉะนั้น

แม้แต่ร่างกายของพระองค์เองที่เป็นพระพุทธรูปที่แท้จริง พระองค์ยังกล่าวว่า เป็นรูปที่น่าเกลียด ซึ่งคนพาลชอบ

...อย่าเลยวักกลิ ประโยชน์อะไรในรูปที่น่าเกลียด ซึ่งคนพาลชอบเล่า ก็บัณฑิตใดเห็นสัทธรรมบัณฑิตนั้นชื่อว่าเห็นเรา ผู้ไม่เห็นสัทธรรม ถึงจะเห็นเราก็ชื่อว่าไม่เห็น

ร่างกายของพระพุทธเจ้า มีในขณะที่ยังมีชีวิตอยู่เท่านั้น แต่เมื่อกายแตกตายไป จะไม่มีอีก

ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย กายของตถาคตมีตัณหาอันจะนำไปสู่ภพขาดแล้ว ยังดำรงอยู่ เทวดาและมนุษย์ทั้งหลายย่อมเห็นตถาคตชั่วเวลาที่กายของตถาคตดำรงอยู่ ต่อเมื่อกายแตกสิ้นชีวิตแล้ว เทวดาและมนุษย์ทั้งหลายจะไม่เห็นตถาคต...

พระพุทธเจ้าตรัสไว้ว่า รูปไหน ๆ ไม่สามารถเปรียบพระองค์ได้

[๑๔๓] ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย บุคคลผู้เอก เมื่อเกิดขึ้นในโลกย่อมเกิดขึ้นเป็นผู้ไม่เป็นที่สองใคร ไม่มีใครเช่นกับพระองค์ ไม่มีใครเปรียบ ไม่มีใครเปรียบเสมอ ไม่มีส่วนเปรียบ ไม่มีบุคคลเปรียบ ไม่มีใครเสมอ เสมอด้วยพระพุทธเจ้าผู้ไม่มีใครเสมอ เป็นผู้เลิศกว่าคนทั้งหลาย บุคคลผู้เอกเป็นไฉน คือ พระตถาคตอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย บุคคลผู้เอกนี้แล เมื่อเกิดขึ้นในโลกย่อมเกิดขึ้นเป็นผู้ไม่เป็นที่สองใคร ไม่มีใครเช่นกับพระองค์ ไม่มีใครเปรียบไม่มีใครเปรียบเสมอ ไม่มีส่วนเปรียบ ไม่มีบุคคลเปรียบ ไม่มีใครเสมอเสมอด้วยพระพุทธเจ้าผู้ไม่มีใครเสมอ เป็นผู้เลิศกว่าสัตว์สองเท้าทั้งหลาย

ทำรูปเปรียบไม่ได้ เพราะรูปเปรียบพระพุทธเจ้าไม่มี (แม้แต่คนทำผิดกฎหมายก็เอาตัวคนเข้าคุก ไม่ได้เอารูปปั้น หรือรูปถ่ายเข้าคุกแทน เพราะมันแทนไม่ได้)

...บทว่า อปฺปฎิโม (ไม่มีผู้เปรียบ) ความว่า อัตภาพเรียกว่ารูปเปรียบ ชื่อว่าไม่มีผู้เปรียบ เพราะรูปเปรียบอื่นเช่นกับอัตภาพของท่านไม่มี อีกอย่างหนึ่ง มนุษย์ทั้งหลายกระทำรูปเปรียบใดล้วนแล้วด้วยทองและเงินเป็นต้น ในบรรดารูปเปรียบเหล่านั้น ชื่อว่าผู้สามารถกระทำโอกาสแม้สักเท่าปลายขนทรายให้เหมือนอัตภาพของพระตถาคต ย่อมไม่มี เพราะเหตุนั้น จึงชื่อว่าไม่มีผู้เปรียบแม้โดยประการทั้งปวง... [อธิบายเพิ่ม: ปฺปฎิโม (ปฏิมากรรม) คือ การปั้น หรือ การสร้างรูปทรง อปฺปฎิโม คือสิ่งที่ตรงกันข้าม คือ ปั้นไม่ได้ ]

ถ้าไปมีความเห็นว่า รูปปั้นคือรูปเปรียบพระพุทธเจ้า ก็เป็นการกล่าวตู่พระองค์ ด้วยความไม่จริง

ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย คน ๒ จำพวกนี้ย่อมกล่าวตู่ตถาคต ๒ จำพวกเป็นไฉน คือ คนเจ้าโทสะซึ่งมีโทษอยู่ภายใน ๑ คนที่เชื่อโดยถือผิด ๑ ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย คน ๒ จำพวกนี้ ย่อมกล่าวตู่ตถาคต

ไปเห็นว่าวัตถุ หรือ แม้แต่รูปร่างของพระพุทธเจ้า เป็นโลกุตระ...ผิด

... ถือผิด ๆ กล่าวตู่พระตถาคตโดยนัยเป็นต้นว่า ขึ้นชื่อว่าพระพุทธเจ้านั้น เป็นโลกุตระทั้งพระองค์ พระอาการ ๓๒ มีพระเกสาเป็นต้นของพระองค์ล้วนเป็นโลกุตระทั้งนั้น ดังนี้...

พระพุทธเจ้าจะทรงอุบัติ หรือ ยังไม่อุบัติก็ตาม (แม้มีตัวพระพุทธเจ้า หรือ ไม่มี) พุทธะก็ยังมีอยู่ สัจจธรรมก็ยังมีอยู่ พระพุทธเจ้าตรัสรู้บรรลุธรรมนั้น ครั้นตรัสรู้แล้ว ก็เอามาบอก ...

...ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ปฏิจจสมุปบาท เป็นไฉน ? เพราะชาติเป็นปัจจัยจึงมีชรามรณะ พระตถาคตทรงอุบัติก็ตาม ยังไม่ทรงอุบัติก็ตาม ธาตุนั้นเป็นธรรมฐิติ - ยังตั้งอยู่โดยธรรมดา เป็นธรรมนิยาม - ความแน่นอนอยู่โดยธรรมดา เป็นอิทัป-ปัจจยตา - ความอาศัยกันเกิดขึ้นยังคงมีอยู่ พระตถาคตตรัสรู้บรรลุธรรมนั้น ครั้นตรัสรู้แล้ว บรรลุแล้ว ทรงบอก ทรงแสดง ทรงบัญญัติ ทรงตั้งทรงเปิดเผย ทรงจำแนก ทรงทำให้ง่าย ตรัสว่าพวกเธอจงเห็น ดังนี้...

กล่าวตู่พระพุทธเจ้าบาปมาก

...ดูก่อนโมฆบุรุษ ก็เมื่อเป็นดังนั้น เธอกล่าวตู่เราด้วยขุดตนเสียด้วย จะประสบบาปมิใช่บุญมากด้วย เพราะทิฏฐิที่ตนถือชั่วแล้วดูก่อนโมฆบุรุษ ก็ความเห็นนั้นของเธอจักเป็นไปเพื่อโทษไม่เป็นประโยชน์ เพื่อทุกข์ตลอดกาลนาน...

ไม่พิจารณาไตร่ตรอง แล้วเกิดความเลื่อมใสในฐานะอันไม่เป็นที่ตั้งแห่งความเลื่อมใส...ปาบมาก

ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย อสัตบุรุษผู้เขลา ไม่เฉียบแหลม ประกอบด้วยธรรม ๒ ประการ ย่อมบริหารคนให้ถูกกำจัด ให้ถูกทำลาย เขาย่อมเป็นไปกับด้วยโทษ ถูกผู้รู้ติเตียน ทั้งได้ประสบบาปเป็นอันมากอีกด้วย ธรรม ๒ ประการเป็นไฉน คือ ไม่พิจารณาไตร่ตรองแล้ว เกิดเลื่อมใสในฐานะอันไม่เป็นที่ตั้งแห่งความเลื่อมใส ๑ ไม่พิจารณาไตร่ตรองแล้ว เกิดไม่เลื่อมใสในฐานะอันเป็นที่ตั้งแห่งความเลื่อมใส ๑ ดูก่อนภิกษุทั้งหลา อสัตบุรุษผู้เขลา ไม่เฉียบแหลม ประกอบด้วยธรรม ๒ ประการนี้แล ย่อมบริหารคนให้ถูกกำจัด ถูกทำลาย เขาย่อมเป็นไปกับด้วยโทษ ถูกผู้รู้ติเตียน ทั้งได้ประสบบาปเป็นอันมากอีกด้วย

ดังนั้น ผู้ที่มีความเห็นตรงจะไม่มองวัตถุรูปปั้นว่าเป็น พระพุทธเจ้า หรือ พระพุทธรูป จะเรียกตามความเป็นจริง เช่น รูปปั้นก็เรียกว่ารูปปั้น เพราะปั้นเอา (Statue หรือ Sculpture) รูปวาดก็เรียกว่ารูปวาด เพราะวาดเอา (Drawing, Painting ...) รูปถ่ายก็เรียกว่ารูปถ่าย เพราะถ่ายเอา (Photograph)... คงไม่มีใครไปแปล รูปปั้น ว่า Buddha body

ดูก่อนภิกษุเพราะเหตุนั้นแหละ เธอจงยังเบื้องต้นแห่งกุศลธรรมทั้งหลายให้บริสุทธิ์ก่อน เบื้องต้นแห่งกุศลธรรมทั้งหลายคืออะไร ? คือศีลอันบริสุทธิ์ดี และความเห็นตรง ดังนี้

ว่าด้วยสัมมาทิฏฐิเป็นนิมิตเบื้องต้นแห่งกุศลธรรมทั้งหลาย

ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย สิ่งที่เริ่มต้นเป็นนิมิตเบื้องต้นแห่งดวงอาทิตย์เมื่อจะอุทัย คือ แสงเงินแสงทอง ฉันใด ดูก่อนภิกษุทั้งหลายสิ่งที่เริ่มต้นเป็นนิมิตเบื้องต้นแห่งกุศลธรรมทั้งหลาย คือ สัมมาทิฏฐิ ฉันนั้น...

บางคนสอนโลกุตระธรรมแต่เถียงให้ได้กราบวัตถุต่ำๆ อันนี้งง เพราะผู้ที่พูดเรื่องธรรมขั้นสูง จะถือวัตถุเป็นสาระ ไม่สมเหตุผล (สอนไม่ให้ยึดมั่นในรูปแต่เถียงให้ยินดีในรูป ซึ่งย้อนแย้งในสิ่งที่ตนเองสอน) แม้แต่วัตถุที่ควรเคารพ ทำความเลื่อมใสแล้วได้บุญ ไม่ว่าจะเป็น ธาตุเจดีย์ หรือ ปริโภคเจดีย์ ก็ตาม มีโอกาสได้ทำความเลื่อมใส ก็ควรทำความเลื่อมใส ไม่ประมาท แต่ไม่ใช่ไปหมกมุ่นอยู่กับวัตถุเหล่านั้น ควรถือธรรมเป็นสาระ แม้แต่บุญที่เกิดจากการทำความเลื่อมใสในเจดีย์ ก็เป็นเพียงแต่โลกียะกุศลเท่านั้น ไม่เป็นสาระในโลกุตระธรม วัตถุรูปปั้นที่ไม่มีใจและไม่เกี่ยวข้องอะไรกับพระพุทธเจ้า ยิ่งไม่ต้องพูดถึง ดังนั้น พระพุทธเจ้าให้มีธรรมเป็นที่พึ่ง

ดูก่อนอานนท์ ก็ภิกษุพวกใดพวกหนึ่ง ในบัดนี้ก็ดี ในกาลที่เราล่วงไปก็ดี จักเป็นผู้มีตนเป็นเกาะ มีตนเป็นที่พึ่ง ไม่มีสิ่งอื่นเป็นที่พึ่ง คือ มีธรรมเป็นเกาะ มีธรรมเป็นที่พึ่ง ไม่มีสิ่งอื่นเป็นที่พึ่งอยู่ พวกภิกษุเหล่านี้นั้นที่เป็นผู้ใคร่ต่อการศึกษา จักเป็นผู้เลิศ

บางคนอ้างท่อนด้านล่างนี้เป็นข้อสนับสนุน เพื่อให้ได้กราบรูปปั้น แต่ในท่อนนี้เขียนชัดเจนว่า ต้นโพธิ์ และตอนนั้น เขาพากันปลูกต้นโพธิ์ ไม่ได้ให้ทำรูปปั้น อ่านยังไงถึงได้ดึงไปเป็นรูปปั้นไปได้ และต้นโพธิ์ก็ต้องเป็นต้นโพธิ์ที่สืบเชื้อสายมาจากต้นมหาโพธิ์ที่พระพุทธเจ้าอาศัยเป็นที่ตรัสรู้ เรียกว่า ปริโภคเจดีย์

...ต้นมหาโพธิ์ที่พระพุทธเจ้าอาศัยเป็นที่ตรัสรู้ ถึงพระพุทธเจ้าจะยังทรงพระชนม์อยู่ก็ตาม ปรินิพพานแล้วก็ตาม เป็นเจดีย์ได้เหมือนกัน พระอานนท์ทูลว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญเมื่อพระองค์เสด็จหลีกไป พระมหาวิหารเชตวันหมดที่พึ่งอาศัย มนุษย์ทั้งหลายไม่ได้สถานที่เป็นที่บูชา ข้าพระองค์จักนำพืชจากต้นมหาโพธิมาปลูกที่ประตูพระเชตวัน พระเจ้าข้า พระศาสดาตรัสว่า ดีแล้วอานนท์ เธอจงปลูกเถิดเมื่อเป็นเช่นนั้น ในพระเชตวันก็จักเป็นดังตถาคตอยู่เป็นนิตย์...

ส่วนอุทเทสิกเจดีย์ก็ไม่มีวัตถุปรากฏ เป็นเพียงเนื่องด้วยตถาคตเท่านั้น แต่คนรุ่นหลัง ให้ความหมายของอุทเทสิกเจดีย์ว่า คือการสร้างรูปปั้นอุทิศพระพุทธเจ้า

...พระศาสดาตรัสว่า อานนท์ สำหรับธาตุเจดีย์ไม่อาจทำได้ เพราะธาตุเจดีย์นั้น จะมีได้ในกาลที่พระพุทธเจ้าปรินิพพานแล้ว สำหรับอุทเทสิกเจดีย์ก็ไม่มีวัตถุปรากฏ เป็นเพียงเนื่องด้วยตถาคตเท่านั้น...

บางคน อ้างว่า กราบรูปปั้นแล้วระลึกถึงพระพุทธเจ้า แต่ทำไม ไม่ระลึกตรงไปเลย เพราะพระพุทธเจ้าตรัสไว้ว่า พระธรรมเป็นทางตรง มีสัมมาทิฏฐินำหน้า

...พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสตอบว่าทางนั้นชื่อว่าเป็นทางตรง ทิศนั้นชื่อว่าไม่มีภัย รถชื่อว่าไม่มีเสียงดัง ประกอบด้วยล้อคือธรรม หิริเป็นฝาของรถนั้นสติเป็นเกราะกั้นของรถนั้น เรากล่าวธรรมมีสัมมาทิฏฐินำหน้าว่าเป็นสารถี ยานชนิดนี้มีอยู่แก่ผู้ใด จะเป็นหญิงหรือชายก็ตามเขา (ย่อมไป) ในสำนักพระนิพพานด้วยยานนี้แหละ...

เวลาระลึกถึงพระพุทธเจ้า ควรระลึกตรงไปเลย ไม่ควรเอาวัตถุมาบัง เพราะจิตเป็นธรรมชาติกลับกลอกเร็ว การบ่มตนเองให้ยึดติด ถือนิมิตในวัตถุ ตายไปวิญญาณก็จะเข้าถึงบาป

...ถ้าสังขารที่เป็นบุญปรุงแต่ง วิญญาณก็เข้าถึงบุญ ถ้าสังขารที่เป็นบาปปรุงแต่ง วิญญาณก็เข้าถึงบาป...

ยึดติดในรูป มีคติที่ไป 2 อย่างคือ นรก หรือ กำเนิดสัตว์เดียรฉาน อย่างใดอย่างหนึ่ง

... ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย บุคคลแทงจักขุนทรีย์ด้วยหลาวเหล็กอันร้อนไฟติดลุกโพลงแล้ว ยังดีกว่า การถือนิมิตโดยอนุพยัญชนะในรูป อันจักขุวิญญาณพึงรู้แจ้ง จะดีอะไร วิญญาณอันตะกรามด้วยความยินดีในนิมิต หรือตะกรามด้วยความยินดีในอนุพยัญชนะ เมื่อตั้งอยู่ก็พึงตั้งอยู่ได้ ถ้าบุคคลพึงทำกาลกิริยาเสียในสมัยนั้นไซร้ ข้อที่บุคคลจะพึงเข้าถึงคติ ๒ อย่าง คือ นรกหรือกำเนิดสัตว์เดียรฉานอย่างใดอย่างหนึ่ง ก็เป็นฐานะที่จะมีได้ ดูก่อนภิกษุทั้งหลายเราเห็นโทษอันนี้ จึงกล่าวอย่างนี้

มีหลายเรื่อง พูดถึงเรื่องการตายคาความอาลัยในสิ่งใด ก็จะได้ไปเกิดอยู่กับสิ่งนั้น เช่น เรื่องนี้

...ท่านแลดูจีวรแล้ว เกิดความเยื่อใยในจีวรนั้นคิดว่า "ในวันพรุ่งนี้ เราจักห่มจีวรนั้น" แล้วพับพาดไว้ที่สายระเดียง ในราตรีนั้น ไม่สามารถให้อาหารที่ฉันแล้วย่อยไปได้ มรณภาพแล้ว เกิดเป็นเล็นที่จีวรนั้นนั่นเอง...

กระทู้เกี่ยวข้อง :  #รู้เรื่องพระพุทธรูปตามความเป็นจริง (หนังสือจาก samyaek.com)  #บุคคลที่จะถือพระรัตนตรัยได้ “อย่างถูกต้อง” ไม่ใช่เรื่องง่ายและมีปริมาณน้อยด้วย  #พระรัตนตรัยไม่ใช่วัตถุ  #พระพุทธเจ้าห้ามปั้นรูปพระองค์ ละเมิดสิ่งที่พระพุทธเจ้าตรัสไว้ ย่อมประสบบาปเป็นอันมาก  #รูปปั้นไม่ใช่ พระธาตุเจดีย์ ปริโภคเจดีย์ และ อุทเทสิกเจดีย์ อย่าเอามาอธิบายปนใส่กันให้เข้าใจผิด  #เจดีย์ทรายไม่ใช่รูปปั้น ไม่ใช่พระพุทธรูป อย่าเอามาอธิบายปนใส่กันให้เข้าใจผิด  #ท่านลกุณฏกภัททิยะเกิดมาเตี้ยเพราะไปทำประมาณของพระพุทธเจ้าผู้หาประมาณมิได้ แล้วผู้ที่สร้างรูปปั้น วาดรูปให้หัวโล้นไปเลยก็มี แบบนี้จะมีผลกรรมอย่างไร  #ความหมายของอุทเทสิกเจดีย์ที่ถูกต้อง  #พระพุทธรูป กับ รูปปั้นต่างกันอย่างไร ?  #ในพุทธานุสติ ไม่มีบอกว่าต้องไปกราบรูปปั้นก่อน