อีกอย่างหนึ่ง เพื่อแสดงการกำหนดอวิชชานั้นเป็นปัจจัย เพราะ
ความที่แม้อวิชชาก็เกิดเพราะปัจจัยท่านจึงกล่าวว่า อุโภเปเต ธมฺมา
ปจฺจยสมุปฺปนฺนาติ ปจฺจยปริคฺคเห ปญฺญา - ปัญญาในการกำหนด
ปัจจัยว่า ธรรมแม้ทั้งสองอย่างนี้ก็เกิดขึ้นแต่ปัจจัย. แม้ในบทที่เหลือ
ก็พึงประกอบอย่างนี้. ส่วนบทว่า ชาติ ปจฺจโย, ชรามรณํ ปจฺจย-
สมุปฺปนฺนํ - ชาติเป็นปัจจัย, ชราและมรณะต่างก็เกิดขึ้นแต่ปัจจัย ท่าน
กล่าวไว้โดยปริยาย. บทว่า อตีตมฺปิ อทฺธานํ ได้แก่ กาลที่ล่วงไป
แล้ว. บทว่า อนาคตมฺปิ อทฺธานํ ได้แก่ กาลที่ยังไม่มาถึง. แม้
ในบททั้งสองก็เป็น ทุติยาวิภัตติ ลงในอรรถแห่งอัจจันตสังโยคะ
คือใช้อายตนิบาตว่า สิ้น.
๙๕ - ๙๗] บัดนี้ พระสารีบุตรละอาการ ๙ เหล่านั้น ใน
ลำดับวาระแห่งอาการ ๙ แล้วประกอบด้วยบทแห่งปัจจัยอาศัยเหตุ แล้ว
ชี้แจงวาระ ๓ มีอาทิว่า อวิชฺชา เหตุ, สงฺขารา เหตุสมุปฺปนฺนํ-
อวิชชาเป็นเหตุ สังขารทั้งหลายอาศัยเหตุเกิดขึ้น ในวาระแห่งอาการ ๙
ท่านกล่าวปัจจัยด้วยสามารถเป็นชนกอุปถัมภกปัจจัย - ปัจจัยอุดหนุนให้
เกิด, ในที่นี้ บทว่า เหตุ ได้แก่ ความเป็นชนกปัจจัย เพราะเหตุ
วาระและปัจจัยวาระมาต่างหากกัน. บทว่า ปจฺจโย พึงทราบความเป็น
อุปถัมภกปัจจัย เพราะปัจจัยมีอวิชชาเป็นต้นแม้อย่างหนึ่ง ๆ ก็เกิดโดย
ประการทั้งสอง.