No Favorites




หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ปฏิสัมภิทามรรค เล่ม ๗ ภาค ๑ – หน้าที่ 645 (เล่ม 68)

อีกอย่างหนึ่ง เพื่อแสดงการกำหนดอวิชชานั้นเป็นปัจจัย เพราะ
ความที่แม้อวิชชาก็เกิดเพราะปัจจัยท่านจึงกล่าวว่า อุโภเปเต ธมฺมา
ปจฺจยสมุปฺปนฺนาติ ปจฺจยปริคฺคเห ปญฺญา - ปัญญาในการกำหนด
ปัจจัยว่า ธรรมแม้ทั้งสองอย่างนี้ก็เกิดขึ้นแต่ปัจจัย. แม้ในบทที่เหลือ
ก็พึงประกอบอย่างนี้. ส่วนบทว่า ชาติ ปจฺจโย, ชรามรณํ ปจฺจย-
สมุปฺปนฺนํ - ชาติเป็นปัจจัย, ชราและมรณะต่างก็เกิดขึ้นแต่ปัจจัย ท่าน
กล่าวไว้โดยปริยาย. บทว่า อตีตมฺปิ อทฺธานํ ได้แก่ กาลที่ล่วงไป
แล้ว. บทว่า อนาคตมฺปิ อทฺธานํ ได้แก่ กาลที่ยังไม่มาถึง. แม้
ในบททั้งสองก็เป็น ทุติยาวิภัตติ ลงในอรรถแห่งอัจจันตสังโยคะ
คือใช้อายตนิบาตว่า สิ้น.
๙๕ - ๙๗] บัดนี้ พระสารีบุตรละอาการ ๙ เหล่านั้น ใน
ลำดับวาระแห่งอาการ ๙ แล้วประกอบด้วยบทแห่งปัจจัยอาศัยเหตุ แล้ว
ชี้แจงวาระ ๓ มีอาทิว่า อวิชฺชา เหตุ, สงฺขารา เหตุสมุปฺปนฺนํ-
อวิชชาเป็นเหตุ สังขารทั้งหลายอาศัยเหตุเกิดขึ้น ในวาระแห่งอาการ ๙
ท่านกล่าวปัจจัยด้วยสามารถเป็นชนกอุปถัมภกปัจจัย - ปัจจัยอุดหนุนให้
เกิด, ในที่นี้ บทว่า เหตุ ได้แก่ ความเป็นชนกปัจจัย เพราะเหตุ
วาระและปัจจัยวาระมาต่างหากกัน. บทว่า ปจฺจโย พึงทราบความเป็น
อุปถัมภกปัจจัย เพราะปัจจัยมีอวิชชาเป็นต้นแม้อย่างหนึ่ง ๆ ก็เกิดโดย
ประการทั้งสอง.

645
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ปฏิสัมภิทามรรค เล่ม ๗ ภาค ๑ – หน้าที่ 646 (เล่ม 68)

พึงทราบวินิจฉัยในปฏิจจวาระดังต่อไปนี้ บทว่า อวิชชา
ปฏิจฺจฺ - อวิชชาอาศัยปัจจัยเป็นไป ความว่า อวิชชา ชื่อว่า ปฏิจฺจา
เพราะต้องถึงต้องไปเฉพาะหน้าด้วยสังขารทั้งหลาย เพราะเพ่งอวิชชา
เป็นเหตุของสังขารทั้งหลายในความเกิดของตน. ด้วยบทนี้เป็นอันท่าน
กล่าวถึงความที่ อวิชชาสามารถให้สังขารเกิด.
บทว่า สงฺขารา ปฏิจฺจสมุปฺปนฺนา - สังขารทั้งหลายอาศัย
อวิชชาเกิดขึ้น ความว่า สังขารทั้งหลายมิได้เกิดขึ้นเสมอโดยมิได้อาศัย
อะไร เพราะต้องอาศัยอวิชชาแล้ว จึงเกิดขึ้นเป็นไปอยู่. แม่ในบท
ที่เหลือก็พึงประกอบโดยสมควรแก่ลิงค์อย่างนี้. อีกอย่างหนึ่งปาฐะว่า
อวิชฺช ปฏิจฺจ - อวิชชาอาศัยปัจจัยเป็นไป ด้วยสามารถความขวนขวาย
แต่ความในบทนี้ พึงประกอบด้วยปาฐะที่เหลือว่า อวิชชาอาศัยปัจจัย
ของตนเป็นไป. แม้ในบทที่เหลือก็อย่างนั้น. ในวาระแม้ ๔ อย่าง
เหล่านี้ ท่านชี้แจงธรรมฐิติญาณด้วยสามารถแห่งองค์ ๑๑ มีอวิชชา
เป็นต้น เพราะธรรมฐิติญาณควรชี้แจง ด้วยสามารถปัจจัยแห่งองค์
ปฏิจจสมุปบาท ๑๒. แต่ท่านไม่ชี้แจงด้วยสามารถชรามรณะนั้น เพราะ
ชรามรณะตั้งอยู่ในที่สุด. ธรรมฐิติญาณด้วยสามารถชรามรณะนั้น ทำ
ชรามรณะให้เป็นปัจจัยแห่งองค์ปฏิจจสมุปบาทเหล่านั้น แล้วพิจารณา
ควรทีเดียว เพราะแท้ชราและมรณะก็เป็นปัจจัยแห่งโสกะ ปริเทวะ ทุกข์
โทมนัสและอุปายาส.

646
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ปฏิสัมภิทามรรค เล่ม ๗ ภาค ๑ – หน้าที่ 647 (เล่ม 68)

๙๘] บัดนี้ พระสารีบุตรประสงค์จะจำแนกองค์ปฏิจจสมุปบาท
๑๒ เหล่านั้น จึงแสดงสังเขป ๔ กาล ๓ สนธิ ๓ ด้วยอาการ ๒๐
แล้วจึงชี้แจงธรรมฐิติญาณ กล่าวบทมีอาทิว่า ปุริมกมฺมภวสฺมึ - ใน
กรรมภพก่อน ดังนี้.
ในบทเหล่านั้น บทว่า ปุริมกมฺมภวสฺมึ ได้แก่ ในกรรมภพ
ก่อน, อธิบายว่า เมื่อทำกรรมภพในอดีตชาติ.
บทว่า โมโห อวิชฺชา - โมหะเป็นอวิชชา ความว่า หลงด้วย
โมหะในทุกข์เป็นต้นแล้วทำกรรม, นั้นคือ อวิชชา.
บทว่า อายูหนา สงฺขารา - กรรมที่ประมวลมาเป็นสังขาร
ความว่า เจตนาก่อนของผู้ทำกรรมนั้น, เจตนาก่อนเกิดขึ้นแก่ผู้คิดว่า
เราจักให้ทานดังนี้ แล้วสละอุปกรณ์การให้เดือนหนึ่งบ้าง ปีหนึ่งบ้าง.
เจตนา ท่านกล่าวว่า ภพ เพราะวางทักษิณาไว้บนมือของ
ปฏิคคาหก. เจตนาในอาวัชชนะ ๑ หรือในชวนะ ๖ ชื่อว่า กรรมที่
ประมวลมาเป็นสังขาร. เจตนาในชวนะที่ ๗ เป็นภพ. อนึ่ง เจตนา
อย่างใดอย่างหนึ่งก็เป็นภพ. ชื่อว่า การประมวลมาเป็นสังขาร เพราะ
สัมปยุตด้วยเจตนานั้น.
บทว่า นีกนฺติ ตณฺหา - ความใคร่เป็นตัณหา ความว่า ความ
ใคร่ ความปรารถนาในอุบัติภพอันเป็นผลของผู้ทำกรรม ชื่อว่า ตัณหา.

647
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ปฏิสัมภิทามรรค เล่ม ๗ ภาค ๑ – หน้าที่ 648 (เล่ม 68)

บทว่า อุปคมนํ อุปาทานํ - ความเข้าถึงเป็นอุปาทาน. ความว่า
การเข้าถึง คือ ความถือมั่นอันเป็นปัจจัยแห่งกรรมภพเป็นไปแล้วว่า
เมื่อทำกรรมนี้จักสำเร็จความประสงค์ ดังนี้ก็ดี เราทำกรรมนี้แล้ว
จักได้เสวยกรรมในฐานะโน้น ดังนี้ก็ดี อัตตาคือตัวตนขาดสูญ ขาดสูญ.-
ด้วยดีแล้วก็ดี มีความสุขปราศจากความเดือดร้อนก็ดี บำเพ็ญศีลพรตได้
โดยสะดวกก็ดี นี้ชื่อว่า อุปาทาน.
บทว่า เจตนา ภโว - เจตนาเป็นภพ ได้แก่ เจตนา ดังกล่าว
แล้ว ในที่สุดแห่งการประมวลมา ชื่อว่า ภพ.
บทว่า ปุริมกมฺมภวสฺมึ - ในกรรมภพก่อน ได้แก่ เมื่อทำ
กรรมภพไว้ในอดีตชาติธรรมเหล่านี้เป็นไปแล้ว. บทว่า อิธ ปฏิสนฺธิยา
ปจฺจยา - ธรรมเหล่านี้เป็นปัจจัยแห่งปฏิสนธิในภพนี้ ได้แก่ เป็น
ปัจจัยแห่งปฏิสนธิในปัจจุบัน.
บทว่า อิธ ปฏิสนฺธิ วิญฺญาณํ - ปฏิสนธิเป็นวิญญาณในภพนี้
ได้แก่ วิญญาณ ที่ท่านกล่าวว่า เป็น ปฏิสนธิ เพราะภพปัจจุบัน
เกิดด้วยสามารถแห่งการสืบต่อกันในระหว่างภพนั้น ชื่อว่า วิญญาณ.
บทว่า โอกฺกนฺติ นามรูปํ - ความก้าวลงเป็นนามรูป ได้แก่
ความก้าวลงในครรภ์แห่ง รูปธรรม และ อรูปธรรม ดุจมาแล้วเข้าไป
นี้ชื่อว่า นามรูป.

648
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ปฏิสัมภิทามรรค เล่ม ๗ ภาค ๑ – หน้าที่ 649 (เล่ม 68)

บทว่า ปสาโท อายตนํ - ประสาทคือความผ่องใส เป็น
อายตนะ ได้แก่ ความที่รูปผ่องใส นี้เป็นอายตนะ. ท่านทำเป็น
เอกวจนะโดยถือเอาชาติ. ด้วยบทนี้ ท่านกล่าวถึงอายตนะ ๕ มีจักขุ
เป็นต้น. พึงทราบว่า แม้มนายตนะเท่านี้ก็กล่าวด้วยคำว่า ปสาทะ
เพราะมนายตนะเป็นวิบากในที่นี้โดยพระบาลีว่า ปภสฺสรมิทํ ภิกฺขเว
จิตฺตํ, ตญฺจ โข อาคนฺคุเกหิ อุปกิเลเสหิ อุปกฺกิลิฏฺฐํ๑ - ดูก่อน
ภิกษุทั้งหลายจิตนี้ประภัสสร, ก็จิตนั้นแลเศร้าหมองด้วยอุปกิเลส
ที่จรมา ดังนี้ ในพระบาลีนี้ ท่านประสงค์เอาภวังคจิต, และเพราะจิตนั้น
ผ่องใสด้วยความไม่มีสิ่งปฏิกูลด้วยกิเลส,
บทว่า ผุฏฺโฐ ผสฺโส - ส่วนที่ถูกต้องเป็นผัสสะ ได้แก่ ส่วน
ที่ถูกต้องกระทบ เกิดอารมณ์ นี้ชื่อว่า ผัสสะ.
บทว่า เวทยิตํ เวทนา - การเสวยอารมณ์เป็นเวทนา ได้แก่
การเสวยวิบากเกิดร่วมกับผัสสะ ด้วยปฏิสนธิวิญญาณก็ดี ด้วยสฬายตนะ
เป็นปัจจัยก็ดี นี้ชื่อว่า เวทนา.
บทว่า อิธุปปตฺติภวสฺมึ ปุเรกตสฺส กมฺมสฺส ปจฺจยา - ธรรม
๕ ประการในกรรมภพก่อน เป็นปัจจัยแก่ปฏิสนธิในอุปปัตติภพนี้
ความว่า ธรรมทั้งหลายย่อมเป็นไปด้วยปัจจัยแห่งกรรมที่ทำไว้ในอดีต
ชาติ อันเป็นวิบากภพในปัจจุบัน.
๑. องฺ. เอกก. ๒๐/๕๐.

649
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ปฏิสัมภิทามรรค เล่ม ๗ ภาค ๑ – หน้าที่ 650 (เล่ม 68)

บทว่า อิธ ปริปกฺกตฺตา อายตนานํ - เพราะอายตนะทั้งหลาย
ในภพนี้แก่รอบ ท่านแสดงโมหะเป็นต้นในการทำกรรมของผู้มีอายตนะ
แก่รอบ.
บทว่า อายตึ ปฏิสนฺธิยา คือเป็นปัจจัยแก่ปฏิสนธิในอนาคต.
บทมีอาทิว่า อายตึ ปฏิสนฺธิ วิญฺณาณํ - ปฏิสนธิในอนาคตเป็น
วิญญาณ มีอรรถดังได้กล่าวแล้ว. ท่านถือเอาอาการ ๒๐ เหล่านี้ ด้วย
องค์แห่งปฏิจจสมุปบาท ๑๒ เป็นอย่างไร ? ท่านกล่าวธรรมทั้ง ๒
เหล่านี้ โดยสรุปว่า อวิชฺชา สงฺขารา ดังนี้ ว่าเป็นเหตุในอดีต.
ก็เพราะไม่รู้แจ้ง จึงสะดุ้ง, สะดุ้งแล้วย่อมถือมั่น, เพราะการถือมั่น
ของบุคคลนั้นเป็นปัจจัย จึงมีภพ, ฉะนั้น จึงเป็นอันท่านถือเอาแม่
ตัณหาอุปาทานและภพ ด้วยการถือเอาธรรมทั้งสอง คือ อวิชชาและ
สังขารเหล่านั้นด้วย. ท่านกล่าวถึงวิญญาณ นามรูป สฬายตนะ
ผัสสะและเวทนา ในปัจจุบันโดยสรุป. ท่านกล่าวตัณหา อุปาทานและ
ภพ ว่าเป็นเหตุในปัจจุบัน โดยสรุป ก็เมื่อถือเอาภพแล้วก็เป็นอัน
ถือเอาสังขารทั้งหลาย อันเป็นส่วนเบื้องต้นของภพนั้นหรือสัมปยุตด้วย
ภพนั้น. อนึ่ง สังขารทั้งหลายสัมปยุตด้วยภพนั้น ด้วยการถือตัณหา
และอุปาทาน. อีกอย่างหนึ่ง ท่านถือเอา ตัณหา ที่คนลุ่มหลงทำ
กรรมว่า เป็น อวิชชา. ท่านกล่าวธรรมทั้ง ๒ ว่า ชาติชรามรณะ
ในอนาคตโดยสรุป, ก็ด้วยการถือเอาชาติชรามรณะนั่นแล จึงเป็นอัน
ท่านถือผลในอนาคต ๕ มีวิญญาณเป็นต้นนั่นเอง. เป็นอันท่านถือเอา

650
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ปฏิสัมภิทามรรค เล่ม ๗ ภาค ๑ – หน้าที่ 651 (เล่ม 68)

อาการ ๒๐ ด้วยองค์ ๑๒ แห่งปฏิจจสมุปบาทเหล่านั้น ด้วยบทว่า
ชาติชรามรณานิ ด้วยประการฉะนี้
อตีเต เหตุโย ปญฺจ อิทานิ ผลปญฺจกํ
อิทานิ เหตุโย ปญฺจ อายตึ ผลปญฺจกํ.
อาการ ๒๐ แห่งปัจจยาการ คือ ธรรม
เป็นอดีตเหตุ ๕ อย่าง ธรรมเป็นปัจจุบันผล ๕ อย่าง
ธรรมเป็นปัจจุบันเหตุ ๕ อย่าง ธรรมเป็นอนาคต
ผล ๕ อย่าง.
ท่านกล่าวความแห่งคาถานั้นไว้แล้ว, บทว่า อิติเม แยกบทเป็น อิติ
เม. ปาฐะว่า อิติ อิเม.
บทว่า จตุสงฺเขเป - มีสังเขป ๔ ได้แก่ มีกอง ๔. ธรรม
เป็นเหตุ ๕ อย่าง ในอดีต เรียกว่า เหตุสังเขป อย่างหนึ่ง. ธรรม
เป็นผล ๕ อย่าง ในปัจจุบันเรียกว่า ผลสังเขป อย่างหนึ่ง. ธรรม
เป็นเหตุ ๕ อย่าง ในปัจจุบัน เรียกว่า เหตุสังเขป อย่างหนึ่ง.
ธรรมเป็นผล ๕ อย่าง ในอนาคต เรียกว่า ผลสังเขป อย่างหนึ่ง.
บทว่า ตโย อทฺเธ ได้แก่ ในกาล ๓. อดีตกาล พึงทราบ
ด้วยสามารถปัญจกะ คือ ธรรมหมวด ๕๑ ที่ ๑, ปัจจุบันกาลพึงทราบ
ด้วยสามารปัญจกะที่ ๒ ที่ ๓, อนาคตกาลพึงทราบด้วยสามารถปัญจกะ
ที่ ๔,
๑. ธรรมหมวด ๕ นี้ คือวิชชา สังขาร ตัณหา อุปาทาน กรรมภพ.

651
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ปฏิสัมภิทามรรค เล่ม ๗ ภาค ๑ – หน้าที่ 652 (เล่ม 68)

บทว่า ติสนฺธึ - สนธิ ๓ ชื่อว่า ติสันธิ เพราะอรรถว่ามี
ปฏิสนธิ ๓, ซึ่งปฏิสนธิ ๓ นั้น อธิบายว่า เหตุผลสนธิ อย่างหนึ่ง
มีในระหว่างแห่ง เหตุอดีต และ ผลปัจจุบัน, ผลเทตุสนธิ อย่าง
หนึ่งมีในระหว่างแห่ง ผลปัจจุบัน และ เหตุอนาคต, เหตุผลสนธิ
อย่างหนึ่งมีในระหว่างแห่ง เหตุปัจจุบัน และ ผลอนาคต.
แต่ด้วยสามารถมาแล้วโดยสรุปใน ปฏิจฺจสมุปฺปาทปาลิ มีดัง
นี้ อวิชชา สังขารา เป็นสังเขปที่ ๑. วิญญาณ นามรูป สฬายตนะ
ผัสส และ เวทนา เป็นสังเขปที่ ๒ ตัณหา อุปาทาน ภพ เป็นสังเขป
ที่ ๓, ชาติ ชรามรณะ เป็นสังเขปที่ ๔. องค์ ๒ คือ อวิชชา และ สังขาร
เป็น อดีตกาล, ธรรม ๘ มี วิญญาณ เป็นต้น มีภพเป็นที่สุด เป็น
ปัจจุบันกาล, องค์ ๒ คือ ชาติ และ ชรามรณะ เป็น อนาคตกาล,
เหตุผลสนธิ อย่างหนึ่งมีในระหว่างแห่ง สังขาร และ วิญญาณ, ผล
เหตุสนธิ อย่างหนึ่งมีในระหว่างแห่งเวทนาและตัณหา, เหตุผลสนธิ
อย่างหนึ่งมีในระหว่างแห่งภพและชาติ.
บทว่า วีสติยา อากาเรหิ - อาการ ๒๐ ได้แก่ โดยส่วน ๒๐.
พึงเชื่อมความว่า พระโยคาวจรย่อมรู้ปฏิจจสมุปบาท มีสังเขป ๔ กาล ๓
สนธิ ๓ ด้วยอาการ ๒๐ ดังนี้.

652
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ปฏิสัมภิทามรรค เล่ม ๗ ภาค ๑ – หน้าที่ 653 (เล่ม 68)

บทว่า ชานาติ ได้แก่ ย่อมรู้ด้วยญาณ คือ การเริ่มเวทนาโดย
ทำนองเดียวกับสุตะ - การฟัง.
บทว่า ปสฺสติ ได้แก่ ย่อมเห็นสิ่งที่รู้แล้วด้วยญาณดุจเห็น
ด้วยตา และทำให้ถูกต้องแล้วดุจมะขามป้อมบนฝ่ามือ.
บทว่า อญฺญาติ - ย่อมรู้ทั่ว ได้แก่ ทำอาเสวนะโดยอาการที่
เห็นแล้ว ชื่อว่า ย่อมรู้ด้วยญาณ. ความแห่งศัพท์ว่า มริยาทะ ในที่นี้
คือ อาการ.
บทว่า ปฏิวิชฺฌติ - ย่อมแทงตลอด ได้แก่ ให้ถึงความสำเร็จ
ด้วยการบำเพ็ญภาวนา ชื่อว่า ทำการแทงตลอดด้วยญาณ. อีกอย่าง
หนึ่งย่อมรู้ ด้วยสามารถแห่งลักษณะ, ย่อมเห็น ด้วยสามารถเป็นไป
กับด้วยกิจ, ย่อมรู้ทั่ว ด้วยสามารถแห่งอาการปรากฏ, ย่อมแทงตลอด
ด้วยสามารถแห่งปทัฏฐาน
ในบทเหล่านั้น บทว่า ปฏิจฺจสมุปฺปาโท พึงทราบว่า ได้แก่ ธรรมเป็นปัจจัย
ธรรมเป็นปัจจัย.
บทว่า ปฏิจฺจสมุปฺปนฺนา ธมฺมา ได้แก่ ธรรมอันเกิดขึ้น
ด้วยปัจจัยนั้น ๆ. หากถามว่า รู้ได้อย่างไร ? แก้ว่า ด้วยพระพุทธ-
พจน์. เพราะพระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสไว้ในเทศนาสูตรที่บัณฑิตกำหนด
ด้วยปฏิจจสมุปปาทะและปฏิจจสมุปปันนธรรมว่า

653
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ปฏิสัมภิทามรรค เล่ม ๗ ภาค ๑ – หน้าที่ 654 (เล่ม 68)

กตโม จ ภิกฺขเว ปฏิจฺจสมุปฺปาโท, ฯปฯ อยํ
วุจฺจติ ภิกฺขเว ปฏิจฺจสมุปปาโท๑.
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ปฏิจจสมุปบาท เป็น
ไฉน ? เพราะชาติเป็นปัจจัยจึงมีชรามรณะ, พระ-
ตถาคตทรงอุบัติก็ตาม ยังไม่ทรงอุบัติก็ตาม ธาตุ
นั้นเป็นธรรมฐิติ - ยังตั้งอยู่โดยธรรมดา เป็นธรรม
นิยาม - ความแน่นอนอยู่โดยธรรมดา เป็นอิทัป-
ปัจจยตา - ความอาศัยกันเกิดขึ้นยังคงมีอยู่, พระ-
ตถาคตตรัสรู้บรรลุธรรมนั้น, ครั้นตรัสรู้แล้ว บรรลุ
แล้ว ทรงบอก ทรงแสดง ทรงบัญญัติ ทรงตั้ง
ทรงเปิดเผย ทรงจำแนก ทรงทำให้ง่าย ตรัสว่า
พวกเธอจงเห็น ดังนี้. ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เพราะ
ชาติเป็นปัจจัยมีชราและมรณะ, เพราะภพเป็น
ปัจจัยจึงมีชราและมรณะ, เพราะอวิชชาเป็นปัจจัย
จึงมีสังขาร. พระตถาคตอุบัติก็ตาม ยังไม่อุบัติ
ตาม ฯลฯ ย่อมทำให้ง่ายตรัสว่า พวกเธอจง
เห็นดังนี้. ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เพราะอวิชชาเป็น
ปัจจัยจึงมีสังขาร. ดูก่อนภิกษุทั้งหลายด้วยประการ
๑. สํ. นิ. ๑๖/๖๑.

654