คำนำ
พระพุทธวจนะ คือ พระไตรปิฎก รวมเป็นศาสนธรรมคำสอน
ของพระพุทธเจ้า จัดเป็นองค์ ๙ คือ สุตตะ ได้แก่อุภโตวิภังค์ นิทเทส
ขันธกะ ปริวาร พระสูตรต่างๆ มีมงคลสูตรเป็นต้น เคยยะ คือพระสูตร
ที่ประกอบไปด้วยคาถาทั้งหมดเวยยากรณะ คือพระอภิธรรมปิฎกทั้งหมด
พระสูตรที่ไม่มีคาถา และพุทธวจนะที่ไม่ได้จัดเข้าในองค์ ๘ ได้ชื่อว่า
เวยยากรณะทั้งหมด คาถา คือพระธรรมบท เถรคาถา เถรีคาถา
และคาถาล้วนๆ ที่ไม่มีชื่อว่าสูตรในสุตตนิบาต อุทาน คือพระสูตร ๘๒ สูตร
ที่พระพุทธเจ้าทรงเปล่งด้วยโสมนัสญาณ อิติวุตตกะ คือพระสูตร 100 สูตร
ที่ขึ้นต้นด้วยคำว่า ข้อนี้สมจริงดังคำที่พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสไว้
ชาดก เป็นการแสดงเรื่องในอดีตชาติของพระพุทธเจ้า
มีอปัณณกชาดกเป็นต้น มีทั้งหมด ๕๕๐ อัพภูตธรรม คือพระสูตร
ที่ปฏิสังยุตด้วยอัจฉริยอัพภูตธรรมทั้งหมดเวทัลละ คือระเบียบคำที่ผู้ถาม
ได้ความรู้แจ้งและความยินดี แล้วถามต่อๆ ขึ้นไป ดังจูฬเวทัลลสูตร
สัมมาทิฏฐิสูตร และสักกปัญหสูตร เป็นต้น พระพุทธวจนะเหล่านี้
โดยสภาพแห่งธรรมแล้ว เป็นสัจธรรมที่ทรงแสดงว่า เป็นธรรมที่ลึกซึ้งรู้ได้
ยาก รู้ตามเห็นตามได้ยาก สงบประณีต ไม่อาจจะรู้ได้ด้วยการตรึก
ละเอียด เป็นธรรมอันบัณฑิตจะรู้ได้ เพราะสภาวะแห่งธรรมมีลักษณะดังกล่าว
จึงจำต้องชี้แจงให้เกิดความเข้าใจทั้งโดยอรรถะ และพยัญชนะ
เพื่อให้สามารถหยั่งรู้ธรรมทั้งหลายตามความเป็นจริงในเรื่องนั้นๆ
เนื่องจากพื้นเพอัธยาศัยของคนแตกต่างกันในด้านต่างๆ ซึ่งทรงอุปมา
ไว้เหมือนดอกบัว ๔ เหล่า พระพุทธเจ้าจึงทรงมีวิธีในการแสดงธรรม
ตามอาการสอนธรรมของพระองค์ ๓ ประการ คือ
๑. ทรงสอนให้ผู้ฟังรู้ยิ่งเห็นจริง ในสิ่งที่ควรรู้ควรเห็น
๒. ทรงแสดงธรรมมีเหตุที่ผู้ฟังอาจตรองตามให้เห็นจริงได้
๓. ทรงแสดงธรรมเป็นอัศจรรย์ คือผู้ปฏิบัติตามจะได้รับประโยชน์
ตามสมควรแก่การประพฤติปฏิบัติ
แต่เพราะพระพุทธเจ้าทรงประกอบด้วยปาฏิหาริย์ ทรงฉลาดในโวหาร
เพราะทรงเป็นเจ้าแห่งธรรม ก่อนจะทรงแสดงธรรมแก่ใคร
ทรงตรวจสอบภูมิหลังด้านต่างๆ ของคนเหล่านั้นด้วยพระญาณแล้ว ผลจาก
การฟังในพุทธสำนึกจึงไม่มีปัญหาว่า คนฟังจะไม่เข้าใจ ผลจากการฟังธรรม
สมัยพุทธกาลจึงมีความอัศจรรย์หลังจากพระพุทธเจ้าปรินิพพานไปแล้ว
ทรงตั้งพระธรรมวินัยไว้เป็นพระศาสดาแทนพระองค์
ธรรมที่ทรงแสดงไว้ยังเป็นเช่นเดิม แต่ระดับสติปัญญา บารมี ความสนใจ
ในธรรมของคนเปลี่ยนแปลงไปทำให้การตีความพระธรรมวินัยตามความ
เข้าใจ ของตนเองเกิดขึ้น จนทำให้สูญเสียความเสมอกันในด้านศีล
และทิฐิครั้งแล้วครั้งเล่า บางสมัยเกิดแตกแยกกัน
เป็นนิกายต่างๆ ถึง ๑๘ นิกาย
พระอรรถกถาจารย์ผู้ทราบพุทธาธิบาย ทั้งโดยอรรถะและพยัญชนะแห่ง
พระพุทธวจนะ เพราะการศึกษาจำต้องสืบต่อกันมาตามลำดับ
มีฉันทะอุตสาหะอย่างสูงมากได้อรรถาธิบายพระพุทธวจนะ ในพระไตรปิฎก
ส่วนที่ยากแก่การเข้าใจให้เกิดความเข้าใจง่ายขึ้นสำหรับผู้ศึกษาและปฏิบัติ
ความสำคัญแห่งคัมภีร์ในพระพุทธศาสนาจึงมีลดหลั่นกันลงมา คือ
๑. พระสูตร คือพระพุทธวจนะที่เรียกว่า พระไตรปิฎกทั้งพระวินัยปิฎก
พระสุตตันตปิฎก และ พระอภิธรรมปิฎก
๒. สุตตานุโลม คือพระคัมภีร์ที่พระอรรถกถาจารย์รจนาขึ้น อธิบายข้อความ
ที่ยากในพระไตรปิฎก
๓. อาจริยวาท วาทะของอาจารย์ต่างๆ ตั้งแต่ชั้นฎีกาอนุฎีกา
และบุรพาจารย์ในรุ่นหลัง
๔. อัตโนมติ ความคิดเห็นของผู้พูด ผู้แสดงธรรมในพระพุทธศาสนา
ในกาลต่อมา มีการอธิบายธรรมประเภทอาจริยวาท คือ ถือตามที่อาจารย์
ของตนสอนไว้ กับอัตโนมติ ว่าไปตามมติของตนกันมากขึ้น ทั้งนี้อาจจะเป็นเพราะ
พระคัมภีร์พระพุทธศาสนาที่เป็นหลักสำคัญ คือ พระไตรปิฎก และอรรถกถามี
ไม่แพร่หลายอรรถกถาส่วนมากยังเป็นภาษาบาลี คนมีฉันทะในภาษาบาลี
น้อยลง สำนวนภาษาบาลีที่แปลออกมาแล้วยากต่อการทำความเข้าใจของคนที่ไม่ได้
ศึกษามาก่อน ขาดกัลยาณมิตรที่เป็นสัตบุรุษในพระพุทธศาสนาเป็นต้น
การอธิบายธรรมที่เป็นผลจากการตรัสรู้ ของพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้านั้น
เป็นอันตรายมาก เพราะโอกาสที่จะเข้าใจผิด พูดผิด ปฏิบัติผิดมีได้ง่าย
พระไตรปิฎกเป็นเหมือนรัฐธรรมนูญ กฎหมายทั่วไป
จะขัดแย้งกับกฎหมายรัฐธรรมนูญไม่ได้ฉันใด การอธิบายธรรมขัดแย้งกับ
พระไตรปิฎกพุทธศาสนิกชนที่ดี ย่อมถือว่าทำไม่ได้เช่นเดียวกันฉันนั้น
เพื่อให้พระพุทธวจนะอันปรากฏในพระไตรปิฎก แพร่หลายออกมา
ในรูปภาษาไทย และให้เกิดความรู้ความเข้าใจพระพุทธศาสนา ตรงตามหลัก
ที่ปรากฏในพระไตรปิฎก และที่พระอรรถกถาจารย์อธิบาย
ไว้ จะได้เกิดทิฏฐิสามัญญตา ความเสมอกันในด้านทิฐิ และ สีลสามัญญตา
ความเสมอกันในด้านศีล ของชาวพุทธทั้งฝ่ายบรรพชิตและคฤหัสถ์
มหามกุฏราชวิทยาลัยจึงได้จัดให้มีการแปลพระไตรปิฎกและอรรถกถาขึ้น
โดยมีหลักการในการดำเนินงานดังต่อไปนี้ คือ
๑. นำเอาพระสูตรและอรรถกถาแห่งพระสูตรนั้นๆ มาพิมพ์เชื่อม
ต่อกันไป เพื่อช่วยให้ท่านที่ไม่เข้าใจข้อความในพระสูตร สามารถหา
คำตอบได้จากอรรถกถาในเล่มเดียวกัน
๒. เนื่องจากพระวินัยปิฎกเป็นเรื่องของพระภิกษุสามเณรโดยเฉพาะ
อรรถกถาพระวินัยได้แปลกัน มากแล้ว พระอภิธรรมปิฎกก็ได้แปลแพร่หลายแล้ว
พร้อมทั้งอรรถกถา แต่มีการศึกษากันในวงจำกัด การทำงานในคราวแรก จึงเริ่มที่
พระสุตตันตปิฎกก่อน โดยเรียงตามลำดับนิกาย
๓. ในการแปลนั้นกำหนดให้ข้อความเป็นภาษาไทยมากที่สุด
ในขณะเดียวกันต้องมองเห็นศัพท์ภาษาบาลีด้วย เพื่อช่วยให้คนที่ไม่
ศึกษาภาษาบาลีอ่านเข้าใจและนักศึกษาภาษาบาลีได้หลักในการสอบทาน
เทียบเคียง
๔. คณะกรรมการผู้ทำงานได้คัดเลือกท่านที่มีความชำนิชำนาญในภาษาบาลี
มีความรักงาน มีความเสียสละ พร้อมที่จะทำงาน เพื่อเป็นพุทธบูชา
๕. ผลงานที่จะพิมพ์ขึ้นมาตามลำดับนั้น พยายามหาผู้ใจบุญช่วย
เสียสละรับหน้าที่เป็นเจ้าภาพใน การพิมพ์แต่ละเล่ม เมื่อพิมพ์เสร็จแล้ว
จัดจำหน่ายด้วยราคาเกินทุนที่ใช้พิมพ์เพียงเล็กน้อยเท่านั้น เพื่อให้ผู้มี
ความสนใจทั่วๆ ไป สามารถซื้อหาไปอ่านได้
งานเหล่านี้จะดำเนินไปโดยลำดับ ตามกำลังทรัพย์และกำลังศรัทธาของท่าน
ที่เห็นผลประโยชน์จากงานนี้จะให้การสนับสนุน
มหามกุฎราชวิทยาลัยหวังว่า งานแปลพระไตรปิฎก อรรถกถา
และปริวรรตอรรถกถาแต่ละเล่ม คงอำนวยประโยชน์ให้แก่พระพุทธศาสนา
พระภิกษุ สามเณร ท่านพุทธศาสนิกชนผู้สนใจในหลักธรรม
และคงเป็นถาวรกรรมอันอำนวยประโยชน์ได้นานแสนนาน
งานในคราวแรกนี้ อาจจะมีความผิดพลาดบกพร่องอยู่บ้าง ซึ่งหวังว่า
คงได้รับความเมตตากรุณาชี้แนะจากท่านผู้รู้ทั้งหลาย เพื่อปรับปรุงแก้ไขให้มี
ความสมบูรณ์ยิ่งขึ้นในโอกาสต่อไป มหามกุฎราชวิทยาลัย ต้องการให้
พระคัมภีร์เล่มนี้ เป็นอนุสรณ์เนื่องในวโรกาสครบ 200 ปี แห่งพระราชวงศ์จักรี
กรุงรัตนโกสินทร์อีกด้วย ขออานุภาพแห่งพระรัตนตรัย ได้ดลบันดาลให้ท่าน
ผู้สนับสนุนในการแปล ปริวรรต ให้ทุน พิมพ์และจัดซื้อพระคัมภีร์แปลเล่มนี้
และเล่มอื่นๆ จงประสบความเจริญในธรรม อันพระผู้มีพระภาคเจ้า
ทรงประกาศไว้ดีแล้วโดยทั่วกัน.
มหามกุฎราชวิทยาลัย
๒๕๒๗