ความหมายที่ว่า พระสูตรที่ตถาคตกล่าวมีอรรถลึกซึ้งจะไม่มีใครอยากฟัง จะไปฟังสูตรที่นักปราชญ์ รจนาไว้ เป็นสาวกภาษิต…
ก็เป็นจริงอย่างนั้น สมัยนี้ผู้คนนิยมฟังธรรมจากตัวบุคคล มากกว่าไปเปิดอ่านในพระไตรปิฎก แล้วพิจารณาให้เข้าใจเนื้อความเหล่านั้น ก็เพราะยึดติดในตัวบุคคล ประเด็นจึงเป็นเรื่องของการยึดติดในตัวบุคคล และเรื่องการใช้ความพิจารณา
...ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย พวกภิกษุในอนาคต เมื่อเขากล่าวพระสูตรที่ตถาคตกล่าวแล้ว อันลึก มีอรรถอันลึก เป็นโลกุตตระ ประกอบด้วยสุญญตธรรมอยู่ จักไม่ปรารถนาฟัง จักไม่เข้าไปตั้งจิตเพื่อรู้ และจักไม่สำคัญธรรมเหล่านั้น ว่าควรเล่าเรียนว่าควรศึกษา แต่ว่าเมื่อเขากล่าวพระสูตรอันนักปราชญ์รจนาไว้ อันนักปราชญ์ร้อยกรองไว้ มีอักษรอันวิจิตร มีพยัญชนะอันวิจิตร เป็นของภายนอก เป็นสาวกภาษิตอยู่ จักปรารถนาฟังด้วยดี จักเงี่ยโสตลงสดับจักเข้าไปตั้งไว้ซึ่งจิตเพื่อรู้ และจักสำคัญธรรมเหล่านั้น ว่าควรเรียนควรศึกษา...
เลือกฟังจากเสียงไพเราะก็มี ก็เป็นอันว่า ได้ฟังแต่เสียงไพเราะอย่างเดียว เท่านั้น
แต่บางคนอ่านพระสูตรนี้ อ่านไม่เข้าใจ หลงกับตัวหนังสือ ก็นำไปอ้างอิงเป็นข้อสนับสนุนความลำเอียงของตนเองแบบผิด ในเรื่องเอาพุทธพจน์ ไม่เอาอรรถกถา