คาม. ท่านพระอานนท์ทูลรับพระดำรัสของพระผู้มีพระภาคเจ้าแล้ว. ลำดับนั้น
พระผู้มีพระภาคเจ้า พร้อมด้วยภิกษุสงฆ์หมู่ใหญ่ เสด็จถึงบ้านภัณฑคามแล้ว.
ได้ยินว่า พระผู้มีพระภาคเจ้าประทับ อยู่ ณ บ้านภัณฑคามนั้น. ณ ที่นั่นแล
พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสกะภิกษุทั้งหลายว่า ภิกษุทั้งหลาย เพราะไม่รู้แจ้ง
แทงตลอดธรรม ๔ ประการ เราและพวกเธอเร่ร่อนเที่ยวไปสิ้นกาลนานอย่างนี้.
๔ ประการเป็นไฉน. เพราะไม่รู้แจ้งแทงตลอดศีลอันเป็นอริยะ เราและพวก
เธอเร่ร่อนเที่ยวไปสิ้นกาลนาน เพราะไม่รู้แจ้งแทงตลอดสมาธิอันเป็นอริยะ. . .
ปัญญาอันเป็นอริยะ . . . วิมุตติอันเป็นอริยะ เราและพวกเธอ จึงเร่ร่อนเที่ยว
ไปสิ้นกาลนานอย่างนี้. ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เราได้รู้แจ้งแทงตลอด ศีลอัน
เป็นอริยะ สมาธิ ปัญญา วิมุตติ อันเป็นอริยะแล้ว ภวตัณหาเราถอนเลียแล้ว
ตัณหาอันจะนำไปสู่ภพสิ้นแล้ว บัดนี้ภพใหม่ไม่มี. พระผู้มีพระภาคเจ้าผู้สุคต
ศาสดา ครั้นได้ตรัสไวยากรณภาษิตนี้แล้ว จึงตรัสคาถาประพันธ์ต่อไปอีกว่า
[๑๑๐] ธรรมเหล่านี้คือ ศีล สมาธิ ปัญญา
วิมุตติอันยอดเยี่ยม อันพระโคดมผู้มียศ
ตรัสรู้แล้ว ดังนั้นพระพุทธเจ้าทรงบอก
ธรรมแก่ภิกษุทั้งหลาย เพื่อความรู้ยิ่ง
พระศาสดาผู้กระทำ ซึ่งที่สุดแห่งทุกข์
มีพระจักษุปรินิพพานแล้ว.
[๑๑๑] ได้ยินว่า พระผู้มีพระภาคเจ้าเมื่อประทับ ณ บ้านภัณฑคามนั้น
ทรงกระทำธรรมีกถานี้แหละเป็นอันมากแก่ภิกษุทั้งหลายว่า อย่างนี้ศีล อย่าง
นี้สมาธิ อย่างนี้ปัญญา สมาธิอันศีลอบรมแล้วมีผลมาก มีอานิสงส์มาก
ปัญญาอันสมาธิอบรมแล้ว มีผลมาก มีอานิสงส์มาก จิตอันปัญญาอบรมแล้ว
ย่อมหลุดพ้นจากอาสวะ โดยชอบคือ กามาสวะ ภวาสวะ อวิชชาสวะ.