No Favorites




หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย จูฬนิเทส เล่ม ๖ – หน้าที่ 729 (เล่ม 67)

คือ สงบ ไม่วุ่นวาย เนื่อง ๆ. บทว่า อนุธมฺมจารี ประพฤติธรรม
สมควร คือปรารภธรรมเหล่านั้นแล้วประพฤติวิปัสสนาธรรมไปตาม
สมควร. อีกอย่างหนึ่ง บทว่า ธมฺมา ได้แก่ โลกุตรธรรม ๙. ชื่อว่า
อนุธมฺโม คือ เพราะเป็นธรรมสมควรแก่โลกุตรธรรมเหล่านั้น. บทนี้
เป็นชื่อของวิปัสสนา. ในบทนั้นเมื่อควรจะกล่าวว่า ประพฤติธรรม
สมควรแก่ธรรมทั้งหลายเป็นนิจ ก็กล่าวเสียว่า ธมฺเมสุ ในธรรมทั้งหลาย
ด้วยการแปลงวิภัตติเพื่อสะดวกในการแต่งคาถา. คือควรจะเป็น ธมฺมานํ
แต่ในคาถาเป็น ธมฺเมสุ. บทว่า อาทีนวํ สมฺมสิตา ภเสุ พิจารณา
เห็นโทษในภพทั้งหลาย คือพิจารณาเห็นโทษมีอาการไม่เที่ยงเป็นต้นใน
ภพ ๓ ด้วยวิปัสสนา อันได้แก่ความเป็นผู้พระพฤติธรรมสมควรแก่ธรรม
นั้น ควรกล่าวว่าท่านได้บรรลุแล้วด้วยปฏิปทา กล่าวคือ กายวิเวก จิตต-
วิเวกและวิปัสสนาอัน ถึงความเป็นยอต้นอย่างนี้. พึงทราบการประกอ
อย่างนี้ว่า เอโก จเร พึงเที่ยวไปผู้เดียว.
จบคาถาที่ ๕
คาถาที่ ๖
๓๖) ตณฺหกฺขยํ ปตฺถยํ อปฺปมตฺโต
อเนลมูโค สุตฺวา สิติมา
สงฺขาตธมฺโม นิยโต ปธานวา
เอโก จเร ขคฺควิสาณกปฺโป.

729
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย จูฬนิเทส เล่ม ๖ – หน้าที่ 730 (เล่ม 67)

พระปัจเจกสัมพุทธเจ้าผู้ปรารถนาความสิ้นตัณหา พึง
เป็นผู้ไม่ประมาท ไม่เป็นคนบ้าและคนใบ้ มีการสดับ
มีสติ มีธรรมอันกำหนดรู้แล้ว เป็นผู้เที่ยง มีความเพียร
พึงเที่ยวไปผู้เดียวเหมือนนอแรดฉะนั้น.
พึงทราบวินิจฉัยในคาถาที่ ๖ ดังต่อไปนี้.
บทว่า ตณฺหกฺขยํ ความสิ้นตัณหา คือนิพพาน. หรือความไม่เป็น
ไปแห่งตัณหา อันมีโทษอันตนเห็นแล้วอย่างนี้นั่นเอง. บทว่า อปฺปมตฺโต
ไม่ประมาท คือเป็นผู้มีปกติทำติดต่อ. บทว่า อเนลมูโค ไม่โง่เขลา
คือไม่ใบ้. อีกอย่างหนึ่ง ไม่บ้าไม่ใบ้. ท่านกล่าวว่า เป็นบัณฑิต เป็น
คนฉลาด. ชื่อว่า มีสุตะ เพราะมีสุตะอันให้ถึงประโยชน์สุข. ท่านกล่าวว่า
เป็นผู้ถึงพร้อมด้วยศึกษา. บทว่า สติมา คือ ระลึกถึงสิ่งที่ทำไว้แล้วแม้
นานเป็นต้นได้. บทว่า สงฺขาตธมฺโม มีธรรมอันนับพร้อมแล้ว คือ
มีธรรมอันกำหนดแล้วด้วยการพิจารณาธรรม. บทว่า นิยโต มีธรรม
อันแน่นอน คือถึงความแน่นอนด้วยอริยมรรค
บทว่า ปธานวา มีความเพียร คือถึงพร้อมด้วยสัมมัปปธาน
(คือความเพียร). พึงประกอบบาทนี้โดยผิดลำดับ. ด้วยว่าผู้ประกอบธรรม
มีความไม่ประมาทเป็นต้นเหล่านี้อย่างนี้แล้ว มีความเพียรด้วยการตั้งใจ
ให้ถึงความแน่นอน ชื่อว่า นิยโต เป็นผู้เที่ยง เพราะมีธรรมอันแน่นอน
คืออริยมรรคอันตนถึงแล้วด้วยความเพียรนั้น ต่อแต่นั้นจึงชื่อว่า มีธรรม
อันกำหนดรู้แล้ว เพราะการบรรลุพระอรหัต. จริงอยู่ พระอรหันต์
ท่านเรียกว่า เป็นผู้มีธรรมอันกำหนดรู้แล้ว เพราะไม่มีธรรมที่จะพึง
กำหนดรู้อีก.

730
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย จูฬนิเทส เล่ม ๖ – หน้าที่ 731 (เล่ม 67)

สมดังที่พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสไว้ว่า ผู้มีธรรมอันกำหนดรู้แล้ว
เป็นเสกขะมีอยู่มากในโลกนี้. บทที่เหลือมีนัยดังกล่าวแล้วนั้นแล.
จบคาถาที่ ๖
คาถาที่ ๗
๓๗ ) สีโหว สทฺเทสุ อสนฺตสนฺโต
วาโตว ชาลมฺหิ อสชฺชมาโน
ปทุมํว โตเยน อลิมฺปมาโน
เอโก จเร ขคฺควิสาณกปฺโป.
พระปัจเจกสัมพุทธเจ้า ไม่สะดุ้งในเพราะเสียง
เหมือนสีหะ ไม่ติดข้อง เหมือนลมไม่ติดข้องที่ตาข่าย
เหมือนดอกบัว ไม่ติดข้องด้วยน้ำฉะนั้น พึงเที่ยวไป
ผู้เดียวเหมือนนอแรดฉะนั้น
พึงทราบวินิจฉัยในคาถาที่ ๗ ดังต่อไปนี้.
บทว่า สีโห ได้แก่ สีหะ ๔ จำพวก คือติณสีหะ ๑ ปัณฑุสีหะ ๑
กาฬสีหะ ๑ ไกรสรสีหะ ๑. ไกรสรสีหะท่านกล่าวว่าเลิศกว่าสีหะเหล่านั้น
ในที่นี้ท่านประสงค์เอาไกรสรสีหะนั้น.
ลมมีหลายชนิด มีลมพัดมาทางทิศตะวันออกเป็นต้น. ดอกบัวมี
หลายชนิด มีดอกบัวสีแดงและดอกบัวสีขาวเป็นต้น. บรรดาลมและดอกบัว
เหล่านั้น ลมชนิดใดชนิดหนึ่ง ดอกบัวชนิดใดชนิดหนึ่ง ควรทั้งนั้น.
เพราะความสะดุ้งย่อมมีด้วยความรักตน. อนึ่ง ความรักตนฉาบด้วยตัณหา.

731
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย จูฬนิเทส เล่ม ๖ – หน้าที่ 732 (เล่ม 67)

แม้ความรักตนนั้นก็ย่อมมีด้วยความโลภ อันสัมปยุตด้วยทิฏฐิ. หรือวิปปยุต
ด้วยทิฏฐิ. ความรักตนนั้นก็คือตัณหานั้นเอง. ความข้องของผู้ปราศจาก
ความสอบสวนย่อมมีด้วยโมหะ อนึ่ง โมหะก็คืออวิชชา. การละตัณหาย่อม
มีด้วยสมถะ. การละอวิชชาย่อมมีด้วยวิปัสสนา. เพราะฉะนั้น พระปัจเจก-
สัมพุทธเจ้าละความรักในคนด้วยสมถะ ไม่สะดุ้งในความไม่เที่ยงและความ
เป็นทุกข์เป็นต้น เหมือนสีหะไม่สะดุ้งในเพราะเสียงทั้งหลาย ละโมหะ
ด้วยวิปัสสนา ไม่ติดในขันธ์และอายตนะเป็นต้น ดุจลมไม่ติในข่าย
ละโลภะและทิฏฐิอันสัมปยุตด้วยโลภะ ด้วยสมถะ ไม่ติดด้วยโลภะอันมี
ความยินดีในภพทั้งปวง เหมือนดอกบัวไม่ติดด้วยน้ำฉะนั้น. ในบทนี้ศีล
เป็นปทัฏฐานแห่งสมถะ สมถะเป็นปทัฏฐานแห่งสมาธิ วิปัสสนา และ
ปัญญา ด้วยประการฉะนี้. เมื่อธรรมสองเหล่านั้นสำเร็จ เป็นอันขันธ์
แม้ ๓ ก็สำเร็จด้วย. ในขันธ์เหล่านั้น ความเป็นผู้กล้าย่อมสำเร็จด้วยศีล
ขันธ์. ย่อมไม่สะดุ้งเพราะความเป็นผู้ใคร่จะโกรธในอาฆาตวัตถุทั้งหลาย
เหมือนสีหะไม่สะดุ้งในเพราะเสียงทั้งหลาย. เป็นผู้มีสภาวะแทงตลอดด้วย
ปัญญาขันธ์ ไม่ติดอยู่ในประเภทแห่งธรรมมีขันธ์เป็นต้น ดุจลมไม่ติด
ในข่าย. เป็นผู้ปราศจากราคะด้วยสมาธิขันธ์ ไม่ติดอยู่ด้วยราคะเหมือน
ดอกบัวไม่ติดอยู่ด้วยน้ำ. พึงทราบว่า พระปัจเจกสัมพุทธเจ้าไม่สะดุ้ง
ไม่ข้อง ไม่ติดด้วยการละอวิชชาตัณหาและอกุศลมูล ๓ ตามที่เกิดด้วย
สมถะและวิปัสสนา และด้วยศีลขันธ์ สมาธิขันธ์และปัญญาขันธ์ ด้วย
ประการฉะนี้.
จบคาถาที่ ๗

732
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย จูฬนิเทส เล่ม ๖ – หน้าที่ 733 (เล่ม 67)

คาถาที่ ๘
๓๘) สีโห ยถา ทาฐพลี ปสยฺห
ราชา มิคานํ อภิภุยฺยจารี
เสเวถ ปนฺตานิ เสนาสนานิ
เอโก จเร ขคฺควิสาณกปฺโป.
พระปัจเจกสัมพุทธเจ้า พึงเสพเสนาสนะอันสงัด
เป็นผู้เที่ยวไปผู้เดียว เช่นกับนอแรด เหมือนราชสีห์มี
เขี้ยวเป็นกำลัง ข่มขี่ครอบงำหมู่เนื้อเที่ยวไปฉะนั้น.
พึงทราบวินิจฉัยในคาถาที่ ๘ ดังต่อไปนี้.
ชื่อว่า สีหะ เพราะอดทน เพราะฆ่าและวิ่งเร็ว. ในที่นี้ประสงค์
เอาไกรสรสีหะ. ชื่อว่า ทาฐพลี เพราะสีหะมีเขี้ยวเป็นกำลัง. บททั้งสอง
คือ ปสยฺห อภิภุยฺห พึงประกอบ จารี ศัพท์เข้าไป เป็น ปสยฺหจารี
เที่ยวข่มขี่ อภิภุยฺยจารี เที่ยวครอบงำ. ในสองบทนั้น ชื่อว่า ปสยฺหจารี
เพราะเที่ยวข่มขี่. ชื่อว่า อภิภุยฺยจารี เพราะเที่ยวครอบงำทำให้หวาด
สะดุ้ง ทำให้อยู่ในอำนาจ. สีหะนั้นเที่ยวข่มขี่ด้วยกำลังกาย เที่ยวครอบงำ
ด้วยเดช. หากใคร ๆ พึงกล่าวว่าเที่ยวข่มขี่ครอบงำอะไร. แต่นั้นพึงทำ
ฉัฏฐีวิภัตติแห่งบทว่า มิคานํ เป็นทุติยาวิภัตติ เปลี่ยนเป็น มิเค ปสยฺห
อภิภุยฺหจารี เที่ยวข่มขี่ครอบงำซึ่งเนื้อทั้งหลาย. บทว่า ปนฺตานิ
อันสงัด คือไกล. บทว่า เสนาสนานิ คือ ที่อยู่. บทที่เหลือสามารถ
จะรู้ได้โดยนัยดังกล่าวในก่อน เพราะเหตุนั้นจึงไม่กล่าวให้พิสดาร.
จบคาถาที่ ๘

733
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย จูฬนิเทส เล่ม ๖ – หน้าที่ 734 (เล่ม 67)

คาถาที่ ๙
๓๙) เมตฺตํ อุเปกฺขํ กรุณํ วิมุตฺตึ
อาเสวมาโน มุทิตญฺจ กาเล
สพฺเพน โลเกน อริรุชฌมาโน
เอโก จเร ขคฺควิสาณกปฺโป.
พระปัจเจกสัมพุทธเจ้าเสพอยู่ซึ่งเมตตา กรุณา
มุทิตา และอุเบกขา อันเป็นวิมุตติตลอดกาล อันสัตว์โลก
ทั้งปวงไม่เกลียดชัง พึงเที่ยวไปผู้เดียวเหมือนนอแรด
ฉะนั้น.
พึงทราบวินิจฉัยในคาถาที่ ๙ ดังต่อไปนี้.
ความเป็นผู้ใคร่เพื่อนำประโยชน์และความสุขเข้าไปให้โดยนัยมีอาทิ
ว่า สพฺเพ สตฺตา สุขิตา ภวนฺตุ ขอสัตว์ทั้งหลายทั้งปวงจงเป็นผู้มีความ
สุขเถิด ดังนี้ ชื่อว่า เมตตา.
ความเป็นผู้ใคร่เพื่อปลดเปลื้องสิ่งไม่เป็นประโยชน์ และความทุกข์
ออกไปโดยนัยมีอาทิว่า อโห วต อิมฺมหา ทุกฺขา วินุจฺเจยฺยุํ โอหนอ
ขอสัตว์ทั้งปวงพึงพ้นจากทุกข์ ดังนี้ ชื่อว่า กรุณา.
ความเป็นผู้ใคร่เพื่อไม่พรากจากประโยชน์สุขโดยนัยมีอาทิว่า ท่าน
ผู้เจริญ สัตว์ทั้งปวงย่อมบันเทิงหนอ ดีละ ขอสัตว์ทั้งปวงจงบันเทิงด้วย
ดีเถิด ชื่อว่า มุทิตา.
ความเป็นผู้เข้าไปเพ่งในสุขและทุกข์ว่า สัตว์ทั้งหลายจักปรากฏด้วย
กรรมของตน ดังนี้ ชื่อว่า อุเบกขา.
ท่านกล่าว เมตตา แล้วกล่าวอุเบกขา มุทิตา ในภายหลังสับลำดับ
กัน เพื่อสะดวกในการแต่งคาถา. บทว่า วิมุตฺตึ อันเป็นวิมุตติ จริงอยู่

734
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย จูฬนิเทส เล่ม ๖ – หน้าที่ 735 (เล่ม 67)

เมตตา กรุณา มุทิตา อุเบกขา ๔ เหล่านี้ ชื่อว่า วิมุตติ เพราะพ้น
จากธรรมเป็นข้าศึกของตน. ด้วยเหตุนั้น ท่านจึงกล่าวว่า
พระปัจเจกสัมพุทธเจ้าเสพเมตตา กรุณา มุทิตาและ
อุเบกขา อันเป็นวิมุตติตลอดกาล ดังนี้
ในบทเหล่านั้น บทว่า อาเสวมาโน เสพอยู่ คือเจริญเมตตา
กรุณา มุทิตา ๓ อย่างด้วยอำนาจแห่งฌานในจตุกกนัย ๓ ฌาน เจริญ
อุเบกขาด้วยอำนาจแห่งจตุตถฌาน. บทว่า กาเล คือ เสพเมตตา ออก
จากเมตตาเสพกรุณา ออกจากกรุณาเสพมุทิตา ออกจากมุทิตาหรือจาก
ฌานอันไม่มีปีติเสพอุเบกขา ท่านกล่าวว่าเสพอยู่ตลอดกาล. หรือเสพ
ในเวลาสบาย. บทว่า สพฺเพน โลเกน อวิรุชฺฌมาโน อันสัตว์โลก
ทั้งมวลมิได้เกลียดชัง คืออันเป็นสัตว์โลกทั้งหมดในสิบทิศไม่เกลียดชัง. สัตว์
ทั้งหลายชื่อว่าเป็นผู้ไม่น่าเกลียด เพราะเป็นผู้เจริญเมตตาเป็นต้น. ความ
ขัดเคืองอันเป็นความพิโรธในสัตว์ทั้งหลายย่อมสงบ. ด้วยเหตุนั้น พระ-
ปัจเจกสัมพุทธเจ้าจึงกล่าวว่า อันสัตว์โลกทั้งมวลไม่เกลียดชังดังนี้ บทที่
เหลือเช่นกับที่ได้กล่าวแล้วนั้นแล.
จบคาถาที่ ๙
คาถาที่ ๑๐
๔๐) ราคญฺจ โทสญฺจ ปหาย โมหํ
สนฺทาลยิตฺวาน สํโยชนานิ

735
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย จูฬนิเทส เล่ม ๖ – หน้าที่ 736 (เล่ม 67)

อสนฺตสํ ชีวิตสงฺขยมฺหิ
เอโก จเร ขคฺควิสาณกปฺโป.
พระปัจเจกสัมพุทธเจ้าละราคะ โทสะ และโมหะแล้ว
ทำลายสังโยชน์ทั้งหลายแล้ว ไม่สะดุ้งในเวลาสิ้นชีวิต
พึงเที่ยวไปผู้เดียวเหมือนนอแรดฉะนั้น.
พึงทราบวินิจฉัยในคาถาที่ ๑๐ ดังต่อไปนี้.
บทว่า สญฺโญชนานิ ได้แก่ สังโยชน์ ๑๐. พระปัจเจกสัมพุทธเจ้า
ทำลายสังโยชน์ ๑๐ เหล่านั้นด้วยมรรคนั้น ๆ. บทว่า อสนฺตสํ ชีวิต-
สงฺขยมฺหิ ไม่สะดุ้งในเวลาสิ้นชีวิต คือความแตกแห่งจุติจิต ท่านเรียกว่า
ความสิ้นชีวิต. พระปัจเจกสัมพุทธเจ้าไม่สะดุ้งในเวลาสิ้นชีวิตนั้น เพราะ
ละความเยื่อใยในชีวิตได้แล้ว พระปัจเจกสัมพุทธเจ้าครั้นแสดงสอุปาทิ-
เสสนิพพานธาตุของคนแล้ว เมื่อจบคาถาก็ได้ปรินิพพานแล้ว ด้วยอนุ-
ปาทิเสสนิพพานธาตุด้วยประการฉะนี้.
จบคาถาที่ ๑๐
คาถาที่ ๑๑
๔๑) ภชนฺติ เสวนฺติ จ การณตฺถา
นิกฺการณา ทุลฺลภา อชฺช มิตฺตา
อตฺตตฺถปญฺญา อสุจี มนุสฺสา
เอโก จเร ขคฺควิสาณกปฺโป.

736
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย จูฬนิเทส เล่ม ๖ – หน้าที่ 737 (เล่ม 67)

บุรุษทั้งหลายผู้ไม่สะอาด มีปัญญามุ่งประโยชน์ตน
ย่อมคบหาสมาคนเพราะมีเหตุเป็นประโยชน์ ผู้ไม่มีเหตุ
มาเป็นมิตร หาได้ยากในทุกวันนี้ บุคคลพึงเที่ยวไป
ผู้เดียวเหมือนนอแรดฉะนั้น.
พึงทราบวินิจฉัยคาถาที่ ๑๑ ดังต่อไปนี้.
บทว่า ภชนฺติ ย่อมคบ คือเข้าไปนั่งชิดกัน. บทว่า เสเวนฺติ
ย่อมเสพ คือย่อมบำเรอด้วยอัญชลีกรรมเป็นต้น และด้วยยอมรับทำ
การงานให้. ชื่อว่า การณฺตถา เพราะมีประโยชน์เป็นเหตุ. อธิบายว่า
ไม่มีเหตุอื่นเพื่อจะคบและเพื่อจะเสพ. ท่านกล่าวว่า ย่อมเสพเพราะ
มีประโยชน์เป็นเหตุ. บทว่า นิกฺการณา ทุลฺลภา อชฺชมิตฺตา มิตรในวันนี้
ไม่มีเหตุหาได้ยาก คือ มิตรในวันนี้ไม่มีเหตุ เพราะเหตุแห่งการได้
ประโยชน์อย่างนี้ว่า เราจักได้อะไรจากมิตรนี้ประกอบด้วยความเป็นมิตร
อันพระอริยะกล่าวไว้อย่างนี้ว่า
มิตรใดมีอุปการะ ๑ มิตรใดร่วมสุขร่วมทุกข์ ๑
มิตรใดแนะนำประโยชน์ ๑ มิตรใดมีความรักใคร่ ๑ ดังนี้.
อย่างเดียว หาได้ยาก ชื่อว่า มิตรในวันนี้. ชื่อว่า อตฺตทตฺถปญฺญา
เพราะมีปัญญาอันสำเร็จประโยชน์ด้วยมุ่งตนเท่านั้น ไม่มุ่งถึงคนอื่น (เห็น
แก่ตัว). นัยว่าคัมภีร์เก่าใช้ว่า ทิฏฺฐตฺถปญฺญา มีปัญญามุ่งประโยชน์
ปัจจุบัน. ท่านอธิบายว่า มีปัญญาเพ่งถึงประโยชน์ที่ตนเห็นเดียวนั้น.
บทว่า อสุจี สกปรก คือ ประกอบด้วยกายกรรม วจีกรรม และมโนกรรม
อันไม่สะอาด คือไม่ประเสริฐ. บทที่เหลือพึงทราบโดยนัยที่กล่าวแล้ว

737
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย จูฬนิเทส เล่ม ๖ – หน้าที่ 738 (เล่ม 67)

ในก่อนนั่นแล. บทใดที่ยังมิได้กล่าวเพราะเกรงว่าจะพิสดารเกินไปใน
ระหว่าง ๆ บทนั้นทั้งหมด พึงทราบตามท่านองแห่งปาฐะนั่นแล.
จบคาถาที่ ๑๑
จบอรรถกถาจตุตถวรรค
จบอรรถกถาขัคควิสาณสุตตนิทเทส
แห่ง
อรรถกถขุททกนิกาย จูฬนิทเทส ชื่อว่าสัทธัมมปัชโชติกา

738