เห็นแล้วดับไป. จากนั้นวิปากมโนธาตุเกิดขึ้นให้สำเร็จ สัมปฏิจฉนกิจ
คือทำหน้าที่รับแล้วดับไป. จากนั้นวิบากมโนวิญญาณธาตุอันเป็นอเหตุกะ
เกิดขึ้นให้สำเร็จ สันตีรณกิจ คือท่าหน้าที่พิจารณาแล้วดับไป. จากนั้น
กิริยามโนวิญาณธาตุอันเป็นอเหตุกะเกิดขึ้น ยัง โวฏฐัพพนกิจ คือการ
ตัดสินอารมณ์ให้สำเร็จแล้วดับไป, ในลำดับนั้นชวนจิตย่อมแล่นไป. แม้
ในขณะนั้นความสำรวมหรือไม่สำรวมย่อมไม่มีในสมัยแห่งภวังคจิต ย่อมไม่
มีในสมัยแห่งจิตทั้งหลายมีอาวัชชนจิตเป็นต้น ในสมัยใดสมัยหนึ่ง แต่
ในขณะแห่งชวนจิต หากว่าความเป็นผู้ทุศีลก็ดี ความเป็นผู้หลงลืมสติก็ดี
ความไม่รู้ก็ดี ความไม่อดทนก็ดี ความเกียจคร้านก็ดี ย่อมเกิดขึ้น ความ
สำรวมย่อมมีไม่ได้. ก็เมื่อเป็นอย่างนี้ ผู้นั้นท่านกล่าวว่าเป็นผู้ไม่สำรวม
ในจักขุนทรีย์. เพราะเหตุไร. เพราะเมื่อความไม่สำรวมนั้นมีอยู่ ทวาร
ก็ดี ภวังตจิตก็ดี วิถีจิตทั้งหลายมีอาวัชชนะเป็นต้นก็ดี ย่อมเป็นอันไม่
สำรวมแล้ว. เปรียบเหมือนอะไร. เปรียบเหมือนเมื่อประตู ๔ ด้านใน
พระนครไม่ปิด ถึงจะปิดเรือนประตูซุ้มและห้องภายในเป็นต้นก็ดี ฉันใด
ถึงอย่างนั้นสิ่งของทั้งหมดภายในพระนครก็เป็นอันเขาไม่รักษา ไม่คุ้มครอง
เหมือนกัน เพราะโจรทั้งหลายเข้าไปทางประตูพระนคร ย่อมฉกฉวยเอา
สิ่งที่ต้องการไปได้ ฉันใด เมื่อความทุศีลเป็นต้นเกิดขึ้นแล้วในชวนจิต
เมื่อความไม่สำรวมนั้น มีอยู่ ทวารก็ดี ภวังค์ก็ดี วิถีจิตทั้งหลายมีอาวัชชน-
จิตเป็นต้นก็ดี ย่อมเป็นอันบุคคลนั้นไม่สำรวมแล้ว ฉันนั้นเหมือนกัน
พึงทราบความในบทมีอาทิว่า จกฺขุนา รูปํ ทิสฺวา น นิมิตฺตคฺคาหี
โหติ ดังต่อไปนี้.
บทว่า น นิมิตฺตคฺคาหี โหติ ไม่ถือนิมิต คือไม่ถือนิมิตดังกล่าว