No Favorites




หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย จูฬนิเทส เล่ม ๖ – หน้าที่ 689 (เล่ม 67)

พึงทราบวินิจฉัยในคาถาที่ ๑ และที่ ๒ แห่งทุติยวรรค ดังต่อไปนี้.
บทว่า นิปกํ ผู้มีปัญญา คือบัณฑิตผู้มีปัญญาตามปกติ ผู้ฉลาดใน
บริกรรมมีกสิณบริกรรมเป็นต้น. บทว่า สาธุวิหารึ มีปกติอยู่ด้วยกรรมดี
คือประกอบด้วยอัปปนา หรืออุปจาร. บทว่า ธีรํ คือ ผู้พร้อมด้วยปัญญา.
ในบทนั้นท่านกล่าวว่า ถึงพร้อมด้วยปัญญา เพราะอรรถว่า เป็นผู้ฉลาด.
แต่ในที่นี้มีความว่า ผู้ถึงพร้อมด้วยปัญญา. ความเป็นผู้มีความเพียรไม่
ย่อหย่อนชื่อว่า ธิติ. บทนี้เป็นชื่อของความเพียร อันเป็นไปอย่างนี้ว่า
กามํ ตโจ นหารุ จ หนังและเอ็นจะแห้งเหือดไปก็ตาม ดังนี้เป็นต้น.
อีกอย่างหนึ่ง ชื่อว่า ธีโร เพราะเป็นผู้เกลียดบาปดังนี้บ้าง. บทว่า ราชาว
รฏฺฐํ วิชิตํ ปหาย ดังพระราชาผู้สละแว่นแคว้นที่พระองค์ทรงชนะแล้ว
คือเหมือนพระราชาผู้เป็นศัตรูทรงทราบว่า แว่นแคว้นที่พระองค์ชนะจะนำ
ความพินาศมาให้ จึงทรงละแว่นแคว้นนั้นเสีย. บทว่า เอโก จเร คือ ละ
สหายผู้เป็นพาลอย่างนี้แล้วพึงเที่ยวไปผู้เดียว. อีกอย่างหนึ่ง. บทว่า ราชาว
รฏฺฐํ มีอธิบายว่า พึงเที่ยวไปผู้เดียว เหมือนพระเจ้าสุตโสมทรงละ
แว่นแคว้นที่พระองค์ชนะแล้ว เสด็จไปพระองค์เดียว และมหาชนกก็เสด็จ
ไปพระองค์เดียวฉะนั้น. บทที่เหลือสามารถรู้ได้โดยทำนองเดียวกับที่กล่าว
แล้ว เพราะเหตุนั้น จึงไม่กล่าวให้พิสดาร. ไม่มีอะไรที่จะพึงกล่าวในนิเทศ.
จบคาถาที่ ๑-๒

689
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย จูฬนิเทส เล่ม ๖ – หน้าที่ 690 (เล่ม 67)

คาถาที่ ๓
๑๓) อทฺธา ปสํสาม สหายสมฺปทํ
เสฏฺฐา สมา เสวิตพฺพา สหายา
เอเต อลทฺธา อนวชฺชโภชี
เอโก จเร ขคฺควิสาณกปฺโป.
เราย่อมสรรเสริญสหายผู้ถึงพร้อมด้วยศีลขันธ์เป็นต้น
พึงคบสหายผู้ประเสริฐสุด ผู้เสมอกัน กุลบุตรไม่ได้สหาย
ผู้ประเสริฐสุด และผู้เสมอกันเหล่านี้แล้ว พึงเป็นผู้บริโภค
โภชนะอันไม่มีโทษ เที่ยวไปผู้เดียวเหมือนนอแรดฉะนั้น.
คาถาที่ ๓ ง่ายโดยความของบท.
พึงทราบ สหายสมฺปทา สหายผู้ถึงพร้อมด้วยธรรมในบทนี้ว่า
สหายสมฺปทํ อย่างเดียว คือสหายผู้ถึงพร้อมด้วยขันธ์มีศีลขันธ์เป็นต้น
แม้เป็นอเสกขะ. แต่ในบทนี้โยชนาแก้ว่า เราสรรเสริญสหายผู้ถึงพร้อม
ด้วยธรรมที่ท่านกล่าวแล้วแน่นอน. ท่านกล่าวว่า เราชมเชยโดยส่วนเดียว
เท่านั้น. ชมเชยอย่างไร ควรคบสหายที่ประเสริฐกว่า หรือเสมอกัน.
เพราะเหตุไร เพราะเมื่อคบผู้ประเสริฐกว่าตนด้วยศีลเป็นต้น ธรรมมีศีล
เป็นต้น ที่ยังไม่เกิดย่อมเกิด ที่เกิดแล้วย่อมถึงความเจริญงอกงามไพบูลย์.
เมื่อคบผู้เสมอกัน ธรรมทั้งหลายที่ได้ด้วยการทรงไว้เสมอกัน และกันด้วย
การบรรเทาความรำคาญแล้วย่อมไม่เสื่อม. เมื่อไม่ได้สหายผู้ประเสริฐกว่า
และเสมอกัน ควรเว้นมิจฉาชีพมีการหลอกลวงเป็นต้น แล้วบริโภค
โภชนะอันเกิดโดยธรรม โดยเสมอ และไม่ยังความคับแค้นให้เกิดขึ้น
บริโภคปัจจัยอัน ไม่มีโทษ กุลบุตรผู้ใคร่ในตน พึงเที่ยวไปผู้เดียวเหมือน

690
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย จูฬนิเทส เล่ม ๖ – หน้าที่ 691 (เล่ม 67)

นอแรดฉะนั้น.จริงอยู่ แม้เราเมื่อเที่ยวไปอย่างนี้ ก็บรรลุถึงสมบัตินี้
ด้วยประการฉะนี้. นิเทศมีนัยดังได้กล่าวแล้วนั่นแล
จบคาถาที่ ๓
คาถาที่ ๔๑
๑๔) ทิสฺวา สุวณฺณสฺส ปภสฺสรานิ
กมฺมารปุตเตน สุนิฏฺฐิตานิ
สงฺฆฏฺฏมานานิ ทุเว ภชสฺมึ
เอโถ จเร ขคฺควิสาณกปฺโป.
บุคคลแลดูกำไลทองทั้งสองอันงามผุดผ่อง ที่บุตร
แห่งนายช่างทองให้สำเร็จดีแล้ว กระทบกันอยู่ในข้อมือ
พึงทราบไปผู้เดียวเหมือนนอแรดฉะนั้น.
พึงทราบวินิจฉัยในคาถาที่ ๔ ดังต่อไปนี้.
บทว่า ทิสฺวา คือ แลดูแล้ว. บทว่า สุวณฺณสฺส คือ แห่ง
ทองคำ. บทว่า วลยานิ กำไลทอง เป็นปาฐะที่เหลือ. เพราะยังมี
ความเหลืออยู่. บทว่า ปภสฺสรานิ คือ สุกปลั่ง. ท่านอธิบายว่า รุ่ง
เรือง. บทที่เหลือมีความของบทง่ายทั้งนั้น. แต่โยชนาแก้ไว้ว่า เราเห็น
กำไลทองที่มือจึงคิดว่า เมื่ออยู่รวมกันเป็นคณะ การเสียดสี การกระทบ
กระทั่งในการอยู่ร่วมกันย่อมมี แต่เมื่ออยู่คนเดียว ความกระทบกระทั่งกัน
ย่อมไม่มี จึงเริ่มวิปัสสนาแล้วบรรลุ. บทที่เหลือมีนัยดังได้กล่าวแล้วนั่นแล.
บทว่า นปูรานิ คือ กำไล. อาจารย์บางพวกกล่าวว่า นิยุรานิ กำไลมือ.
บทว่า ฆฏฺเฏนฺติ เสียดสีกัน คือกระทบกัน.
จบคาถาที่๔
๑. คาถาลำดับที่ ๑๔

691
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย จูฬนิเทส เล่ม ๖ – หน้าที่ 692 (เล่ม 67)

คาถาที่ ๕
๑๕) เอวํ ทุติเยน สหามมสฺส
วาจาภิลาโป อภิสชฺชนา วา
เอตํ ภยํ อายตึ เปกฺขมาโน
เอโก จเร ขคฺควิสาณกปฺโป.
การที่เราจะพึงพูดจากับพระกุมารที่สอง หรือการข้อง
อยู่ด้วยอำนาจแห่งความเยื่อใยพึงมีได้อย่างนี้ บุคคลเล็ง
เห็นภัยนี้ในอนาคต พึงเที่ยวไปผู้เดียวเหมือนนอแรด
ฉะนั้น.
คาถาที่ ๕ ง่ายโดยความของบทนั่นเอง.
แต่ในที่นี้ มีอธิบายดังต่อไปนี้ การพูดด้วยวาจาก็ดี ความเกี่ยวข้อง
ด้วยความรักในสหายนั้นก็ดี กับกุมารผู้เป็นสหายนั้น ผู้บอกความหนาว
และร้อนเป็นต้นพึงมีแก่เรา ผู้สัญญาว่าจะร่วมกัน หากเราไม่สละกุมารผู้
เป็นสหายนี้ แม้ต่อไปการพูดด้วยวาจาก็ดี ความเกี่ยวข้องกัน ก็ดี กับ
สหายพึงมีแก่เราเหมือนในบัดนี้ ทั้งสองนั้นจะทำอันตรายแก่การบรรลุ
คุณวิเศษ เพราะเหตุนั้น เมื่อเราเห็นภัยนี้ ต่อไปจึงทิ้งสหายนั้นเสีย
ปฏิบัติโดยแยบคาย จึงบรรลุปัจเจกโพธิญาณ ด้วยประการฉะนี้ . บทที่
เหลือ มีนัยดังกล่าวแล้วนั่นแล.
จบคาถาที่ ๕

692
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย จูฬนิเทส เล่ม ๖ – หน้าที่ 693 (เล่ม 67)

คาถาที่ ๖
๑๖) กามา หิ จิตฺรา มธุรา มโนรมา
วิรูปรูเปน มเถนฺติ จิตฺตํ
อาทีนวํ กามคุเณสุ ทิสฺวา
เอโก จเร ขคฺควิสาณกปฺโป.
ก็กามทั้งหลายงามวิจิตร มีรสอร่อย เป็นที่รื่นรมย์ใจ
ย่อมย่ำยีด้วยรูปแปลก ๆ บุคคลเห็นโทษในกามคุณ
ทั้งหลายแล้ว พึงเที่ยวไปผู้เดียวเหมืนนอแรดฉะนั้น.
พึงทราบวินิจฉัยในคาถาที่ ๖ ดังต่อไปนี้.
บทว่า กามา กามมี ๒ อย่าง คือวัตถุกามและกิเลสกาม. ในกาม
๒ อย่างนั้น ธรรมมีรูปเป็นต้นอันน่าพอใจ ชื่อว่า วัตถุกาม. กิเลส
ประเภทราคะแม้ทั้งหมด ชื่อว่า กิเลสกาม. แต่ในที่นี้ประสงค์เอาวัตถุกาม.
วัตถุกามทั้งหลายที่ชื่อว่าวิจิตร ก็ด้วยสามารถที่มีเป็นอเนกประการมีรูป
เป็นต้น ชื่อว่า อร่อย ด้วยสามารถทำความชื่นใจให้แก่ชาวโลก ชื่อว่า
มโนรนา เพราะทำใจของปุถุชนผู้โง่เขลาให้รื่นรมย์. บทว่า วิรูปรูเปน
คือ ด้วยรูปแปลก ๆ. ท่านอธิบายว่า ด้วยสภาพหลาย ๆ อย่าง. จริงอยู่
วัตถุกามเหล่านั้นชื่อว่าวิจิตร ก็ด้วยอำนาจแห่งอารมณ์. มีรูปเป็นต้น
ชื่อว่ามีรูปชนิดต่าง ๆ ด้วยรูปที่มีสีเขียวเป็นต้น แม้ในอารมณ์ทั้งหลาย
มีรูปเป็นต้น ย่อมแสดงความชื่นใจโดยประการนั้น ๆ ด้วยอารมณ์ที่
แปลก ๆ นั้นอย่างนั้น ย่อมย่ำยีจิต คือว่า ย่อมไม่ให้จิต (ของบุคคล)
ยินดีในการบรรพชา บทที่เหลือในนิเทศนี้ชัดดีแล้ว แม้บทสรุปก็พึง
ประกอบด้วย ๒ - ๓ บท แล้วพึงทราบโดยนัยดังกล่าวแล้วในคาถาต้น ๆ.

693
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย จูฬนิเทส เล่ม ๖ – หน้าที่ 694 (เล่ม 67)

บทว่า กามคุณา มีอรรถวิเคราะห์ว่า ที่ชื่อว่า กาม เพราะอรรถ
ว่า อันสัตว์พึงใคร่ ชื่อว่า คุณ เพราะอรรถว่า เป็นเครื่องผูก.
คุณ ศัพท์มีอรรถว่า ชั้น มาแล้วในบทนี้ว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย
เราอนุญาตสังฆาฏิ ๒ นั้น แห่งผ้าใหม่ ดังนี้.
คุณ ศัพท์มีอรรถว่า กอง มาแล้วในบทว่า
กาลทั้งหลายย่อมล่วงไป ราตรีย่อมผ่านไป กอง
แห่งวัยย่อมละไปโดยลำดับ ดังนี้.
มีอรรถว่า อานิสงส์ มาแล้วในบทนี้ว่า ทักษิณาพึงหวัง อานิสงส์
๑๐๐.
มีอรรถว่า เป็นเครื่องผูก มาแล้วในบทนี้ว่า ไส้ใหญ่ ไส้น้อย
พึงกระทำการผูกพวงดอกไม้ให้มาก แม้ในนิเทศนี้ก็ประสงค์เอาอรรถว่า
ผูกนี้แล. ด้วยเหตุนั้น ท่านจึงกล่าวว่า ชื่อว่า คุณ ด้วยอรรถว่า เป็น
เครื่องผูก. บทว่า จกฺขุวิญฺเญยฺย คือ พึงเห็นได้ด้วยจักษุวิญญาณ. แม้ใน
โสตวิญญาณเป็นต้น ก็พึงทราบความโดยอุบายนี้. บทว่า อิฏฺฐา น่า
ปรารถนา คือความปรารถนาจงมีก็ตาม จงอย่ามีก็ตาม อธิบายว่า ได้แก่
อารมณ์ที่น่าปรารถนา. บทว่า กนฺตา คือ น่าใคร่. บทว่า มนาปา คือ
น่าเจริญใจ. บทว่า ปิยรูปา คือ น่ารัก. กามูปสญฺหิตา ประกอบด้วย
กาม คือประกอบด้วยกาม อันกระทำกามให้เป็นอารมณ์เกิดขึ้น บทว่า
รชนียา คือ ชวนให้กำหนัด. อธิบายว่า เป็นเหตุให้เกิดความกำหนัด.
พึงทราบความในบทมีอาทิว่า ยทิ มุทฺธาย ดังต่อไปนี้. บทว่า
มุทฺธา คือ การนับด้วยหัวแม่มือ กำหนดความจำในข้อนิ้วมือทั้งหลาย
บทว่า คณนา คือ การนับติดต่อกัน. บทว่า สงฺขานํ การประมาณ

694
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย จูฬนิเทส เล่ม ๖ – หน้าที่ 695 (เล่ม 67)

คือการนับโดยประมาณเอา ได้แก่ การมองดูนาแล้วประมาณเอาว่า ใน
นานี้จักมีข้าวเปลือกประมาณเท่านี้ มองดูต้นไม้แล้วประมาณเอาว่า บน
ต้นไม้ต้นนี้จักมีผลประมาณเท่านี้ มองดูอากาศแล้วประมาณเอาว่า ใน
อากาศนี้ จักมีนกประมาณเท่านี้ดังนี้. บทว่า กสิ คือ กสิกรรม. บทว่า
วณิชฺชา การค้าขาย คือทางที่จะไปค้ามีการเดินเร่ขาย และการค้าขายทาง
บกเป็นต้น. บทว่า โครกฺขํ คือ การเลี้ยงโคของตนหรือของผู้อื่นแล้ว
ดำรงชีวิตด้วยการขายโครส ๕. การถืออาวุธแล้วเฝ้าดูแล ท่านเรียกว่า
อิสฺสตฺถ คือ เป็นนักรบ. บทว่า ราชโปริสํ รับราชการ คือทำ
ราชการโดยไม่มีอาวุธ. บทว่า สิปฺปญฺญตรํ กิจอื่นเป็นบ่อเกิดแห่งศิลป
อย่างใดอย่างหนึ่ง คือศิลปที่เหลือจากที่เรียนไว้ มีศิลปในการเลี้ยงช้างและ
ม้าเป็นต้น. บทว่า สีตสฺส ปุรกฺขโต คือ ทนต่อความหนาวดุจเป้าทน
ต่อลูกศรฉะนั้น อธิบายว่า ถูกความหนาวเบียดเบียน. แม้ในความร้อน
ก็มีนัยนี้เหมือนกัน.
พึงทราบความในบทมีอาทิว่า ฑํส ต่อไป. บทว่า ฑํสา ได้แก่
เหลือบ. บทว่า สิรึสปา ได้แก่ สัตว์เสือกคลาน. บทว่า ปีฬิยมาโน
เบียดเบียน คือทำลายเสียดสี. บทว่า มิยฺยมาโน คือ ให้ตาย. บทว่า
อยํ ภิกฺขเว ความว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย อาพาธนี้มีความหนาวเป็นต้น
เป็นปัจจัย อาศัยการเลี้ยงชีพด้วยศิลปะมีการนับนิ้วมือเป็นต้น . บทว่า
กามานํ อาทีนโว โทษแห่งกามทั้งหลาย ความว่า อันตราย อุปสรรค
ในกามทั้งหลาย. บทว่า สนฺทิฏฺฐิโก คือ เห็นกันได้เอง บทว่า
ทุกฺขกฺขนฺโธ คือ กองทุกข์.

695
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย จูฬนิเทส เล่ม ๖ – หน้าที่ 696 (เล่ม 67)

พึงทราบความในบทว่า กามเหตุ เป็นต้นต่อไป ชื่อว่า กามเหตุ
เพราะมีกามเป็นเหตุ ด้วยอรรถว่า เป็นปัจจัย. ชื่อว่า กามนิทาโน เพราะ
มีกามเป็นนิทาน ด้วยอรรถว่า เป็นรากเหง้า. แต่ท่านกล่าวไว้ในบาลีว่า
กามนิทานํ เพราะลิงค์คลาดเคลื่อนไป. ชื่อว่า กามาธิกรโณ เพราะมี
กามเป็นอธิกรณ์ ด้วยอรรถว่า เป็นเหตุ. ท่านกล่าวไว้ในบาลีว่า กาม-
ธิกรณํ เพราะลิงค์คลาดเคลื่อนไปเหมือนกัน. บทว่า กามานเมว เหตุ
เพราะเหตุแห่งกามทั้งหลายนี้ เป็นนิยมวจนะ คำกำหนดแน่นอน. อธิบายว่า
เกิดเพราะกามเป็นปัจจัย.
บทว่า อุฏฺฐหโต หมั่นอยู่ คือหมั่นด้วยความเพียรในการประกอบ
อาชีพ. บทว่า ฆฏโต คือ ทำความเพียรติดต่อกันไปตั้งแต่ต้นจนถึง
เบื้องปลาย. บทว่า วายมโต คือ ทำความเพียรพยายามให้ก้าวหน้าต่อไป
บทว่า นาภินิปฺผชฺชนฺติ คือ โภคสมบัติเหล่านั้นไม่เจริญ ไม่งอกงาม ใน
ที่นั้น. บทว่า โสจติ คือ ย่อมเศร้าโศก ด้วยความโศกมีกำลังเกิดขึ้นใน
ใจ. บทว่า กิลมติ คือ ย่อมลำบากด้วยทุกข์เกิดขึ้นในกาย. บทว่า
ปริเทวติ คือ ย่อมคร่ำครวญด้วยวาจา. บทว่า อุรตฺตสฬ คือ ทุบอก.
บทว่า กนฺทติ คร่ำครวญ คือร้องไห้. บทว่า สมฺโมหํ อาปชฺชติ ถึง
ความหลงใหล คือมีความหลงใหลเช่นสลบ. บทว่า โมฆํ คือ เปล่า
บทว่า อผโล คือ ไม่มีผล. บทว่า อารกฺขาธิกรณํ คือ เพราะเหตุรักษา.
บทว่า กินฺติ คือ ด้วยอุบายไรหนอ. บทว่า ยมฺปิ เม คือ ทรัพย์ที่เรา
รวบรวมไว้ อันเกิดเพราะทำกสิกรรมเป็นต้น. บทว่า ตมฺ โน นตฺถิ
คือ บัดนี้ทรัพย์ของเราหมดไป.

696
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย จูฬนิเทส เล่ม ๖ – หน้าที่ 697 (เล่ม 67)

พระผู้มีพระภาคเจ้า ครั้นทรงแสดงเหตุด้วยพระดำรัสมีอาทิว่า ปุน
จ ปรํ ภิกฺขเว กามเหตุ ดังนี้ แล้วจึงทรงแสดงถึงโทษทั้งหลายต่อไป.
ในบทเหล่านั้น บทว่า กามเหตุ ความว่า แม้พระราชาทั้งหลายวิวาทกับ
พระราชา ก็เพราะกามเป็นเหตุ. บทว่า กามนิทานํ เป็นภาวนปุงสกลิงค์.
ความว่า วิวาทกัน เพราะกามเป็นนิทาน (เหตุ). แม้บทว่า กามาธิกรณํ
ก็เป็นภาวนปุงสกลิงค์เหมือนกัน. ความว่า วิวาทกันเพราะกามเป็น
อธิกรณ์ (เหตุ). บทว่า กานานเมว เหตุ ความว่า วิวาทกัน เพราะกาม
ทั้งหลาย มีบ้าน นิคม ตำแหน่งเสนาบดี และตำแหน่งปุโรหตเเป็นต้น.
บทว่า อุปกฺกมนฺติ คือ ประหารกัน. บทว่า อสิจมฺมํ คือ ดาบและโล่
เป็นต้น. บทว่า ธนุกลาปํ สนฺนยฺหิตฺวา คือ จับธนูสอดใส่แล่ง. บทว่า
อุภโตพยุฬฺหํ คือ ประชิดกันทั้งสองฝ่าย. บทว่า ปกฺขนฺทนฺติ คือ
เข้าไป. บทว่า อุสูสุ คือ ลูกศร. บทว่า วิชฺโชตลนฺเตสุ คือ ควงดาบ.
บทว่า เต ตตฺถ คือ ชนเหล่านั้น ... ในสงครามนั้น.
อนึ่ง พึงทราบความในบทนี้ว่า อทฺธาวเลปนา อุปการโย ป้อมอัน
มีปูนฉาบทาข้างบน ดังนี้ ต่อไป มนุษย์ทั้งหลายเอาอิฐก่อป้อมโดยสัณฐาน
ดุจกีบม้า แล้วเอาปูนฉาบข้างบนป้อม ที่ทำอย่างนี้ท่านเรียกว่า อุปการิโย
(ป้อมเชิงเทิน). ป้อมเหล่านั้นเอายางไม้และเปือกตมฉาบทาข้างบน จึงชื่อ
ว่า อทฺธาวเลปน ฉาบทาข้างบน. บทว่า ปกฺขนฺทนฺติ วิ่งไป ชนทั้งหลาย
ถูกแทงด้วยหลาวเหล็กและหลาวไม้ที่เขาฝังไว้ข้างใต้ป้อมเหล่านั้น ไม่อาจ
ขึ้นไปได้เพราะกำแพงลื่นจึงวิ่งเข้าไป. บทว่า ฉกณาฏิยา คือ โคมัยที่
น่าเกลียด. บทว่า ภิวคฺเคน ด้วยฟ้าทับเหว คือ ฟ้าทับเหว มีงา ๗ อัน.
คนทั้งหลายทำประตูด้วย ๘ อัน ยืนอยู่ข้างบนประตูตัดเชือกที่ผูกไว้กับ

697
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย จูฬนิเทส เล่ม ๖ – หน้าที่ 698 (เล่ม 67)

ประตูนั้นแล้วทับคนที่มา ด้วยคิดว่า เราจักทำลายประตูเมืองเข้าไปด้วย
ฟ้าทับเหวนั้น. บทว่า สนฺธิมฺปิ ฉินฺทนฺติ คือ โจรทั้งหลายย่อมตัดที่ต่อ
ของเรือนบ้าง. บทว่า นิลฺโปํ ปล้น คือ ประหารชาวบ้านแล้วทำการ
ปล้น . บทว่า เอกาคาริกํ เรือนหลังเดียว คือโจร ๕๐ คนบ้าง ๖๐ คน
บ้าง ล้อมจับเป็นแล้วปล้นเอาทรัพย์ไป. บทว่า ปริปนฺเถปิ ติฏฺฐนฺติ
ยืนดักที่ทางเปลี่ยวบ้าง คือปล้นคนเดินทาง. บทว่า อฑฺฒทณฺฑเกหิ
ด้วยพลอง คือด้วยค้อน. บทที่เหลือมีเนื้อความดังได้กล่าวแล้วนั่นแล.
จบคาถาที่ ๖
คาถาที่ ๗
๑๗ ) อีตี จ คณฺโฑ จ อุปทฺทโว จ
โรโค จ สลฺลญฺจ ภยญฺจ เมตํ
เอตํ ภยํ กามคุเณสุ ทิสฺวา
เอโก จเร ขคฺควิสาณกปฺโป
บุคคลเห็นภัย เป็นเสนียด เป็นดังฝี เป็นอุปัทวะ เป็น
โรค เป็นลูกศร และเป็นภัย บุคคลเห็นภัยนี้ในกามคุณ
ทั้งหลายแล้ว พึงเที่ยวไปผู้เดียวเหมือนนอแรดฉะนั้น.
พึงทราบวินิจฉัยในคาถาที่ ๗ ดังต่อไปนี้.
กามชื่อว่า อีติ เพราะเป็นเสนียด. บทนี้เป็นชื่อของเหตุแห่งความ
พินาศทั้งหลาย อันเป็นส่วนแห่งอกุศลที่จรมา. เพราะฉะนั้น แม้กามคุณ
เหล่านี้ ก็ชื่อว่า อีติ เสนียด เพราะนำมาซึ่งความพินาศไม่น้อย และ

698