คือไม่ถูกความอยากท่วมทับพัวพัน. บทว่า อาทีนวทสฺสาวี มีปกติเห็น
โทษ คือเห็นโทษในการแสวงหาอันไม่สมควร และในการบริโภคด้วย
ความอยาก.
บทว่า นิสฺสรณปญฺโญ มีปัญญาเป็นเครื่องสลัดออก คือรู้การ
สลัดออกดังกล่าวแล้วว่า เพียงเพื่อกำจัดความหนาว. บทว่า อิตรีตร-
จีวรสนฺตุฏฺฐิยา คือ ความสันโดษด้วยจีวรอย่างใดอย่างหนึ่ง. บทว่า
เนวตฺตานุกฺกํเสติ ไม่ยกตน คือพระปัจเจกสัมพุทธเจ้านั้นไม่ยกตน เหมือน
ภิกษุบางรูปในศาสนานี้ยกตนว่า เราเป็นผู้ถือผ้าบังสุกุลเป็นวัตร เราถือ
บังสุกูลิกังคธุดงค์ ในโรงอุปสมบทนั่นแลใครจะเหมือนเราบ้าง. บทว่า
น ปรํ วมฺเภติ ไม่ข่มผู้อื่น คือไม่ข่มผู้อื่นอย่างนี้ว่า ภิกษุรูปอื่น
เหล่านั้นไม่เป็นผู้ถือผ้าบังสกุลเป็นวัตร หรือไม่มีแม้เพียงบังสุกูลิกังคธุดงค์.
บทว่า โย หิ ตตฺถ ทกฺโข ก็พระปัจเจกสัมพุทธเจ้าใดเป็นผู้ขยันในจีวร-
สันโดษนั้น คือพระปัจเจกสัมพุทธเจ้าใด เป็นผู้ขยันฉลาดเฉียบแหลมใน
จีวรสันโดษนั้น หรือในความเป็นผู้กล่าวสรรเสริญสันโดษเป็นต้น. บทว่า
อนลโส ไม่เกียจคร้าน คือปราศจากความเกียจคร้านด้วยทำความเพียร
ติดต่อ. บทว่า สมฺปชาโน ปฏิสฺสโต คือ ประกอบด้วยความรู้สึกตัว
และมีสติ. บทว่า อริยวํเส ิโต คือ ดำรงอยู่ในวงศ์ของพระอริยะ.
บทว่า อิตรีตเรน ปิณฺฑปาเตน คือ ด้วยบิณฑบาตอย่างใดอย่าง
หนึ่ง. แม้ในบทนี้ก็พึงทราบความดังต่อไปนี้ พึงทราบบิณฑบาต พึง
ทราบเขตของบิณฑบาต พึงทราบความสันโดษด้วยบิณฑบาต พึงทราบ
ธุดงค์ที่ปฏิสังยุตด้วยบิณฑบาต.