No Favorites




หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย จูฬนิเทส เล่ม ๖ – หน้าที่ 679 (เล่ม 67)

คือไม่ถูกความอยากท่วมทับพัวพัน. บทว่า อาทีนวทสฺสาวี มีปกติเห็น
โทษ คือเห็นโทษในการแสวงหาอันไม่สมควร และในการบริโภคด้วย
ความอยาก.
บทว่า นิสฺสรณปญฺโญ มีปัญญาเป็นเครื่องสลัดออก คือรู้การ
สลัดออกดังกล่าวแล้วว่า เพียงเพื่อกำจัดความหนาว. บทว่า อิตรีตร-
จีวรสนฺตุฏฺฐิยา คือ ความสันโดษด้วยจีวรอย่างใดอย่างหนึ่ง. บทว่า
เนวตฺตานุกฺกํเสติ ไม่ยกตน คือพระปัจเจกสัมพุทธเจ้านั้นไม่ยกตน เหมือน
ภิกษุบางรูปในศาสนานี้ยกตนว่า เราเป็นผู้ถือผ้าบังสุกุลเป็นวัตร เราถือ
บังสุกูลิกังคธุดงค์ ในโรงอุปสมบทนั่นแลใครจะเหมือนเราบ้าง. บทว่า
น ปรํ วมฺเภติ ไม่ข่มผู้อื่น คือไม่ข่มผู้อื่นอย่างนี้ว่า ภิกษุรูปอื่น
เหล่านั้นไม่เป็นผู้ถือผ้าบังสกุลเป็นวัตร หรือไม่มีแม้เพียงบังสุกูลิกังคธุดงค์.
บทว่า โย หิ ตตฺถ ทกฺโข ก็พระปัจเจกสัมพุทธเจ้าใดเป็นผู้ขยันในจีวร-
สันโดษนั้น คือพระปัจเจกสัมพุทธเจ้าใด เป็นผู้ขยันฉลาดเฉียบแหลมใน
จีวรสันโดษนั้น หรือในความเป็นผู้กล่าวสรรเสริญสันโดษเป็นต้น. บทว่า
อนลโส ไม่เกียจคร้าน คือปราศจากความเกียจคร้านด้วยทำความเพียร
ติดต่อ. บทว่า สมฺปชาโน ปฏิสฺสโต คือ ประกอบด้วยความรู้สึกตัว
และมีสติ. บทว่า อริยวํเส  ิโต คือ ดำรงอยู่ในวงศ์ของพระอริยะ.
บทว่า อิตรีตเรน ปิณฺฑปาเตน คือ ด้วยบิณฑบาตอย่างใดอย่าง
หนึ่ง. แม้ในบทนี้ก็พึงทราบความดังต่อไปนี้ พึงทราบบิณฑบาต พึง
ทราบเขตของบิณฑบาต พึงทราบความสันโดษด้วยบิณฑบาต พึงทราบ
ธุดงค์ที่ปฏิสังยุตด้วยบิณฑบาต.

679
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย จูฬนิเทส เล่ม ๖ – หน้าที่ 680 (เล่ม 67)

ในบทเหล่านั้น บทว่า ปิณฺฑปาโต ได้แก่ บิณฑบาต ๑๖ ชนิด
คือข้าวสุก ๑ ขนมถั่ว ๑ ข้าวตู ๑ ปลา ๑ เนื้อ ๑ นมสด ๑ นมส้ม ๑
เนยใส ๑ เนยข้น ๑ น้ำมัน ๑ น้ำผึ้ง ๑ น้ำอ้อย ๑ ยาคู ๑ ของเคี้ยว ๑
ของลิ้ม ๑ ของเลีย ๑.
บทว่า ปิณฺฑปาตกฺเขตฺตํ คือ เขตของบิณฑบาต ๑๕ ชนิด คือ
สังฆภัต ๑ อุเทศภัต ๑ นิมันตนะ ๑ สลากภัต ๑ ปักขิกะ ๑ อุโปสถิกะ ๑
ปาฏิปทิกะ ๑ อาคันตุกภัต ๑ คมิกภัต ๑ คิลานภัต ๑ คิลานุปัฏฐากภัต ๑
ธุรภัต๑ ๑ กุฏิภัต ๑ วาริกภัต ๑ วิหารภัต ๑.
บทว่า ปิณฺฑปาตสนฺโตโส คือ สันโดษ ๑๕ อย่าง คือวิตักก-
สันโดษ ๑ คมนสันโดษ ๑ ปริเยสนสันโดษ ๑ ปฏิลาภสันโดษ ๑
ปฏิคคหณสันโดษ ๑ มัคคปฏิคคหณสันโดษ ๑ โลลุปปวิวัชชนสันโดษ ๑
ยถาลาภสันโดษ ๑ ยถาพลสันโดษ ๑ ยถาสารุปปสันโดษ ๑ อุปการ-
สันโดษ ๑ ปริมาณสันโดษ ๑ ปริโภคสันโดษ ๑ สันนิธิปริวัชชน-
สันโดษ ๑ วิสัชชนสันโดษ ๑.
ในสันโดษเหล่านั้น ภิกษุผู้ยินดีล้างหน้าแล้วจึงตรึก. อันภิกษุ
ผู้ถือบิณฑบาตเป็นวัตรเที่ยวไปพร้อมกับคณะ ครั้นถึงเวลาอุปัฏฐากพระ-
เถระในตอนเย็น คิดว่าพรุ่งนี้เราจักไปบิณฑบาต ณ ที่ไหน มีผู้ตอบว่า
บ้านโน้นขอรับ ไม่พึงตรึกดังแต่ตอนนั้น. ภิกษุผู้เที่ยวไปรูปเดียวพึง
ยืนตรึกที่โรงสำหรับตรึก. เมื่อตรึกต่อจากนั้น เป็นผู้เคลื่อนจากวงศ์
ของพระอริยะ เป็นบุคคลภายนอกไป. นี้ชื่อว่า วิตักกสันโดษ.
อนึ่ง ภิกษุเข้าไปบิณฑบาต ไม่พึงคิดว่าเราจักได้ที่ไหน ควรไป
โดยยึดกรรมฐานเป็นหลัก. นี้ชื่อว่า คมนสันโดษ.
๑. เหมือนกับ ธุวภัต.

680
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย จูฬนิเทส เล่ม ๖ – หน้าที่ 681 (เล่ม 67)

เมื่อแสวงหาไม่ควรยึดถือใคร ๆ ควรยึดถือภิกษุผู้ละอายผู้มีศีลเป็น
ที่รักเท่านั้นแสวงหา. นี้ชื่อว่า ปริเยสนสันโดษ.
ภิกษุเห็นคนนำอาหารมาแต่ไกล ไม่ควรคิดว่า นั้นดี นั้นไม่ดี.
นี้ชื่อว่า ปฏิลาภสันโดษ. ภิกษุไม่ควรคิดว่าเราจักถือเอาของที่ชอบนี้
จักไม่ถือเอาของที่ไม่ชอบนี้ แล้วพึงถือเอาอย่างใดอย่างหนึ่ง เพียงให้
ชีวิตเป็นไปได้เท่านั้น. นี้ชื่อว่า ปฏิคคหณสันโดษ.
อนึ่ง ในปฏิคคหณสันโดษนี้ ไทยธรรมมาก ผู้ให้ประสงค์จะให้
น้อย พึงถือเอาแต่น้อย. ไทยธรรมมาก แม้ผู้ให้ก็ประสงค์จะให้มาก
ควรถือเอาพอประมาณเท่านั้น. แม้ไทยธรรมก็ไม่มาก แม้ผู้ให้ก็ประสงค์
จะให้แต่น้อย พึงถือเอาแต่น้อย. ไทยธรรมไม่มาก แต่ผู้ให้ประสงค์จะ
ให้มาก ควรถือเอาพอประมาณ.
จริงอยู่ ในการรับ เมื่อไม่รู้จักประมาณ ย่อมลบหลู่ความเลื่อมใส
ของมนุษย์ ย่อมยังศรัทธาไทยให้ตกไป ไม่ทำตามคำสอน ไม่สามารถ
กำหนดจิตแม้ของมารดาบังเกิดเกล้าได้. ครั้นรู้จักประมาณด้วยประการ
ฉะนี้แล้วจึงควรรับ. นี้ชื่อว่า มัตตปฏิคคหณสันโดษ.
ภิกษุไม่ควรไปสู่ตระกูลที่มั่งคั่งเท่านั้น ควรไปตามลำดับประตู
บ้าน. นี้ชื่อว่า โลลุปปวิวัชชนสันโดษ.
ยถาลาภสันโดษเป็นต้นมีนัยดังกล่าวแล้วในจีวรนั่นแล ภิกษุรู้อุป-
การะอย่างนี้ว่า เราฉันอาหารบิณฑบาตแล้วจักรักษาสมณธรรมแล้วจึงฉัน
ชื่อว่า อุปการสันโดษ. แม้อาหารเต็มบาตรแล้วยังมีผู้นำมาก็ไม่ควรรับ.
เมื่อมีอนุปสัมบันไปด้วยควรให้อนุปสัมบันนั้นรับ. เมื่อไม่มี ควรถือเอา
เพียงพอที่จะรับได้ นี้ชื่อว่า ปริมาณสันโดษ. การฉันอย่างนี้ถือเป็นเครื่อง

681
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย จูฬนิเทส เล่ม ๖ – หน้าที่ 682 (เล่ม 67)

บรรเทาความหิว เป็นเครื่องนำทุกข์ออกไป ชื่อว่า บริโภคสันโดษ.
ไม่ควรเก็บไว้ฉันแล้ว ๆ เล่า ๆ. นี้ชื่อว่า สันนิขิปริวัชชนสันโดษ. ไม่
ควรเห็นแก่หน้า ควรตั้งอยู่ในสาราณิยธรรม สละให้. นี้ชื่อว่า วิสัชชน-
สันโดษ.
อนึ่ง ธุดงค์ปฏิสังยุตด้วยบิณฑบาตมี ๕ อย่าง คือบัณฑปาติกังคะ
คือเที่ยวบิณฑบาตเป็นวัตร ๑ สปทานจาริกังคะ คือเที่ยวบิณฑบาตไปตาม
ลำดับตรอกเป็นวัตร ๑ เอกาสนิกังคะ คือนั่งฉัน ณ อาสนะเดียวเป็นวัตร ๑
ปัตตปิณฑิกังคะ คือฉันเฉพาะในบาตรเป็นวัตร ๑ ขลุปัจฉาภัตติกังคะ
คือห้ามภัตที่เขานำมาถวายเมื่อภายหลังเป็นวัตร ๑ พระปัจเจกสัมพุทธเจ้า
บำเพ็ญมหาอริยวงศ์ คือความสันโดษด้วยบิณฑบาต ด้วยประการฉะนี้
ชื่อว่ารักษาธุดงค์ ๕ เหล่านี้. เมื่อรักษาธุดงค์เหล่านี้ ชื่อว่าเป็นผู้สันโดษ
ด้วยอำนาจแห่งมหาอริยวงศ์ คือความสันโดษด้วยบิณฑบาต. บทว่า
วณฺณวาที เป็นต้น พึงทราบโดยนัยดังกล่าวแล้วนั่นแล.
พึงทราบความในบทว่า เสนาสเนน นี้ต่อไป พึงทราบเสนาสนะ
พึงทราบเขตของเสนาสนะ พึงทราบความสันโดษด้วยเสนาสนะ พึงทราบ
ธุดงค์ปฏิสังยุตด้วยเสนาสนะ.
ในบทเหล่านั้น บทว่า เสนาสนํ ได้แก่ เสนาสนะ ๑๕ อย่าง
เหล่านี้ คือ เตียง ๑ ตั่ง ๑ ฟูก ๑ หมอน ๑ วิหาร ๑ เพิง ๑
ปราสาท ๑ ปราสาทโล้น ๑ ถ้ำ ๑ ที่เร้น ๑ ป้อม ๑ เรือนยอดเดียว ๑
ไม้ไผ่ ๑ พุ่มไม้ ๑ โคนไม้ ๑ หรือว่าภิกษุทั้งหลายเข้าไปพักผ่อนในที่ใด
ที่นั่นก็ชื่อว่าเสนาสนะ.
บทว่า เสนาสนกฺเขตฺตํ ได้แก่เขต ๖ อย่าง คือเสนาสนะจาก

682
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย จูฬนิเทส เล่ม ๖ – หน้าที่ 683 (เล่ม 67)

สงฆ์ ๑ จากคณะ ๑ จากญาติ ๑ จากมิตร ๑ จากทรัพย์ของตน ๑
ที่เป็นที่บังสุกุล ๑.
บทว่า เสนาสนสนฺโตโส ได้แก่ สันโดษ ๑๕ มีสันโดษด้วยการ
ตรึกในเสนาสนะเป็นต้น. พึงทราบสันโดษเหล่านั้นโดยนัยดังกล่าวแล้ว
ในบิณฑบาตนั่นแล. อนึ่ง ธุดงค์ ๕ ปฏิสังยุตด้วยเสนาสนะ คืออารัญ-
ญิกังคะ ถืออยู่ป่าเป็นวัตร ๑ รุกขมูลิกังคะ ถืออยู่โคนไม้เป็นวัตร ๑
อัพโภกาสิกังคะ ถืออยู่ในที่แจ้งเป็นวัตร ๑ โสสานิกังคะ ถืออยู่ป่าช้า
เป็นวัตร ๑ ยถาสันถติกังคะ ถือการอยู่ในเสนาสนะตามที่ท่านจัดให้ ๑.
พระปัจเจกสัมพุทธเจ้าบำเพ็ญมหาอริยวงศ์ คือการสันโดษด้วย
เสนาสนะด้วยประการฉะนี้ ชื่อว่าย่อมรักษาธุดงค์ ๕ เหล่านี้. เมื่อรักษา
อย่างนี้ ชื่อว่าเป็นผู้สันโดษด้วยอำนาจแห่งมหาอริยวงศ์ คือการสันโดษ
ด้วยเสนาสนะ.
ท่านพระธรรมเสนาบดีสารีบุตร กล่าวอริยวงศ์คือความสันโดษด้วย
จีวรเป็นข้อที่ ๑ ดุจท่านผู้มีฤทธิ์ขยายแผ่นดินให้กว้าง ดุจยังท้องมหาสมุทร
ให้เต็ม และดุจยังอากาศให้แผ่ขยายออกไปฉะนั้น. กล่าวอริยวงศ์คือความ
สันโดษด้วยบิณฑบาตเป็นข้อที่ ๒. ดุจผู้มีฤทธิ์ทำพระจันทร์ให้ขึ้นและ
ทำพระอาทิตย์ให้ลอยเด่นอยู่ฉะนั้น. กล่าวอริยวงศ์คือความสันโดษด้วย
เสนาสนะเป็นข้อที่ ๓ ดุจยกภูเขาสิเนรุขึ้นฉะนั้น. บัดนี้เพื่อจะกล่าวถึง
อริยวงศ์ คือความสันโดษด้วยคิลานปัจจัย จึงกล่าวคำมีอาทิว่า เป็นผู้
สันโดษด้วยคิลานปัจจัยเภสัชบริขารตามมีตามได้. บทนั้นเป็นไปอย่างเดียว
กับบิณฑบาตนั่นเอง. ในบทนั้นพึงสันโดษด้วยยถาลาภสันโดษ ยถาพล-
สันโดษ และยถาสารุปปสันโดษเหมือนกัน. แต่อริยวงศ์คือมีภาวนา

683
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย จูฬนิเทส เล่ม ๖ – หน้าที่ 684 (เล่ม 67)

เป็นที่มายินดี มิได้มาในบทนี้ ย่อมจัดอริยวงศ์คือมีภาวนาเป็นที่มายินดี
ไว้ในเนสัชชิกังคธุดงค์ การถือการนั่งเป็นวัตร. สมดังที่ท่านกล่าวไว้ว่า
ในเสนาสนะท่านกล่าวธุดงค์ไว้ ๕ ธุดงค์ที่เกี่ยวข้อง
กับอาหารมี ๕ ที่เกี่ยวข้องกับด้วยความเพียรมี ๑ ที่
เกี่ยวข้องกับจีวรมี ๒.
พึงทราบวินิจฉัยในบทนี้ว่า โปราเณ อคฺคญฺเญ อริยวํเส  ิโต
พระปัจเจกสัมพุทธเจ้าดำรงอยู่ในอริยวงศ์ ที่ทราบกันว่าเป็นวงศ์อันเลิศมี
มาแต่โบราณ ดังต่อไปนี้. บทว่า โปราเณ คือ มิใช่เกิดขึ้นเดี๋ยวนี้.
บทว่า อคฺคญฺเญ คือ ที่ทราบกันว่าเป็นวงศ์อันเลิศ. บทว่า อริยวํเส
คือ ในวงศ์ของพระอริยะทั้งหลาย. เหมือนอย่างว่า วงศ์กษัตริย์ วงศ์-
พราหมณ์ วงศ์แพศย์ วงศ์ศูทร วงศ์สมณะ วงศ์สกุล ราชวงศ์ ฉันใด
วงศ์อริยะนี้ก็เป็นวงศ์ที่ ๘ ฉันนั้น ชื่อว่า อริยประเพณี เป็นแบบประเพณี
ของอริยะ. ก็วงศ์นี้นั้นท่านกล่าวว่า เป็นเลิศกว่าวงศ์เหล่านี้ ดุจกลิ่น
กระลำพัก เลิศกว่ากลิ่นรากไม้ทั้งหลายเป็นต้น. วงศ์ของพระอริยะทั้งหลาย
คือใครบ้าง. คือพระพุทธเจ้า พระปัจเจกพุทธเจ้า และพระสาวกของ
พระตถาคต เรียกว่า พระอริยะ. วงศ์ของพระอริยะทั้งหลายเหล่านี้ชื่อว่า
อริยวงศ์.
จริงอยู่ ก่อนแต่นี้ไป พระพุทธเจ้า ๔ พระองค์ คือพระตัณหังกร
พระเมธังกร พระสรณังกร พระทีปังกร ทรงอุบัติในที่สุดสี่แสน-
อสงไขยกัป. ท่านเหล่านั้นก็เป็นอริยะ. วงศ์ของพระอริยะเหล่านั้นก็ชื่อว่า
อริยวงศ์.
ภายหลังแต่พระพุทธเจ้าเหล่านั้นเสด็จปรินิพพาน ล่วงไปตลอด
อสงไขย พระพุทธเจ้าพระนามว่าโกณฑัญญะ ทรงอุบัติ ฯ ล ฯ ในกัปนี้

684
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย จูฬนิเทส เล่ม ๖ – หน้าที่ 685 (เล่ม 67)

พระพุทธเจ้า ๔ พระองค์ คือพระกกุสันธะ พระโกนาคมนะ พระกัสสปะ
และพระผู้มีพระภาคเจ้าพระนามว่าโคดมของพวกเราทรงอุบัติ. วงศ์ของ
พระอริยะเหล่านั้นก็ชื่อว่า อริยวงศ์.
อีกอย่างหนึ่ง วงศ์ของพระอริยะทั้งหลาย คือพระพุทธเจ้า
พระปัจเจกพุทธเจ้า และพระสาวกทั้งหลายทุกพระองค์ ซึ่งมีในอดีต
อนาคตและปัจจุบันก็ชื่อว่า อริยวงศ์. ในพระอริยวงศ์นั้น.
บทว่า  ิโต คือ ตั้งอยู่แล้ว. บทที่เหลือ พึงทราบโดยนัยที่กล่าว
แล้ว.
จบคาถาที่ ๘
คาถาที่ ๙
๙) ทุสฺสงฺคหา ปพฺพชิตาปิ เอเก
อโถ คหฏฺฐา ฆรมาวสนฺตา
อปฺโปสฺสุโก ปรปุตฺเตสุ หุตฺวา
เอโก จเร ขคฺควิสาณกปฺโป.
แม้บรรพชิตบางพวกก็สงเคราะห์ได้ยาก อนึ่ง คฤหัสถ์
ผู้อยู่ครองเรือน ก็สงเคราะห์ได้ยาก บุคคลเป็นผู้มีความ
ขวนขวายน้อยในบุตรของผู้อื่น พึงเที่ยวไปผู้เดียวเหมือน
นอแรดฉะนั้น.
ในคาถาที่ ๙ พึงทราบโยชนาดังต่อไปนี้.
แม้บรรพชิตบางพวก ถูกความไม่สันโดษครอบงำ ก็เป็นคนที่

685
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย จูฬนิเทส เล่ม ๖ – หน้าที่ 686 (เล่ม 67)

สงเคราะห์ได้ยาก และคฤหัสถ์ทั้งหลายผู้ครองเรือนก็เป็นอย่างนั้น เป็น
ผู้อันผู้อื่นสงเคราะห์ยาก. เรารังเกียจความเป็นผู้อันผู้อื่นสงเคราะห์ยากนั้น
จึงปรารภวิปัสสนาแล้วบรรลุ. บทที่เหลือพึงทราบโดยนัยก่อนนั่นแล.
พึงทราบวินิจฉัยในนิเทศต่อไป. บทว่า อนสฺสวา คือ เป็นผู้ไม่
เชื่อฟังถ้อยคำ. บทว่า อวจนกรา ไม่ทำตามคำ คือว่ายาก. บทว่า
ปฏิโลมวุตฺติโน เป็นผู้ประพฤติหยาบ คือมีปกติพูดคำหยาบ. อธิบายว่า
มุ่งต่อสู้ท่าเดียว. บทว่า อญฺเญเนว มุขํ กโรนฺติ เบือนหน้าไปโดยอาการ
อื่น คือเห็นผู้ให้โอวาทแล้วเบือนหน้ามองดูไปทางทิศอื่น. บทว่า
อพฺยาวโฏ หุตฺวา คือ พึงเป็นผู้ไม่ใส่ใจ. บทว่า อนเปกฺโข หุตฺวา คือ
พึงนั้นผู้ไม่ห่วงใย.
จบคาถาที่ ๙
คาถาที่ ๑๐
๑๐) โอโรปยิตฺวา คิหิพฺยญฺชนานิ
สญฺฉินฺนปตฺโต ยถา โกวิฬาโร
เฉตฺวาน ธีโร คิหิพนฺธนานิ
เอโก จเร ขคฺควิสาณกปฺโป.
นักปราชญ์ปลงเสียแล้วซึ่งเครื่องหมายแห่งคฤหัสถ์
ดุจต้นทองหลางที่ขาดใบแล้ว ตัดเครื่องผูกของคฤหัสถ์
ได้แล้ว พึงเที่ยวไปผู้เดียวเหมือนนอแรดฉะนั้น.
พึงทราบวินิจฉัยในคาถาที่ ๑๐ ดังต่อไปนี้.

686
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย จูฬนิเทส เล่ม ๖ – หน้าที่ 687 (เล่ม 67)

บทว่า โอโรปยิตฺวา ปลงเสียแล้ว คือนำออกไปแล้ว. บทว่า
คิหิพฺยญฺชนานิ เครื่องหมายเเห่งคฤหัสถ์ คือเครื่องหมายแห่งความเป็น
คฤหัสถ์มีอาทิ ผม หนวด ผ้าขาว เครื่องประดับ ดอกไม้ ของหอม
เครื่องลูบไล้ หญิง บุตร ทาสหญิง ทาสชาย เพราะฉะนั้น ท่านจึง
กล่าวว่า เครื่องหมายแห่งคฤหัสถ์. บทว่า สญฺฉินฺนปตฺโต ขาดใบ คือ
มีใบร่วงหล่นแล้ว. บทว่า เฉตฺวาน คือ ตัดแล้วด้วยมรรคญาณ. บทว่า
วีโร ผู้เป็นวีรชน คือประกอบแล้วด้วยความเพียรในมรรค. บทว่า
คิหิพนฺธนานิ เครื่องผูกของคฤหัสถ์ ได้แก่ เรื่องผูกคือกาม เพราะว่า
กามเป็นเครื่องผูกของคฤหัสถ์. พึงทราบความแห่งบทเพียงเท่านี้ก่อน.
ต่อไปนี้เป็นคำอธิบาย.
พระปัจเจกสัมพุทธเจ้าดำริอยู่อย่างนี้ว่า ไฉนหนอเราพึงปลงซึ่ง
เครื่องหมายแห่งคฤหัสถ์ เหมือนต้นทองหลางที่ขาดใบแล้วฉะนั้น ดังนี้แล้ว
จึงเริ่มวิปัสสนาได้บรรลุปัจเจกภูมิ บทที่เหลือพึงทราบโดยนัยก่อนนั่นแล.
พึงทราบวินิจฉัยในนิเทศต่อไป. บทว่า สาราสนญฺจ คือ อาสนะ
อันเป็นสาระ. บทว่า สินานิ คือ พลัด. บทว่า สญฺฉินฺนานิ คือ
ขาดใบ. บทว่า ปติตานิ คือ พ้นจากก้าน. บทว่า ปริปติตานิ ร่วง
หล่นแล้ว คือตกลงไปบนพื้นดิน.
จบคาถาที่ ๑๐
จบอรรถกถ่าปฐมวรรค

687
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย จูฬนิเทส เล่ม ๖ – หน้าที่ 688 (เล่ม 67)

อรรถกถาทุติยวรรค
คาถาที่ ๑-๒
คาถาที่ ๑
๑๑) สเจ ลเภถ นิปกํ สหายํ
สทฺธึจรํ สาธุวิหาริธีรํ
อภิภุยฺย สพฺพานิ ปริสฺสยานิ
จเรยฺย เตนตฺตมโน สติมา.
ถ้าบุคคลพึงได้สหายผู้มีปัญญาเครื่องรักษาตน ผู้
เที่ยวไปร่วมกันได้ มีปกติอยู่ด้วยกรรมดี เป็นนักปราชญ์
ไซร้ พึงครอบงำอันตรายทั้งปวง เป็นผู้มีใจชื่นชม มี
สติ เที่ยวไปกับสหายนั้น.
คาถาที่ ๒
๑๒) โน เจ ลเภถ นิปกํ สหายํ
สทฺธึจรํ สาธุวิหาริธีรํ
ราชา รฏฺฐํ วิชิตํ ปหาย
เอโก จเร มาตงฺครญฺเญว นาโค.
หากว่าบุคคลไม่พึงได้สหายผู้มีปัญญาเครื่องรักษาตน
ผู้เที่ยวไปร่วมกันได้ มีปกติอยู่ด้วยกรรมดี เป็นนักปราชญ์
ไซร้ พึงเที่ยวไปผู้เดียว ดุจพระราชาทรงละแว่นแคว้น
อันพระองค์ทรงชนะแล้ว เสด็จไปแต่ผู้เดียว ดุจช้างชื่อ
มาตังคะ ละโขลงเที่ยวไปอยู่ในป่าแต่ตัวเดียวฉะนั้น.

688