No Favorites




หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย จูฬนิเทส เล่ม ๖ – หน้าที่ 669 (เล่ม 67)

บุคคลย่อมเป็นอยู่ตามสบายในทิศทั้งสี่ และไม่
เดือดร้อน ยินดีด้วยปัจจัยตามมีตามได้ ครอบงำอันตราย
เสีย ไม่หวาดเสียว พึงเที่ยวไปผู้เดียวเหมือนนอแรด
ฉะนั้น.
พึงทราบวินิจฉัยในคาถาที่ ๘ ดังต่อไปนี้.
บทว่า จาตุทฺทิโส คือ อยู่ตามสบายในทิศทั้งสี่. แผ่พรหมวิหาร
ภาวนา โดยนัยมีอาทิว่า เอกํ ทิสํ ผริตฺวา วิหรติ แผ่ไปตลอดทิศหนึ่ง
อยู่. ชื่อว่า จาตุทฺทิโส เพราะมี ๔ ทิศ. ชื่อว่า อปฺปฏิโฆ เพราะไม่
เบียดเบียนสัตว์หรือสังขาร ด้วยความกลัวในทิศไหนๆ ใน ๔ ทิศเหล่านั้น.
บทว่า สนฺตุสฺสมาโน คือ ยินดีด้วยอำนาจแห่งสันโดษ ๑๒ อย่าง
บทว่า อีตรีตเรน คือ ด้วยปัจจัยตามมีตามได้. ในบทว่า ปริสฺสยานํ
สหิตา อฉมฺภี นี้ ชื่อว่า ปริสฺสยา เพราะครอบงำกายและจิต ทำลาย
สมบัติของคนเหล่านั้น หรือนอนเฉย. บทนี้เป็นชื่อของอันตรายทางกาย
และใจในภายนอก มีราชสีห์และเสือโคร่งเป็นต้น ในภายในมีกามฉันทะ
เป็นต้น. ชื่อว่าครอบงำอันตรายทั้งหลาย เพราะครอบงำอันตรายเหล่านั้น
ด้วยความอดกลั้น และด้วยธรรมมีวิริยะเป็นต้น. ชื่อว่า อจฺฉมฺภี เพราะ
ไม่มีความกลัวอันทำความกระด้าง. ท่านอธิบายไว้อย่างไร อธิบายไว้ว่า
สมณะ ๔ จำพวกฉันใด เราก็ฉันนั้น เป็นผู้สันโดษด้วยปัจจัยตามมีตาม
ได้อย่างนั้น ตั้งอยู่ในสันโดษอันเป็นทางแห่งการปฏิบัตินี้ มีปกติอยู่ตาม
สบายในทิศทั้งสี่ ไม่มีความขัดเคือง เพราะไม่มีภัยอันทำให้กระทบ
กระทั่งในสัตว์และสังขารทั้งหลาย ครอบนำอันตรายทั้งหลายดังได้กล่าว
แล้ว เพราะมีปกติอยู่ตามสบายในทิศทั้งสี่ ไม่มีความหวาดเสียว เพราะ

669
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย จูฬนิเทส เล่ม ๖ – หน้าที่ 670 (เล่ม 67)

ไม่มีความกระทบกระทั่ง เพราะเหตุนั้น เราเห็นคุณของการปฏิบัตินี้ จึง
ปฏิบัติโดยแยบคายแล้วบรรลุปัจเจกสัมโพธิญาณ.
อีกอย่างหนึ่ง เรารู้ว่า ผู้สันโดษด้วยปัจจัยตามมีตามได้เหมือนสมณะ
เหล่านั้น มีปกติอยู่ตามสบายในทิศทั้งสี่. ตามนัยที่กล่าวแล้ว จึงปรารถนา
ความเป็นผู้มีปกติอยู่ตามสบายในทิศทั้งสี่อย่างนี้ ได้ปฏิบัติโดยแยบคาย
จึงบรรลุ เพราะฉะนั้น แม้ผู้อื่นปรารถนาฐานะเช่นนั้นบ้าง เป็นผู้ครอบงำ
อันตรายทั้งหลาย เพราะความเป็นผู้มีปกติอยู่ตามสบายในทิศทั้งสี่ และ
เป็นผู้ไม่หวาดสะดุ้ง เพราะไม่มีความกระทบกระทั่ง พึงเที่ยวไปผู้เดียว
เหมือนนอแรดฉะนั้น.
พึงทราบวินิจฉัยในนิเทศ ดังต่อไปนี้ .
บทว่า เมตฺตา พึงทราบโดยอรรถก่อน ชื่อว่า เมตฺตา เพราะมี
ความเยื่อใย. อธิบายว่า ความรัก. ชื่อว่าเมตตา เพราะมีความรัก
หรือความเป็นไปแห่งความรัก. บทว่า เมตฺตาสหคเตน คือ มีใจ
ประกอบด้วยเมตตา. บทว่า เจตสา คือ มีใจ. บทว่า เอกํ ทิสํ คือ
ในทิศหนึ่ง. ท่านกล่าวประสงค์เอาสัตว์ที่กำหนดไว้เป็นที่หนึ่ง ด้วยการ
แผ่ไปถึงสัตว์อันเนื่องในทิศหนึ่ง. บทว่า ผริตฺวา แผ่ไปแล้ว คือถูกต้อง
กระทำให้เป็นอารมณ์. บทว่า วิหรติ คือ ยังการอยู่ในอิริยาบถที่ตั้งไว้ใน
พรหมวิหารให้เป็นไป. บทว่า ตถา ทุติยํ ทิศที่ ๒ ก็เหมือนกัน คือ
ในลำดับทิศนั้นเหมือนอย่างที่แผ่ไปในทิศหนึ่ง ในทิศบูรพาเป็นต้น ทิศใด
ทิศหนึ่ง. อธิบายว่า ทิศที่ ๒ ที่ ๓ และทิศที่ ๔. บทว่า อิติ อุทฺธํ
ท่านกล่าวว่าทิศเบื้องบนโดยนัยนั้นเหมือนกัน. บทว่า อโธ ติริยํ คือ
แม้ทิศเบื้องล่าง ทิศเบื้องขวางก็เหมือนกัน. อนึ่ง ในบทเหล่านั้น บทว่า

670
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย จูฬนิเทส เล่ม ๖ – หน้าที่ 671 (เล่ม 67)

อโธ คือ เบื้องล่าง. บทว่า ติริยํ คือ ทิศน้อย. พระปัจเจกสัมพุทธเจ้า
ยังจิตสหรคตด้วยเมตตาให้แล่นไปบ้าง แล่นกลับบ้าง ในทิศทั้งปวงอยู่
อย่างนี้ เหมือนคนฝึกม้า ยังม้าให้วิ่งไปบ้าง วิ่งกลับบ้างในสนามฝึกม้า.
ด้วยเหตุประมาณเท่านี้ กำหนดทิศหนึ่ง ๆ แล้ว แสดงถึงการแผ่เมตตาโดย
จำกัด. บทว่า สพฺพธิ เป็นต้น ท่านกล่าวเพื่อแสดงโดยไม่จำกัด. ใน
บทเหล่านั้น บทว่า สพฺพธิ คือ ในทิศทั้งปวง. บทว่า สพฺพตฺตตาย
ทั่วสัตว์ทุกเหล่า คือทั่วสัตว์ทั้งปวงมีประเภทเป็นต้นว่า สัตว์เลว ปาน
กลาง อุกฤษฏ์ มิตร ศัตรู และเป็นกลาง ท่านกล่าวว่า ไม่ทำการแยกว่า
สัตว์นี้ สัตว์อื่น เพราะสัตว์ทุกชนิดเสมอกับตน. อีกอย่างหนึ่ง บทว่า
สพฺพตฺตตาย ท่านกล่าว่า ไม่ซัดออกไปภายนอกแม้แต่น้อย โดยความ
เป็นจิตทั้งหมด. บทว่า สพฺพาวนฺติ สัตว์ทุกเหล่า คือประกอบด้วย
สัตว์ทั้งปวง. บทว่า โลกํ คือ สัตวโลก. ท่านกล่าวว่า มีจิตสหรคต
ด้วยเมตตาในที่นี้อีก เพราะแสดงโดยปริยายมีอย่างนี้ว่า วิปุเลน เป็นจิต
กว้างขวาง ดังนี้. อีกอย่างหนึ่ง เพราะ ตถา ศัพท์ก็ดี อิติ ศัพท์ก็ดี
ท่านมิได้กล่าวอีก ดุจในการแผ่ไปโดยจำกัดนี้ ฉะนั้น ท่านจึงกล่าวว่า
มีจิตสหรตด้วยเมตตาอีก. อีกอย่างหนึ่ง สูตรนี้ท่านกล่าวโดยสรุป. อนึ่ง
ในบทว่า วิปุเลน นี้ พึงเห็นความเป็นผู้มีจิตกว้างขวางด้วยการแผ่ไป.
จิตนั้นถึงความเป็นใหญ่ด้วยสามารถแห่งภูมิ. จิตหาประมาณมิได้ด้วย
สามารถแห่งความคล่องแคล่ว และด้วยสามารถแห่งสัตว์ไม่มีประมาณเป็น
อารมณ์. จิตไม่มีเวร เพราะละข้าศึกคือพยาบาทเสียได้. จิตไม่มีความ
เบียดเบียน เพราะละความโทมนัสเสียได้. ท่านกล่าวว่า หมดทุกข์. กรุณา
มีความดังได้กล่าวไว้แล้วในหนหลังนั่นแล. ชื่อว่า มุทิตา เพราะเป็นเหตุ

671
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย จูฬนิเทส เล่ม ๖ – หน้าที่ 672 (เล่ม 67)

ยินดีแห่งจิต มีความพร้อมเพรียงแห่งจิตนั้น หรือยินดีด้วยตนเอง หรือ
เพียงความยินดีเท่านั้น. ชื่อว่า อุเปกฺขา เพราะเข้าไปเพ่ง โดยการละ
พยาบาทมีอาทิว่า ขอสัตว์ทั้งหลายจงอย่ามีเวรกันเลย และด้วยการ
เข้าถึงความเป็นกลาง.
อนึ่ง พึงทราบความในบทนี้โดยลักษณะเป็นต้น ต่อไป.
เมตตา มีความเป็นไปแห่งอาการ คือเป็นประโยชน์เกื้อกูลเป็น
ลักษณะ การนำมาซึ่งประโยชน์เกื้อกูลเป็นรส (คือกิจ) มีการกำจัดความ
อาฆาตเป็นปัจจุปัฏฐาน (คือเครื่องปรากฏ) มีการเห็นสัตว์มีความอิ่มเอิบ
ใจเป็นปทัฏฐาน (คือเหตุใกล้ให้เกิด) การสงบความพยาบาทเป็นสมบัติของ
เมตตา การเกิดความเสน่หาเป็นวิบัติของเมตตานี้.
กรุณา มีการช่วยให้เขาพ้นทุกข์เป็นลักษณะ มีการอดทนไม่ได้ใน
ทุกข์ของผู้อื่นเป็นรส มีการไม่เบียดเบียนเป็นปัจจุปัฏฐาน มีการเห็น
ความที่สัตว์ทั้งหลายถูกทุกข์ครอบงำไม่มีที่พึ่งเป็นปทัฏฐาน ความสงบ
จากการเบียดเบียนเป็นสมบัติของกรุณานั้น ความเกิดเศร้าโศกเป็นวิบัติ
ของกรุณา.
มุทิตา มีความยินดีเป็นลักษณะ มีความไม่ริษยาเป็นรส มีการ
กำจัดความไม่ยินดีเป็นปัจจุปัฏฐาน มีการเห็นสมบัติของสัตว์ทั้งหลาย
เป็นปทัฏฐาน. ความสงบการริษยาเป็นสมบัติของมุทิตานั้น การเกิด
ความดีใจเป็นวิบัติของมุทิตา.
อุเบกขา มีความเป็นไปแห่งอาการ คือการวางตนเป็นกลางในสัตว์
ทั้งหลายเป็นลักษณะ มีการเห็นความเสมอกันในสัตว์ทั้งหลายเป็นรส

672
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย จูฬนิเทส เล่ม ๖ – หน้าที่ 673 (เล่ม 67)

มีการเข้าไปสงบความขัดเคืองและความยินดีเป็นปัจจุปัฏฐาน มีการเห็น
ความที่สัตว์มีกรรมเป็นของตนอันเป็นไปอย่างนี้ว่า สัตว์ทั้งหลายมีกรรม
เป็นของตน สัตว์เหล่านั้นจักมีสุข จักพ้นจากทุกข์ หรือจักไม่เสื่อมจาก
สมบัติที่มีอยู่ตามความชอบใจของใคร ดังนี้เป็นปทัฏฐาน. การสงบจาก
ความขัดเคืองและความยินดีเป็นสมบัติของอุเบกขานั้น ความเกิดแห่ง
อุเบกขาในอญาณ อันอาศัยเรือน (คือกามคุณ ๕) เป็นวิบัติของอุเบกขา.
ในบทเหล่านั้น บทว่า สนฺตุฏฺโฐ โหติ คือ เป็นผู้ยินดีด้วยความ
ยินดีในปัจจัย . บทว่า อิตรีตเรน จีวเรน ด้วยจีวรตามมีตามได้ คือ
ยินดีด้วยจีวรอย่างใดอย่างหนึ่ง บรรดาจีวรเนื้อหยาบ ละเอียด เศร้าหมอง
ประณีต มั่นคง และเก่าเป็นต้น. อธิบายว่า ที่แท้แล้วเป็นผู้ยินดีด้วย
จีวรตามมีตามได้. จริงอยู่ ในจีวรมีสันโดษ ๓ อย่าง คือ ยถาลาภสันโดษ
ยินดีตามที่ได้ ๑ ยถาพลสันโดษ ยินดีตามกำลัง ๑ ยถาสารุปปสันโดษ
ยินดีตามสนควร ๑. แม้ในบิณฑบาตเป็นต้น ก็มีนัยนี้เหมือนกัน. ท่าน
กล่าวว่า เป็นผู้ยินดีด้วยจีวรตามมีตามได้ คือเป็นผู้ยินดีจีวรผืนใดผืนหนึ่ง
ในบรรดาจีวรตามที่ได้แล้ว หมายถึงสันโดษ ๓ เหล่านี้.
อนึ่ง ในบทนี้พึงทราบ จีวร เขตของจีวร ผ้าบังสุกุล ความ
ยินดีในจีวร และธุดงค์อันปฏิสังยุตด้วยจีวร.
บทว่า จีวรํ ชานิตพฺพํ พึงรู้จีวร คือพึงรู้จีวร ๖ ชนิด มีผ้า
ทำด้วยเปลือกไม้เป็นต้น และจีวรอนุโลม ๖ ชนิด มีจีวรทำด้วยผ้าเนื้อดี
เป็นต้น. จีวร ๑๒ ชนิดเหล่านี้เป็นกัปปิยจีวร. จีวรที่มีอาทิอย่างนี้ว่า
จีวรที่ทำด้วยหญ้าคา ป่าน เปลือกไม้ ผมคน ขนสัตว์ ใบลาน หนัง
ปีกนกเค้า ต้นไม้ เถาวัลย์ ตะไคร้น้ำ กล้วย ไม้ไผ่ เป็นอกัปปิยจีวร.

673
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย จูฬนิเทส เล่ม ๖ – หน้าที่ 674 (เล่ม 67)

บทว่า จีวรเขตฺตํ เขตของจีวร คือเขตมี ๖ เพราะเกิดขึ้นอย่างนี้
คือจากสงฆ์ ๑ จากคณะ ๑ จากญาติ ๑ จากมิตร ๑ จากทรัพย์
ของตน ๑ เป็นผ้าบังสกุล ๑ พึงทราบเขต ๘ ด้วยสามารถแห่ง
มาติกา ๘.
บทว่า ปํสุกูลํ ผ้าบังสกุล พึงทราบผ้าบังสุกุล ๒๓ ชนิด คือผ้า
ได้จากป่าช้า ๑ ผ้าเขาทิ้งไว้ตามตลาด ๑ ผ้าตามถนน ๑ ผ้าตามกอง
หยากเยื่อ ๑ ผ้าเช็ดครรภ์ ๑ ผ้าที่ตกอยู่ในที่อาบน้ำ ๑ ผ้าที่ตกอยู่ที่
ท่าน้ำ ๑ ผ้าห่อศพ ๑ ผ้าถูกไฟไหม้ ๑ ผ้าที่โคเคี้ยวกิน ๑ ผ้าปลวก
กัด ๑ ผ้าที่หนูกัด ๑ ผ้าที่ขาดข้างใน ๑ ผ้าขาดชาย ๑ ผ้าธง ๑
ผ้าบูชาสถูป ๑ ผ้าสมณจีวร ๑ ผ้าที่สมุทรซัดขึ้นบก ๑ ผ้าอภิเษก
(ผ้าที่เขาทิ้งในพิธีราชาภิเษก) ๑ ผ้าเดินทาง ๑ ผ้าถูกลมพัดมา ๑
ผ้าสำเร็จด้วยฤทธิ์ ๑ ผ้าเทวดาให้ ๑.
ในบทเหล่านี้ บทว่า โสตฺถิยํ คือ ผ้าเช็ดมลทินครรภ์ (ผ้าใช้ใน
การตลอดบุตร). บทว่า คตปจฺจาคตํ ผ้าคลุมศพ คือผ้าที่เขาคลุมศพ
นำไปป่าช้าแล้วเอามาใช้เป็นจีวร. บทว่า ธชาหฏํ คือ ผ้าที่เขายกขึ้น
เป็นธงแล้วนำมา. บทว่า ถูปํ คือ ผ้าที่เขาบูชาที่จอมปลวก. บทว่า
สามุทฺทิยํ คือ ผ้าที่ถูกคลื่นในทะเลชัดขึ้นบก. บทว่า ปฏฺฐิกํ คือ ผ้าที่
คนเดินทางเอาหินทุบเพราะกลัวโจรแล้วนำมาห่ม. บทว่า อิทฺธิมยํ คือ
ผ้าของเอหิภิกขุ. บทที่เหลือ ชัดดีแล้ว.
บทว่า จีวรสนฺโตโส คือ สันโดษด้วยจีวร ๒๐ ชนิด คือวิตักก-
สันโดษ สันโดษในการตรึก ๑ คมนสันโดษ สันโดษในการไป ๑ ปริเยสน-
สันโดษ สันโดษในการแสวงหา ๑ ปฏิลาภสันโดษ สันโดษในการได้ ๑

674
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย จูฬนิเทส เล่ม ๖ – หน้าที่ 675 (เล่ม 67)

มัตตปฏิคคหณสันโดษ สันโดษในการรับพอประมาณ ๑ โลลุปปวิวัชชน-
สันโดษ สันโดษในการเว้นจากความโลเล ๑ ยถาลาภสันโดษ สันโดษ
ตามที่ได้ ๑ ยถาพลสันโดษ สันโดษตามกำลัง ๑ ยถาสารุปปสันโดษ
สันโดษตามสมควร ๑ อุทกสันโดษ สันโดษด้วยน้ำ ๑ โธวนสันโดษ
สันโดษในการซัก ๑ กรณสันโดษ สันโดษในการทำ ๑ ปริมาณสันโดษ
สันโดษในปริมาณ ๑ สุตตสันโดษ สันโดษในเส้นด้าย ๑ สิพพนสันโดษ
สันโดษในการเย็บ ๑ รชนสันโดษ สันโดษในการย้อม ๑ กัปปสันโดษ
สันโดษในการกัปปะ๑ ๑ ปริโภคสันโดษ สันโดษในการใช้สอย ๑ สันนิธิ-
ปริวัชชนสันโดษ สันโดษในการเว้นจากการสะสม ๑ วิสัชชนสันโดษ
สันโดษในการสละ ๑.
ในสันโดษเหล่านั้น ภิกษุผู้ยินดีอยู่จำพรรษาตลอด ๓ เดือน แล้ว
ตรึกเพียงเดือนเดียวควร. เพราะว่า ภิกษุนั้นครั้นออกพรรษาแล้ว กระทำ
จีวรในเดือนที่ทำจีวร ภิกษุผู้ถือผ้าบังสุกุลเป็นวัตร ย่อมทำโดยกึ่งเดือน
เท่านั้น. การตรึกเพียงกึ่งเดือนและหนึ่งเดือนด้วยประการฉะนี้ ชื่อว่า
วิตักกสันโดษ.
อนึ่ง เมื่อภิกษุไปหาจีวร ไม่ได้คิดว่าเราจักได้จีวร ณ ที่ไหน แล้ว
ไปโดยยึดเพียงกรรมฐานที่เป็นประธานเท่านั้น ชื่อว่า คมนสันโดษ.
อนึ่ง เมื่อภิกษุแสวงหาจีวร มิได้แสวงหากับผู้ใดผู้หนึ่ง ยึดถือ
ภิกษุผู้ละอาย ผู้มีศีลเป็นที่รัก แล้วจึงแสวงหา ชื่อว่า ปริเยสนสันโดษ.
เมื่อภิกษุแสวงหาอยู่อย่างนี้ เห็นจีวรที่เขานำมาแต่ไกล มิได้ตรึก
อย่างนี้ว่า จีวรนี้จักเป็นที่ชอบใจ จีวรนี้จักไม่เป็นที่ชอบใจ ดังนี้ แล้ว
๑. การทำพินทุกัปปะ คือจุดเครื่องหมายในไตรจีวร.

675
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย จูฬนิเทส เล่ม ๖ – หน้าที่ 676 (เล่ม 67)

ยินดีด้วยจีวรตามที่ได้ ในจีวรที่มีเนื้อหยาบและเนื้อละเอียดเป็นต้น ชื่อว่า
ปฏิลาภสันโดษ.
แม้เมื่อภิกษุถือเอาจีวรที่ได้อย่างนี้แล้ว ยินดีโดยเพียงพอแก่ตนว่า
จีวรประมาณเท่านี้จักเป็นสองชั้น ประมาณเท่านี้จักเป็นชั้นเดียว ดังนี้
ชื่อว่า มัตตปฏิคคหณสันโดษ.
อนึ่ง เมื่อภิกษุแสวงหาจีวร มิได้คิดว่า เราจักได้จีวรที่ชอบใจที่
ประตูเรือนของคนโน้น แล้วเที่ยวไปตามลำดับประตูบ้าน ชื่อว่า โลลุปป-
วิวัชชนสันโดษ.
เมื่อภิกษุสามารถจะยังตนให้เป็นไปอยู่ได้ด้วยจีวรอย่างใดอย่างหนึ่ง
ในบรรดาจีวรเนื้อเศร้าหมองและเนื้อประณีต ก็ยังอัตภาพให้เป็นไปอยู่
ด้วยจีวรตามที่ตนได้เท่านั้น ชื่อว่า ยถาลาภสันโดษ.
ภิกษุรู้กำลังของตนแล้ว เป็นอยู่ได้ด้วยจีวรที่สามารถยังตนให้เป็น
อยู่ได้ ชื่อว่า ยถาพลสันโดษ.
ภิกษุให้จีวรที่ชอบใจแก่ภิกษุรูปอันแล้ว ยังตนให้เป็นไปอยู่ได้ด้วย
จีวรผืนใดผืนหนึ่ง ชื่อว่า ยถาสารุปปสันโดษ.
ภิกษุมิได้ไตร่ตรองว่า น้ำที่ไหนสะอาด ที่ไหนไม่สะอาด แล้ว
ซักจีวรด้วยน้ำที่พอจะซักได้ ชื่อว่า อุทกสันโดษ. แต่ควรเว้นน้ำที่มี
ดินสีเหลีองมีเปลือกไม้ ดินสอพอง ใบไม้เน่าและมีสีเศร้าหมอง. อนึ่ง เมื่อ
ภิกษุซักจีวรไม่เอาไม้ค้อนเป็นต้นทุบ เอามือขยำซัก ชื่อว่า โธวนสันโดษ.
อนึ่ง ควรใส่ใบไม้แล้วซักจีวรที่ไม่บริสุทธิ์ด้วยน้ำร้อน. เมื่อภิกษุซักอย่างนี้
แล้วไม่ขัดเคืองใจว่า นี้หยาบ นี้ละเอียด แล้วกระทำโดยวิธีทำให้สะอาค
ตามความเพียงพอนั่นแหละ ชื่อว่า กรณสันโดษ. กระทำเพียงปกปิด

676
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย จูฬนิเทส เล่ม ๖ – หน้าที่ 677 (เล่ม 67)

ทั้ง ๓ ปริมณฑลเท่านั้น ชื่อว่า ปริมาณสันโดษ. ภิกษุไม่เที่ยวไปด้วยคิด
ว่าเราจักแสวงหาด้ายที่พอใจเพื่อเย็บจีวร แล้วถือเอาด้ายที่เขานำมาวางไว้
ที่ถนนเป็นต้น หรือที่เทวสถาน หรือที่ใกล้เท้า แล้วเย็บจีวร ชื่อว่า
สุตตสันโดษ. อนึ่ง ในเวลาทำกระทงจีวรไม่ควรเย็บ ๗ ครั้งที่ผ้าประมาณ
หนึ่งองคุลี. เพราะเมื่อทำอย่างนี้ แม้ความแตกแห่งวัตรก็ไม่มีแก่ภิกษุ
ผู้ไม่มีสหาย. แต่ควรแทง ๗ ครั้งที่ผ้าประมาณ ๓ องคุลี. เมื่อทำอย่างนี้
ก็ควรมีเพื่อนเดินทางไปด้วย. ความแตกแห่งวัตรย่อมมีแก่ภิกษุที่ไม่มี
เพื่อน นี้ชื่อว่า สิพพนสันโดษ. อนึ่ง ภิกษุผู้ย้อมจีวรไม่ควรเที่ยว
แสวงหามะเดื่อดำเป็นต้น พึงย้อมด้วยของที่ได้ในบรรดาเปลือกไม้สีคล้ำ
เป็นต้น. เมื่อไม่ได้ควรถือเอาเครื่องย้อมที่พวกมนุษย์ถือเอามาในป่าทิ้งไว้
หรือกากที่พวกภิกษุต้มทิ้งไว้แล้วย้อม นี้ชื่อว่า รชนสันโดษ. เมื่อภิกษุ
ถือเอาจีวรสีอย่างใดอย่างหนึ่ง บรรดาสีเขียว เปือกตม ดำคล้ำ แล้ว
นั่งบนหลังช้างกระทำจุดดำให้ปรากฏ ชื่อว่า กัปปสันโดษ. การใช้สอย
เพียงเพื่อปกปิดอวัยวะอันยังหิริให้กำเริบ ชื่อว่า ปริโภคสันโดษ. อนึ่ง
ครั้นได้ผ้าแล้ว แต่ยังไม่ได้ด้าย เข็ม หรือผู้กระทำควรเก็บไว้. เมื่อได้
ไม่ควรเก็บ. แม้ทำแล้วหากว่าประสงค์จะให้แก่อันเตวาสิกเป็นต้น และ
อันเตวาสิกเป็นต้นเหล่านั้นยังไม่อยู่ ควรเก็บไว้จนกว่าจะมา. พอเมื่อ
อันเตวาสิกเป็นต้นมาแล้วควรให้ เมื่อไม่อาจให้ได้ ควรอธิษฐาน.
เมื่อมีจีวรผืนอื่น ควรอธิษฐานทำเป็นเครื่องลาด. ท่านมหาสิวเถระกล่าวว่า
ก็เมื่อยังไม่อธิษฐาน เป็นอาบัติสันนิธิ (คือสะสม) อธิษฐานแล้วไม่เป็น
อาบัติ. นี้ชื่อว่า สันนิธิปริวัชชนสันโดษ.

677
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย จูฬนิเทส เล่ม ๖ – หน้าที่ 678 (เล่ม 67)

อนึ่ง เมื่อสละไม่ควรให้เพราะเห็นแก่หน้า. ควรตั้งอยู่ในสาราณิย-
ธรรมแล้วสละให้. นี้ชื่อว่า วิสัชชนสันโดษ.
ปังสุกูลิกังคธุดงค์ (ถือผ้าบังสุกุลเป็นวัตร) และติจีวริกังคธุดงค์
(ถือไตรจีวรเป็นวัตร) ชื่อว่า ธุดงค์ปฏิสังยุตด้วยจีวร. พระปัจเจกสัม-
พุทธเจ้าบำเพ็ญมหาอริยวงศ์คือความสันโดษด้วยจีวร ย่อมรักษาธุดงค์
สองเหล่านี้. เมื่อรักษาอยู่อย่างนี้ ชื่อว่า เป็นผู้สันโดษด้วยอำนาจแห่ง
มหาอริยวงศ์คือความสันโดษด้วยจีวร.
บทว่า วณฺณวาที กล่าวสรรเสริญ คือภิกษุรูปหนึ่งเป็นผู้สันโดษ
แต่ไม่กล่าวถึงคุณของสันโดษ รูปหนึ่งไม่สันโดษ แต่กล่าวถึงคุณของ
สันโดษ รูปหนึ่งทั้งไม่สันโดษทั้งไม่กล่าวถึงคุณของสันโดษ รูปหนึ่ง
ทั้งเป็นผู้สันโดษทั้งกล่าวถึงคุณของสันโดษ. พระปัจเจกสัมพุทธเจ้าเป็น
อย่างนั้น เพื่อแสดงถึงพระปัจเจกสัมพุทธเจ้านั้น ท่านจึงกล่าวว่า
พระปัจเจกสัมพุทธเจ้า เป็นผู้กล่าวสรรเสริญความสันโดษด้วยจีวรตามมี
ตามได้.
บทว่า อเนสนํ ไม่แสวงหาผิด คือไม่แสวงหาผิดมีประการต่าง ๆ
อันมีประเภทคือเป็นทูต เป็นคนส่งสาสน์ เดินส่งข่าว. บทว่า อปฺปฏิรูปํ
คือ ไม่สมควร. บทว่า อลทฺธา จ คือ ไม่ได้แล้ว. พระปัจเจกสัมพุทธเจ้า
เมื่อไม่ได้จีวรก็ไม่สะดุ้ง เหมือนอย่างภิกษุบางรูปคิดว่าเราจักได้จีวรอย่างไร
หนอ จึงร่วมกับพวกภิกษุผู้มีบุญกระทำการหลอกลวง ย่อมหวาดเสียว
สะดุ้ง. บทว่า ลทฺธา จ คือ ได้เเล้วโดยธรรม โดยเสมอ. บทว่า อคธิโต
ไม่ติดใจ คือปราศจากความโลภ. บทว่า อมุจฺฉิโต ไม่หลงใหล คือ
ถึงความซบเซาด้วยความอยากอย่างยิ่ง. บทว่า อนชฺฌาปนฺโน ไม่พัวพัน

678