No Favorites




หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย จูฬนิเทส เล่ม ๖ – หน้าที่ 659 (เล่ม 67)

สัมโภคสังคคคะ (เกี่ยวข้องเพราะบริโภคร่วมกัน). ในสังสัคคะทั้งสองนี้
มีตัวอย่าง เรื่องภิกษุภิกษุณีในมริจวัฏฏิวิหาร.
มีเรื่องเล่าว่า ในงานฉลองมริจวัฏฏิมหาวิหาร พระเจ้าทุฏฐคามณิ-
อภัยมหาราช ทรงตระเตรียมมหาทาน อังคาสสงฆ์ ๒ ฝ่าย. ณ ที่นั้น
เมื่อทรงถวายข้าวยาคูร้อน สังฆนวกสามเณรี (สามเณรีบวชใหม่) ถวาย
ถาดแก่สังฆนวกสามเณร (สามเณรบวชใหม่) มีอายุ ๗ ขวบไม่ค่อยจะ
เรียบร้อยนัก ได้สนทนากัน. ทั้งสองนั้นบวชจนมีอายุได้ ๖๐ ปี ไปสู่ฝั่ง
อื่น ได้บุพสัญญาด้วยการสนทนากันและกัน ทันใดนั้นเอง เกิดเสน่หา
กันขึ้น ล่วงสิกขาบท ได้ต้องอาบัติปาราชิก.
ความเสน่หาย่อมมีแก่บุคคลผู้เกี่ยวข้อง ด้วยความเกี่ยวข้องอย่างใด
อย่างหนึ่งในความเกี่ยวข้อง ๕ อย่าง อย่างนี้ ความกำหนัดอย่างแรงย่อม
เกิดขึ้นเพราะมีราคะในครั้งก่อนเป็นปัจจัย. แต่นั้นความทุกข์อันเนื่องด้วย
เสน่หาย่อมปรากฏ ความทุกข์อันมีความเสน่หาติดตามมีประการต่าง ๆ
เป็นต้นว่า ความเศร้าโศก ความคร่ำครวญ ในปัจจุบันและสัมปรายภพ
เป็นต้น ย่อมปรากฏ ย่อมบังเกิด ย่อมมี ย่อมเกิด. แต่อาจารย์อื่น ๆ
กล่าวว่า การปล่อยจิตไปในอารมณ์ ชื่อว่า สังสัคคะ ความเกี่ยวข้อง.
ลำดับนั้น พระปัจเจกสัมพุทธเจ้า ครั้นกล่าวคาถากึ่งหนึ่งนี้มีความอย่างนี้ว่า
ความเสน่หาเพราะความเกี่ยวข้องนั้น เป็นทุกข์ดังนี้ จึงกล่าวว่า เรานั้น
ขุดรากของทุกข์นั้น มีทุกข์อันเกิดแต่ความเศร้าโศกเป็นต้น อันไปตาม
ความเยื่อใย ย่อมปรากฏ จึงบรรลุปัจเจกสัมโพธิญาณ. เมื่อพระปัจเจก-
สัมพุทธเจ้ากล่าวอย่างนี้แล้ว บรรดาอำมาตย์ทั้งหลายเหล่านั้นพากันกล่าวว่า

659
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย จูฬนิเทส เล่ม ๖ – หน้าที่ 660 (เล่ม 67)

พระคุณเจ้าผู้เจริญ บัดนี้ พวกกระผมจะพึงทำอย่างไรเล่า. พระปัจเจก-
สัมพุทธเจ้าจึงกล่าวว่า พวกท่านก็ดี ผู้อื่นก็ดี ผู้ใดประสงค์จะพ้นจาก
ทุกข์นี้ ผู้นั้นทั้งหมดเพ่งถึงโทษอันเกิดแต่ความเสน่หา พึงเป็นผู้เดียว
เที่ยวไปเหมือนนอแรดฉะนั้น. ในบทนี้พึงทราบว่า ที่ท่านกล่าวบทนี้ว่า
เพ่งโทษอันเกิดแต่เสน่หา หมายถึงบทที่ท่านกล่าวว่าทุกข์นี้เนื่องด้วย
เสน่หาย่อมปรากฏ. อีกอย่างหนึ่ง พึงเชื่อมความอย่างนี้ว่า ความเสน่หา
ย่อมมีแก่บุคคลผู้มีความเกี่ยวข้อง ด้วยความเกี่ยวข้องตามที่กล่าวแล้ว
ทุกข์นี้เนื่องด้วยเสน่หาย่อมปรากฏ เราเพ่งถึงโทษตามความเป็นจริงนี้ว่า
เกิดแต่ความเสน่หา จึงบรรลุ ดังนี้แล้วพึงทราบว่า บทที่ ๔ ท่านกล่าว
ด้วยคำอุทานตามนัยที่กล่าวแล้วในก่อนนั่นแล. บททั้งปวงต่อจากนั้นเช่น
กับที่กล่าวแล้วในคาถาก่อนนั่นแหละ.
พึงทราบวินิจฉัยในนิเทศดังต่อไปนี้.
บทว่า อนุปาเทนฺติ ย่อมติดใจ คือ ครั้นเห็นอนุพยัญชนะ (ส่วน
ต่าง ๆ) ในรูปย่อมติดใจ. บทว่า อนุพนฺธติ ย่อมผูกพัน คือผูกพันด้วย
ความเสน่หาในรูป. บทว่า ภวนฺติ คือ ย่อมมี. บทว่า ชายนฺติ คือ
ย่อมเกิด. บทว่า นิพฺพนฺตนฺติ ย่อมบังเกิด คือย่อมเป็นไป. บทว่า
ปาตุภวนฺติ คือ ย่อมปรากฏ. สามบทว่า สมฺภวนฺติ สญฺชายนฺติ อภิ-
นิพฺพตฺตนฺติ เพิ่มอุปสัคลงไป แปลว่า มีพร้อม เกิดพร้อม บังเกิดเฉพาะ.
ต่อจากนั้น พึงทราบโดยนัยที่กล่าวแล้วในอัฏฐกวรรคนั่นแล.
จบคาถาที่ ๒

660
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย จูฬนิเทส เล่ม ๖ – หน้าที่ 661 (เล่ม 67)

คาถาที่ ๓
๓) มิตฺเต สุหชฺเช อนุกมฺปมาโน
หาเปติ อตฺถํ ปฏิพทฺธจิตโต
เอตํ ภยํ สนฺถวเปกฺขมาโน
เอโก จเร ขคฺควิสาณกปฺโป.
บุคคลอนุเคราะห์มิตรสหายผู้มีจิตปฏิพัทธ์แล้ว ชื่อว่า
ย่อมยังประโยชน์ให้เสื่อม บุคคลเห็นภัย คือการยัง
ประโยชน์ให้เสื่อม ในการเชยชิดนี้ พึงเที่ยวไปผู้เดียว
เหมือนนอแรดฉะนั้น.
พึงทราบวินิจฉัยในคาถาที่ ๓ ดังต่อไปนี้.
ชื่อว่า มิตฺตา ด้วยอำนาจแห่งความรัก. ชื่อว่า สุหชฺชา ด้วย
ความเป็นผู้มีใจดี. จริงอยู่ คนบางคนเป็นมิตรเพราะหวังประโยชน์โดย
ส่วนเดียว มิใช่เป็นผู้มีใจดี. บางคนเป็นผู้มีใจดี ด้วยให้ความสุขในใจ
ในการเดิน ยืน นั่ง และสนทนาเป็นต้น มิใช่เป็นมิตร. บางคนเป็น
ทั้งผู้มีใจดี เป็นทั้งมิตร ด้วยอำนาจทั้งสองนั้น. ชนเหล่านั้นมี ๒ คือ
อาคาริยมิตร มิตรคฤหัสถ์ และอนาคาริยมิตร มิตรบรรพชิต.
ในมิตรสองจำพวกนั้น อาคาริยมิตรมี ๓ คือ มิตรมีอุปการะ ๑
มิตรร่วมสุขร่วมทุกข์ ๑ มิตรมีความรักใคร่ ๑. อนาคาริยมิตร คือมิตร
แนะประโยชน์ โดยต่างออกไปจาก ๓ ประเภทนั้น มิตรเหล่านั้นประกอบ
ด้วยองค์ ๔ ดังที่พระพุทธเจ้าตรัสแก่สิงคาลมาณพว่า
ดูก่อนบุตรคฤหบดี มิตรมีอุปการะ พึงทราบว่าเป็นผู้มีใจดีด้วย
ฐานะทั้งหลาย ๔ คือ ป้องกันเพื่อนผู้ประมาทแล้ว ๑ ป้องกันทรัพย์

661
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย จูฬนิเทส เล่ม ๖ – หน้าที่ 662 (เล่ม 67)

สมบัติของเพื่อนผู้ประมาทแล้ว ๑ เมื่อมีภัยเป็นที่พึ่งพำนักได้ ๑ เมื่อมี
ธุระช่วยออกทรัพย์ให้เกินกว่าที่ออกปาก ๑.
ดูก่อนบุตรคฤหบดี มิตรร่วมสุขร่วมทุกข์ พึงทราบว่าเป็นผู้มีใจดี
ด้วยฐานะ ๔ คือ บอกความลับของตนแก่เพื่อน ๑ ปิดความลับของ
เพื่อน ๑ ไม่ละทิ้งในยามวิบัติ ๑ แม้ชีวิตก็สละแทนเพื่อนได้ ๑.
ดูก่อนบุตรคฤหบดี มิตรมีความรักใคร่ พึงทราบว่าเป็นผู้มีใจดีด้วย
ฐานะ ๔ คือ ทุกข์ทุกข์ด้วย ๑ สุขสุขด้วย ๑ โต้เถียงคนที่ติเตียนเพื่อน ๑
รับรองคนที่สรรเสริญเพื่อน ๑.
ดูก่อนบุตรคฤหบดี มิตรแนะประโยชน์ พึงทราบว่าเป็นผู้มีใจดี
ด้วยฐานะ ๔ คือ ห้ามทำความชั่ว ๑ ให้ตั้งอยู่ในความดี ๑ ให้ฟังสิ่งที่
ยังไม่เคยฟัง ๑ บอกทางสวรรค์ให้ ๑.
ในมิตรทั้งสองนั้น ในที่นี้ท่านประสงค์เอา อาคาริยมิตร. แต่โดย
ความหมายย่อมควรแม้มิตรทั้งหมด คือมิตรผู้มีใจดีเหล่านั้น.
บทว่า อนุกมฺปมาโน เมื่ออนุเคราะห์ คือเอ็นดู ประสงค์จะนำ
ความสุขเข้าไปให้เเก่มิตรเหล่านั้น ประสงค์จะนำความทุกข์ออกไป. บทว่า
หาเปติ อตฺถํ ย่อมให้ประโยชน์เสื่อมไป คือยังประโยชน์ ๓ อย่าง
ประโยชน์ปัจจุบัน ๑ ประโยชน์ภายหน้า ๑ ประโยชน์สูงสุด ๑ อนึ่ง
ประโยชน์ตน ๑ ประโยชน์ผู้อื่น ๑ ประโยชน์ทั้งสอง ๑ ให้เสื่อมไป
ให้พินาศไป ด้วยเหตุทั้งสอง คือด้วยให้สิ่งที่ได้แล้วพินาศไป ๑ ด้วยให้
สิ่งที่ยังไม่ได้มิให้เกิดขึ้น ๑. บทว่า ปฏิพทฺธจิตฺโต เป็นผู้มีจิตผูกพัน คือ
แม้ตั้งตนไว้ในฐานะที่ต่ำอย่างนี้ว่า เราเว้นผู้นี้เสียแล้วจะไม่มีชีวิตอยู่ได้ ผู้นี้
เป็นแบบอย่างของเรา ผู้นี้ช่วยบรรเทาทุกข์ให้แก่เรา ดังนี้ ก็ชื่อว่า เป็นผู้

662
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย จูฬนิเทส เล่ม ๖ – หน้าที่ 663 (เล่ม 67)

มีจิตผูกพัน. แม้ตั้งตนไว้ในฐานะที่สูงอย่างนี้ว่า ผู้นี้เว้นเราเสียแล้วก็จะ
ไม่มีชีวิตอยู่ได้ เราเป็นแบบอย่างของพวกเขา เราจะช่วยบรรเทาทุกข์ให้
แก่พวกเขา ดังนี้ ก็ชื่อว่า เป็นผู้มีจิตผูกพัน. ก็ในที่นี้ประสงค์เอาความ
เป็นผู้มีจิตผูกพันอย่างนี้. บทว่า เอตํ ภยํ คือ ภัยยังประโยชน์ให้เสื่อม
นั้น พระปัจเจกสัมพุทธะกล่าวหมายถึงการเสื่อมจากสมาบัติของตน.
บทว่า สนฺถเว ในความสนิทสนม ความสนิทสนมม ๓ อย่าง คือ สนิท-
สนมด้วยตัณหา ๑ ด้วยทิฏฐิ ๑ ด้วยความเป็นมิตร ๑. ในความสนิทสนม
๓ อย่างนั้น ตัณหาแม้มีประเภทตั้ง ๑๐๘ ก็เป็น ตัณหาสัถวะ. ทิฏฐิ
แม้มีประเภท ๖๒ ก็เป็นทิฏฐิสันถวะ. การช่วยเหลือมิตรเพราะมีจิตผูกพัน
กัน เป็นมิตรสันถวะ. มิตรสันถวะนั้นประสงค์เอาในที่นี้. สมาบัติของ
บุคคลนั้นเสื่อมไปด้วยมิตรสันถวะนั้น. ด้วยเหตุนั้น พระปัจเจกสัมพุทธเจ้า
จึงกล่าวว่า เราเห็นภัยนั้นในความสนิทสนมจึงได้บรรลุ. บทที่เหลือ
เช่นกับที่กล่าวไว้แล้วนั้นแล ไม่มีอะไรที่ควรกล่าวในนิเทศ.
จบคาถาที่ ๓
คาถาที่ ๔
๔) วํโส วิสาโลว ยถา วิสตฺโต
ปุตฺเตสุ ทาเรสุ จ ยา อเปกฺขา
วํสากฬีโร ว อสชฺชมาโน
เอโก จเร ขคฺควิสาณกปฺโป.

663
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย จูฬนิเทส เล่ม ๖ – หน้าที่ 664 (เล่ม 67)

บุคคลข้องอยู่แล้วด้วยความเยื่อใยในบุตรและภรรยา
เหมือนไม้ไผ่กอใหญ่เกี่ยวเกาะกันฉะนั้น บุคคลไม่ข้องอยู่
เหมือนหน่อไม้ พึงเที่ยวไปผู้เดียวเหมือนนอแรดฉะนั้น.
พึงทราบวินิจฉัยในคาถาที่ ๔ ดังต่อไปนี้.
บทว่า วํโส คือ ไม้ไผ่. บทว่า วิสาโล คือ หนาแน่น. ว อักษร
เป็นอวธารณะ. หรือ เอว อักษร ในบทนี้ เอ อักษรหายไปด้วยบท
สนธิ. พึงเชื่อมบทนั้นในบทอื่น. เราจักประกอบบทนั้นในภายหลัง.
บทว่า ยถา คือ ในความเปรียบเทียบ. บทว่า วิสตฺโต คือ เกี่ยวข้อง
พัวพัน ร้อยรัด. บทว่า ปุตฺเตสุ ทาเรสุ คือ ในบุตรธิดาและภรรยา.
บทว่า ยา อเปกฺขา คือ ตัณหาใด ความเสน่หาใด. บทว่า วํสกฬีโรว๑
อสชฺชมาโน คือ พระปัจเจกสัมพุทธเจ้าไม่เกี่ยวข้อง เหมือนหน่อไม้ไผ่.
ท่านอธิบายไว้อย่างไร. อธิบายไว้ว่า พุ่มไม้ไผ่ใหญ่เกี่ยวพันกันฉันใด
ตัณหาในบุตรและภรรยาทั้งหลาย กว้างขวางเกี่ยวพันกันฉันนั้น แม้ตัณหา
นั้นชื่อว่าเกี่ยวข้องกัน เพราะร้อยรัดวัตถุเหล่านั้นนั่นเอง เรานั้นมีตัณหา
เพราะความเพ่งนั้น เห็นโทษของความเพ่งอย่างนี้ว่า เหมือนพุ่มไม้ไผ่ใหญ่
เกี่ยวพันกัน แล้วจึงตัดความเพ่งนั้นเสียด้วยมรรคญาณ ไม่ขัดข้องด้วย
อำนาจแห่งตัณหา มานะและทิฏฐิในรูปเป็นต้นก็ดี ในลาภเป็นต้นก็ดี
ในกามราคะเป็นต้นก็ดี จึงบรรลุปัจเจกสัมโพธิญาณ ดังนี้. บทที่เหลือ
พึงทราบโดยนัยมีในก่อนนั่นแล ในนิเทศแห่งคาถานี้ไม่มีอะไรนอกเหนือ
ไปจากนี้.
จบคาถาที่ ๔
๑. บาลีเป็น วํสากฬีโรว.

664
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย จูฬนิเทส เล่ม ๖ – หน้าที่ 665 (เล่ม 67)

คาถาที่ ๖
๕) มิโค อรยฺยมิหิ ยถา อพนฺโธ
เยนิจฺฉกํ คจฺฉติ โคจราย
วิญฺญู นโร เสริตํ เปกฺขมาโน
เอโก จเร ขคฺควิสาณกปิโป.
เนื้อในป่าที่บุคคลไม่ผูกไว้แล้ว ย่อมไปหากินตาม
ปรารถนา ฉันใด นรชนผู้รู้แจ้ง เพ่งความประพฤติตาม
ความพอใจของตน พึงเที่ยวไปผู้เดียวเหมือนนอแรด
ฉะนั้น.
พึงทราบวินิจฉัยในคาถาที่ ๕ ดังต่อไปนี้.
บทว่า มิโค นี้ เป็นชื่อของสัตว์ ๔ เท้าที่อยู่ในป่าทุกชนิด. ใน
ที่นี้ท่านประสงค์เอาเนื้อฟาน (อีเก้ง). บทว่า อรญฺญมฺหิ คือ ป่าที่เหลือ
เว้นบ้านและที่ใกล้เคียงบ้าน. แต่ในที่นี้ท่านประสงค์เอาสวน. เพราะ-
ฉะนั้น ท่านจึงกล่าวว่า อุยฺยานมฺหิ คือ ในสวน. บทว่า ยถา คือ ใน
ความเปรียบเทียบ. บทว่า อพนฺโธ คือ อันเครื่องผูกอย่างใดอย่างหนึ่ง
ในบรรดาเชือกและเครื่องผูกเป็นต้น มิได้ผูกพันไว้. ด้วยบทนี้ท่านแสดง
ถึงความพระพฤติที่คุ้นเคยกัน. บทว่า เยนิจฺฉกํ คจฺฉติ โคจราย ไป
เพื่อหาอาหารคามความต้องการ คือไปเพื่อหาอาหารตามทิศที่ต้องการไป.
เพราะฉะนั้น ในบทนั้นท่านจึงแสดงว่า ไปยังทิศที่ต้องการจะไป เคี้ยว
กินอาหารที่ต้องการเคี้ยวกิน. บทว่า วิญฺญู นโร คือ บุรุษผู้เป็นบัณฑิต.
บทว่า เสริตํ ธรรมอันให้ถึงความเสรี คือ ความประพฤติด้วย
ความพอใจ ความไม่อาศัยผู้อื่น. บทว่า เปกฺขมาโน คือ ดูด้วยปัญญา

665
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย จูฬนิเทส เล่ม ๖ – หน้าที่ 666 (เล่ม 67)

จักษุ. อีกอย่างหนึ่ง ความเสรีในธรรมและความเสรีในบุคคล. จริงอยู่
โลกุตรธรรมทั้งหลายชื่อว่าเสรี เพราะไม่ไปสู่อำนาจของกิเลส และบุคคล
ชื่อว่าเสรี เพราะประกอบด้วยโลกุตรธรรมเหล่านั้น. นิเทศแห่งความ
เป็นเสรีเหล่านั้น เพ่งถึงธรรมอันให้ถึงความเป็นเสรี. ท่านอธิบายไว้
อย่างไร. อธิบายไว้ว่า มฤคในป่า อันเครื่องผูกอะไร ๆ มิได้ผูกไว้
ย่อมไปหาอาหารได้ตามความประสงค์ฉันใด เมื่อเราคิดว่า เมื่อไรหนอ
เราพึงตัดเครื่องผูกคือตัณหา แล้วไปอย่างนั้นได้ ดังนี้ แล้วถูกพวกท่าน
ยืนล้อมอยู่ทั้งข้างหน้าข้างหลัง ผูกพันอยู่ไม่ได้ไปตามความปรารถนา เรา
เห็นโทษในความไม่ได้ไปตามความปรารถนา เห็นอานิสงส์ในการไปได้
ตามความปรารถนาแล้ว ได้ถึงความบริบูรณ์ด้วยสมถะและวิปัสสนาตาม
ลำดับ แต่นั้นก็ได้บรรลุปัจเจกสัมโพธิญาณ เพราะฉะนั้น นรชนผู้เป็น
วิญญู เมื่อเห็นธรรมอันให้ถึงความเสรี พึงเที่ยวไปผู้เดียวเหมือนนอแรด
ฉะนั้น.
จบคาถาที่ ๕
คาถาที่ ๖
๖) อามนฺตา โหติ สหายมชฺเฌ
วาเส ฐาเน คมเน จาริกาย
อนภิชฺฌิตํ เสริตํ เปกฺขมาโน
เอโก จเร ขคฺควิสาณกปฺโป.
การปรึกษาในที่อยู่ ที่ยืน ในการไป ในการเที่ยว
ย่อมมีในท่ามกลางสหาย บุคคลเพ่งความประพฤติตาม

666
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย จูฬนิเทส เล่ม ๖ – หน้าที่ 667 (เล่ม 67)

ความพอใจ ที่พวกบุรุษชั่วไม่เพ่งเล็งแล้ว พึงเที่ยวไป
ผู้เดียวเหมือนนอแรดฉะนั้น.
พึงทราบวินิจฉัยในคาถาที่ ๖ ดังต่อไปนี้.
นิเทศนี้เป็นปิณฑัตถะ คือ บวกความท่อนหลัง ๆ เข้ากับความท่อน
ต้นๆ. หรือมีอรรถว่า ประมวลความ. เมื่อตั้งอยู่ในท่ามกลางสหาย จำต้อง
มีการปรึกษากันอย่างนั้น ๆ โดยนัยมีอาทิว่า ท่านจงฟังเรื่องนี้ของเรา
จงให้สิ่งนี้แก่เรา ทั้งในที่อยู่ คือที่พักกลางวัน ในที่ยืน คือที่โรงฉันใหญ่
ในที่เดิน คือในการไปสวน ในที่เที่ยวไป คือในที่เที่ยวไปในชนบท
เพราะฉะนั้น เราเมื่อเบื่อหน่ายในที่นั้น ๆ เห็นบรรพชาที่อริยชนเสพ
มีอานิสงส์มาก เป็นความสุขโดยส่วนเดียว เมื่อเป็นอย่างนั้น บุรุษชั่ว
ทั้งหมดถูกลาภครอบงำ ไม่เพ่งไม่ปรารถนา เห็นความไม่เพ่งนั้น และเห็น
ธรรมอันให้ถึงความเสรีด้วยอำนาจแห่งธรรมและบุคคล โดยไม่ตกอยู่ใน
อำนาจของผู้อื่น จึงปรารภวิปัสสนาแล้วบรรลุปัจเจกสัมโพธิญาณตามลำดับ
ด้วยประการฉะนี้. บทที่เหลือมีนัยดังกล่าวแล้วนั่นแล.
จบคาถาที่ ๖
คาถาที่ ๗
๗) ขิฑฺฑา รตี โหติ สหายมชฺเฌ
ปุตฺเตสุ จ วิปูลํ โหติ เปมํ
ปิยวิปฺปโยคํ วิชิคุจฺฉมาโน
เอโก จเร ขคฺควิสาณกปฺโป.

667
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย จูฬนิเทส เล่ม ๖ – หน้าที่ 668 (เล่ม 67)

การเล่น การยินดี ย่อมมีในท่ามกลางสหาย อนึ่ง
ความรักที่ยิ่งใหญ่ย่อมมีในบุตรทั้งหลาย บุคคลเมื่อ
เกลียดชังความพลัดพรากจากสัตว์ และสังขารอันเป็นที่รัก
พึงเที่ยวไปผู้เดียวเหมือนนอแรดฉะนั้น.
พึงทราบวินิจฉัยในคาถาที่ ๖ ดังต่อไปนี้.
บทว่า ขิฑฺฑา คือ การเล่น. การเล่นมี ๒ อย่าง คือ ทางกาย
และทางวาจา. การเล่นมีอาทิอย่างนี้ คือ เล่นด้วยช้างบ้าง ด้วยม้าบ้าง
ด้วยธนูบ้าง ด้วยดาบบ้าง ชื่อว่า การเล่นทางกาย. การเล่นมีอาทิ
อย่างนี้ว่า ขับร้อง กล่าวคำโศลก ทำเสียงกลองด้วยปาก ชื่อว่า การ
เล่นทางวาจา. บทว่า รตี คือ ความยินดีในกามคุณ ๕. บทว่า วิปูลํ
ไพบูลย์ คือ ซึมแทรกเข้าไปยังอัตภาพทั้งสิ้น จนจรดเยื่อในกระดูก.
บทที่เหลือชัดดีแล้ว. แม้การประกอบไปตามลำดับสืบเนื่องในนิเทศนี้
พึงทราบตามนัยที่กล่าวแล้วในสังสัคคคาถานั่นแล.
จบคาถาที่ ๗
คาถาที่ ๘
๘) จาตุทฺทิโส อปฺปฏิโฆ จ โหติ
สนฺตุสฺสมาโน อิตรีตเรน
ปริสฺสยานํ สหิตา อฉมฺภี
เอโก จเร ขคฺควิสาณกปฺโป.

668