No Favorites




หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย จูฬนิเทส เล่ม ๖ – หน้าที่ 639 (เล่ม 67)

อวิกฺเขปํ กโรนฺโต คือ ผู้ไม่ทำความฟุ้งซ่านด้วยอำนาจแห่งสมาธิ. บทว่า
ปชานนฺโต ผู้รู้ทั่ว คือรู้ชัดด้วยปัญญารู้อริยสัจ ๔. บทว่า วิชานนฺโต
ผู้รู้แจ้ง คือรู้แจ้งอารมณ์ด้วยวิญญาณ คืออาวัชชนจิตอันถึงก่อน (เกิด
ก่อน) ชวนะที่สัมปยุตด้วยอินทรีย์. บทว่า วิญฺญาณจริยาย ประพฤติ
ด้วยวิญญาณ คือด้วยอำนาจแห่งวิญญาณคืออาวัชชนจิต. บทว่า เอวํ
ปฏิปนฺนสฺส ผู้ปฏิบัติอย่างนี้ คือปฏิบัติด้วยอินทรียจริยาพร้อมกับ
อาวัชชนะ. บทว่า กุสลา ธมฺมา อายาเปนฺติ กุศลธรรมทั้งหลายย่อม
ดำเนินไป ความว่า กุศลธรรมทั้งหลายเป็นไปแล้วด้วยอำนาจแห่งสมถะและ
วิปัสสนา ยังความวิเศษให้เป็นไป. บทว่า อายตนจริยาย ภูสะความมั่นคง
ท่านกล่าวว่า ความมั่นคงของกุศลธรรมทั้งหลาย ด้วยอายตนจริยา คือ
ด้วยความประพฤติเป็นไป. บทว่า วิเสสมธิคจฺฉติ คือ ย่อมบรรลุคุณ
วิเศษด้วยอำนาจแห่งวิกขัมภนปหาน ตทังคปหาน สมุจเฉทปหาน และ
ปฏิปัสสัทธิปหาน.
พึงทราบวินิจฉัยในบทมีอาทิว่า ทสฺสนจริยา จ สมฺมาทิฏฺฐิยา
การประพฤติสัมมาทิฏฐิ ชื่อว่า ทัสสนจริยา ดังต่อไปนี้.
ชื่อว่า สัมมาทิฏฐิ เพราะเห็นชอบ หรือเป็นเหตุเห็นชอบ หรือ
มีทิฏฐิงามน่าสรรเสริญ. แห่งสัมมาทิฏฐินั้น.
ชื่อว่า ทัสสนจริยา เพราะประพฤติด้วยการทำนิพพานให้ประจักษ์.
ชื่อว่า สัมมาสังกัปปะ เพราะดำริชอบ หรือเป็นเหตุดำริชอบ
หรือดำริดีน่าสรรเสริญ.
ชื่อว่า อภินิโรปนจริยา เพราะพระพฤติปลูกฝังจิตไว้ในอารมณ์นั้น.
ชื่อว่า สัมมาวาจา เพราะเจรจาชอบ หรือเป็นเหตุเจรจาชอบ

639
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย จูฬนิเทส เล่ม ๖ – หน้าที่ 640 (เล่ม 67)

หรือเจรจาดีน่าสรรเสริญ. บทนี้เป็นชื่อของการเว้นมิจฉาวาจา.
ชื่อว่า ปริคฺคหจริยา เพราะประพฤติยึดวจีสังวร ๔ อย่างของ
สัมมาวาจานั้น.
ชื่อว่า สัมมากัมมันตะ เพราะทำชอบ หรือเป็นเหตุทำชอบ
หรือการงานดีน่าสรรเสริญ. การงานชอบนั่นแล ชื่อว่า สัมมากัมมันตะ.
บทนี้เป็นชื่อของการเว้นจากมิจฉากัมมันตะ.
ชื่อว่า สมุฏฐานจริยา เพราะประพฤติตั้งอยู่ในกายสังวร ๓ อย่าง.
ชื่อว่า สัมมาอาชีวะ เพราะเลี้ยงชีพชอบ หรือเป็นเหตุเลี้ยงชีพ
ชอบ หรือมีอาชีพดีน่าสรรเสริญ. บทนี้เป็นชื่อของการเว้นมิจฉาอาชีวะ.
สัมมาอาชีพนั้นชื่อว่า โวทานจริยา ประพฤติผ่องแผ้ว.
ชื่อว่า ปริสุทธจริยา ประพฤติบริสุทธิ์.
ชื่อว่า สัมมาวายามะ เพราะพยายามชอบ หรือเป็นเหตุพยายาม
ชอบ หรือพยายามดีน่าสรรเสริญ. สัมมาวายามะนั้น ชื่อว่า ปัคคหจริยา
ประพฤติประคองใจ.
ชื่อว่า สัมมาสติ เพราะระลึกชอบ หรือเป็นเหตุระลึกชอบ หรือ
ระลึกดีน่าสรรเสริญ. สัมมาสตินั้นชื่อว่า อุปัฏฐานจริยา ประพฤติตั้งมั่น.
ชื่อว่า สัมมาสมาธิ เพราะตั้งใจชอบ หรือเป็นเหตุตั้งใจชอบ
หรือตั้งใจดีน่าสรรเสริญ. สัมมาสมาธินั้น ชื่อว่า อวิกเขปจริยา ประ-
พฤติไม่ฟุ้งซ่าน.
บทว่า ตกฺกปฺโป คือ พระปัจเจกสัมพุทธเจ้านั้นย่อมเป็นเหมือน
นอแรด. อธิบายว่า เป็นอย่างนั้น. บทว่า ตํสทิโส คือ เช่นกับนอแรด.
ปาฐะว่า ตสฺสทิโส บ้าง. บทว่า ตปฺปฏิภาโค คือ เปรียบเหมือน

640
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย จูฬนิเทส เล่ม ๖ – หน้าที่ 641 (เล่ม 67)

นอแรด. อธิบายว่า เป็นเช่นนั้น. รสเค็มไม่มีรสหวาน ชื่อว่า อติโลณะ
เค็มจัดกล่าวกันว่าเหมือนเกลือ เช่นกับเกลือ. บทว่า อติติตฺติกํ คือ
ของขมจัดมีสะเดาเป็นต้นกล่าวกันว่า เหมือนของขม เช่นกับรสขม.
บทว่า อติมธุรํ มีรสหวานจัด คือมีข้าวปายาสเจือด้วยน้ำนมเป็นต้น.
บทว่า หิมกปฺโป เหมือนหิมะ คือเช่นกับน้ำแข็ง. บทว่า สตฺถุกปฺโป
เหมือนพระศาสดา คือเช่นกับพระพุทธเจ้าผู้เป็นพระศาสดา. บทว่า
เอวเมว เป็นนิบาตบอกความเปรียบเทียบ.
เราจักแสดงวิธีบอกวิปัสสนา โดยสังเขปของพระปัจเจกพุทธเจ้าองค์
หนึ่ง แล้วจักไป ณ ที่นั้น. พระปัจเจกโพธิสัตว์ประสงค์จะทำการกำหนด
นามรูป จึงเข้าฌานใดฌานหนึ่งในฌานสมาบัติ ๘ ทั้งที่เป็นรูปฌานและ
อรูปฌาน ออกจากฌานแล้วกำหนดองค์ฌานมีวิตกเป็นต้น และธรรม
ทั้งหลายมีผัสสะเป็นต้น อันสัมปยุตด้วยองค์ฌานนั้น ด้วยอำนาจแห่ง
ลักษณะ รส ปัจจุปัฏฐาน และปทัฏฐาน ชื่อว่า นาม เพราะอรรถว่า
น้อมไป โดยความน้อมไปมุ่งต่ออารมณ์. แต่นั้น ก็แสวงหาปัจจัยแห่งนาม
นั้น ย่อมเห็นว่า นามย่อมเป็นไปเพราะอาศัยหทัยวัตถุ. ครั้นเห็นภูตรูป
อันเป็นปัจจัยแห่งวัตถุและอุปาทายรูปแล้ว จึงกำหนดว่าทั้งหมดนี้ ชื่อว่า
รูป เพราะมีลักษณะสลายไป. กำหนดนามรูปทั้งสองนั้นอีกโดยสังเขป
อย่างนี้ว่า นามมีลักษณะน้อมไป รูปมีลักษณะสลายไป. นี้ท่านกล่าว
ด้วยอำนาจแห่ง สมถยานิกะ (มีสมถะเป็นยาน). ส่วน วิปัสสนายานิกะ
(มีวิปัสสนาเป็นยาน) กำหนดภูตรูปและอุปาทายรูปด้วยหัวข้อการกำหนด
ธาตุ ๔ แล้วเห็นว่าธรรมทั้งหมดนี้ชื่อว่ารูปเพราะความสลายไป. แต่นั้น
อรูปธรรมทั้งหลาย อันเป็นไปอยู่เพราะอาศัยวัตถุมีจักขุวัตถุเป็นต้นแห่ง

641
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย จูฬนิเทส เล่ม ๖ – หน้าที่ 642 (เล่ม 67)

รูปที่กำหนดไว้อย่างนี้ ย่อมมาสู่คลอง. แต่นั้นรวมอรูปธรรมเหล่านั้น
แม้ทั้งหมดเป็นอันเดียวกัน โดยลักษณะน้อมไป ย่อมเห็นว่านี้เป็นนาม.
พระปัจเจกโพธิสัตว์นั้น ย่อมกำหนดโดยส่วนสองว่า นี้นาม นี้รูป. ครั้น
กำหนดอย่างนั้นแล้ว ย่อมเห็นว่า สัตว์ บุคคล เทวดา หรือพรหมอื่น
นอกเหนือไปจากนามรูปไม่มี.
เหมือนอย่างว่า เสียงว่ารถย่อมมีได้ เพราะการ
ประชุมองค์ประกอบ (ของรถ) ฉันใด เมื่อขันธ์ทั้งหลาย
ยังมีอยู่ การสมมติกันว่าสัตว์ ก็ย่อมมี ฉันนั้น.
ท่านกำหนดนามรูปด้วยญาณอันเป็นทิฏฐิวิสุทธิ กล่าวคือการเห็น
ตามความเป็นจริงของนามรูปโดยนัยมีอาทิอย่างนี้ว่า เมื่ออุปาทานขันธ์ ๕
มีอยู่ การสมมติเรียกกันว่าสัตว์บุคคลย่อมมีได้ฉันนั้นนั่นแหละดังนี้ เมื่อ
กำหนดแม้ปัจจัยของนามรูปนั้นอีก ก็กำหนดนามรูปโดยนัยดังกล่าวแล้ว
กำหนดอยู่ว่าอะไรหนอเป็นเหตุแห่งนามรูปนี้ ครั้นเห็นโทษในอเหตุวาทะ
และเหตุวาทะอันแตกต่างกัน จึงแสวงหาเหตุและปัจจัยของนามรูปนั้น
ดุจแพทย์ครั้นเห็นโรคแล้วจึงตรวจดูสมุฏฐานของโรคนั้น จึงเห็นธรรม ๔
เหล่านี้ คือ อวิชชา ตัณหา อุปาทาน กรรม ว่าเป็นเหตุ เพราะเป็นเหตุ
ให้เกิดนามรูป และว่าเป็นปัจจัยเพราะมีอาหารเป็นปัจจัยอุปถัมภ์. กำหนด
ปัจจัยแห่งรูปกายอย่างนี้ว่า ธรรมทั้งหลาย ๓ มีอวิชชาเป็นต้นเป็นอุป-
นิสสยปัจจัยแก่กายนี้ เหมือนมารดาเป็นอุปนิสสยปัจจัยแก่ทารก มีกรรมทำ
ให้เกิดเหมือนบิดาทำบุตรให้เกิด มีอาหารเลี้ยงดูเหมือนแม่นมเลี้ยงดูทารก
แล้วกำหนดปัจจัยแห่งนามกายโดยนัยมีอาทิว่า อาศัยจักษุและรูป จักขุ-

642
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย จูฬนิเทส เล่ม ๖ – หน้าที่ 643 (เล่ม 67)

วิญญาณย่อมเกิด. เมื่อกำหนดอยู่อย่างนี้ย่อมตกลงใจได้ว่า ธรรมแม้ที่
เป็นอดีตและอนาคตย่อมเป็นไปอย่างนี้เท่านั้นเหมือนกัน.
ท่านกล่าวิจิกิจฉาที่ปรารภอดีต (ปุพฺพนฺตํ) ของบุคคลนั้นไว้ ๕
อย่างคือ
๑. ในอดีตอันยาวนานเราได้เป็นแล้วหรือหนอ.
๒. หรือว่าเราไม่ได้เป็นแล้ว
๓. เราได้เป็นอะไรมาแล้วหรือหนอ
๔. เราได้เป็นอย่างไรแล้วหนอ
๕. เราเป็นอะไรแล้วได้เป็นอะไรตลอดกาลในอดีตหรือหนอ
ท่านกล่าววิจิกิจฉาที่ปรารภอนาคต (อปรนฺตํ) ของบุคคลนั้นไว้ ๕
อย่างคือ
๑. ในอนาคตอันยาวนานเราจักเป็นหรือหนอ
๒. เราจักไม่เป็นหรือหนอ
๓. เราจักเป็นอะไรหนอ
๔. เราจักเป็นอย่างไรหนอ
๕. เราเป็นอะไรแล้วจักเป็นอะไร (ต่อไป) ตลอดกาลในอนาคต
หรือหนอ.
ก็หรือว่าท่านได้กล่าววิจิกิจฉาที่ปรารภปัจจุบันของบุคคลนั้นไว้ ๖
อย่างคือ
๑. เราเป็นอยู่หรือหนอ
๒. เราไม่เป็นอยู่หรือหนอ
๓. เราเป็นอะไรหนอ
๔. เราเป็นอย่างไรหนอ

643
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย จูฬนิเทส เล่ม ๖ – หน้าที่ 644 (เล่ม 67)

๕. สัตว์นี้มาจากที่ไหนหนอ
๖. สัตว์นั้นจักไปที่ไหนหนอ
ท่านละความสงสัยแม้ทั้งหมดนั้นได้. ด้วยการกำหนดปัจจัยอย่างนี้
ท่านกล่าวถึงญาณอันข้ามความสงสัยในกาล ๓ ตั้งอยู่ ว่าเป็น กังขาวิตรณ-
วิสุทธิ (ความหมดจดแห่งญาณเป็นเครื่องข้ามพ้นความสงสัย) บ้าง เป็น
ธรรมฐิติญาณ (ญาณกำหนดรู้ความตั้งอยู่ตามธรรมดา) บ้าง ยถาภูตญาณ
(ญาณกำหนดรู้ตามความเป็นจริง) บ้าง สัมมาทัสสนะ (ความเห็นชอบ)
บ้าง.
อนึ่ง พึงทราบวินิจฉัยในบทนี้ต่อไป. จริงอยู่ โลกิยปริญญามี ๓
คือ ญาตปริญญา (กำหนดรู้ด้วยการรู้) ๑. ตีรณปริญญา (กำหนดรู้
ด้วยการพิจารณา) ๑. ปหานปริญญา (กำหนดรู้ด้วยการละ) ๑.
ในโลกิยปริญญา ๓ เหล่านั้น ปัญญาเป็นไปด้วยอำนาจการกำหนด
ลักษณะเฉพาะตน (ปัจจัตตลักษณะ) ของธรรมเหล่านั้นอย่างนี้ว่า รูปมี
ลักษณะสลาย เวทนามีลักษณะเสวยอารมณ์ ดังนี้ ชื่อว่า ญาตปริญญา.
วิปัสสนาปัญญาอันมีลักษณะเป็นอารมณ์อันเป็นไปแล้ว เพราะยก
ธรรมเหล่านั้นขึ้นสู่สามัญลักษณะ โดยนัยมีอาทิว่า รูปไม่เที่ยง เวทนา
ไม่เที่ยง ดังนี้ ชื่อว่า ตีรณปริญญา.
วิปัสสนาปัญญาอันมีลักษณะเป็นอารมณ์ ที่เป็นไปแล้วด้วยอำนาจ
แห่งการละนิจจสัญญา (ความสำคัญว่าเที่ยง) เป็นต้น ในธรรมเหล่านั้น
นั่นแล ชื่อว่า ปหานปริญญา.
ในปริญญาเหล่านั้น ภูมิแห่งญาตปริญญาเริ่มตั้งแต่กำหนดสังขาร

644
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย จูฬนิเทส เล่ม ๖ – หน้าที่ 645 (เล่ม 67)

จนถึงกำหนดปัจจัย. ในระหว่างนี้การแทงตลอดลักษณะเฉพาะตน (ปัจ-
จัตตลักษณะ) ของธรรมทั้งหลายย่อมเป็นใหญ่.
ภูมิแห่งตีรณปริญญาเริ่มตั้งแต่การพิจารณากองสังขาร จนถึง
อุทยัพพยานุปัสสนา (การพิจารณาเห็นความเกิดและความดับ). ใน
ระหว่างนี้ การแทงตลอดสามัญลักษณะย่อมเป็นใหญ่.
ภูมิแห่งปหานปริญญาเบื้องบนตั้งต้นแต่ภังคานุปัสสนา (การ
พิจารณาเห็นความดับ). ต่อแต่นั้นพิจารณาเห็นโดยความเป็นของไม่เที่ยง
ย่อมละนิจจสัญญาเสียได้ พิจารณาเห็นโดยความเป็นทุกข์ ย่อมละสุขสัญญา
(ความสำคัญว่าเป็นสุข) เสียได้ พิจารณาเห็นโดยความไม่เป็นตัวตน ย่อม
ละอัตตสัญญา (ความสำคัญว่าเป็นตัวตน) เสียได้ เบื่อหน่าย ความเพลิด-
เพลิน สำรอกราคะ ดับตัณหา สละ ละความยึดถือเสียได้ ด้วยประการ
ฉะนี้ อนุปัสสนา (การพิจารณาความ) ๗ อย่าง อันสำเร็จด้วยการละ
นิจจสัญญาเป็นต้นย่อมเป็นใหญ่. ในปริญญา ๓ อย่างเหล่านี้ เป็นอัน
พระโยคาวจรนี้บรรลุญาตปริญญาแล้ว เพราะให้สำเร็จการกำหนดสังขาร
และการกำหนดปัจจัย. พระโยคาวจรย่อมทำการพิจารณาเป็นกลาป โดย
นัยมีอาทิอย่างนี้ว่า รูปอย่างใดอย่างหนึ่ง ที่เป็นอดีต อนาคต ปัจจุบัน
รูปภายในก็ดี รูปภายนอกก็ดี ฯ ล ฯ รูปไกลก็ดี รูปใกล้ก็ดี รูปทั้งหมด
เป็นของไม่เที่ยง เพราะมีแล้วไม่มี เป็นทุกข์เพราะถูกบีบคั้นด้วยความ
เกิดและความดับ เป็นอนัตตาเพราะไม่เป็นไปในอำนาจ. เวทนา สัญญา
สังขาร วิญญาณ อย่างใดอย่างหนึ่ง ที่เป็นอดีต อนาคต ปัจจุบัน อันเป็น
ภายในก็ดี ภายนอกก็ดี หยาบ ละเอียด เลว ประณีต ก็ดี ไกลก็ดี
ใกล้ก็ดี เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ ทั้งหมดไม่เที่ยงเพราะมีแล้ว

645
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย จูฬนิเทส เล่ม ๖ – หน้าที่ 646 (เล่ม 67)

ไม่มี เป็นทุกข์เพราะถูกบีบคั้นด้วยความเกิดและความเสื่อม เป็นอนัตตา
เพราะไม่เป็นไปในอำนาจ. ท่านยกขึ้นสู่พระไตรลักษณ์กล่าวหมายถึงการ
พิจารณาเป็นกลาปนี้.
พระโยคาวจรทำการพิจารณากลาป ด้วยอำนาจแห่งความไม่เที่ยง
เป็นทุกข์ เป็นอนัตตา ในสังขารอย่างนี้แล้ว ย่อมเห็นความเกิดและ
ความดับแห่งสังขารทั้งหลายอีก. เห็นอย่างไร เห็นความเกิดแห่งรูปขันธ์
ด้วยการเห็นความที่รูปขันธ์เนื่องด้วยปัจจัยอย่างนี้ว่า เพราะอวิชชาเกิด
รูปจึงเกิด เพราะตัณหา กรรม อาหาร เกิด จึงเกิด รูป ดังนี้. แม้เมื่อ
เห็นนิพพัตติลักษณะ คือลักษณะของความเกิด ก็ย่อมเห็นความเกิดของ
รูปขันธ์ด้วย ชื่อว่า ย่อมเห็นความเกิดแห่งรูปขันธ์ด้วยอาการ ๕ อย่าง
ด้วยประการฉะนี้. ย่อมเห็นความเสื่อมแห่งรูปขันธ์ด้วยการดับแห่งปัจจัย
ว่า เพราะตัณหา กรรม อาหาร ดับ รูปจึงดับ. แม้เมื่อเห็นวิปริณาม-
ลักษณะ คือ ลักษณะความแปรปรวน ก็ย่อมเห็นความเสื่อมแห่งรูปขันธ์.
ชื่อว่า เห็นความเสื่อมแห่งรูปขันธ์ด้วยอาการ ๕ อย่าง ด้วยประการฉะนี้.
อนึ่ง พระโยคาวจรย่อมเห็นความเกิดแห่งเวทนาขันธ์ ด้วยการเห็น
เนื่องด้วยปัจจัยว่า เพราะอวิชชาเกิด เวทนาจึงเกิด เพราะตัณหา กรรม
ผัสสะเกิด เวทนาจึงเกิด. แม้เมื่อเห็นนิพพัตติลักษณะ คือ ลักษณะของ
การเกิด ก็ย่อมเห็นการเกิดแห่งเวทนาขันธ์ด้วย. เห็นความเสื่อมแห่ง
เวทนาขันธ์ ด้วยการเห็นความดับแห่งปัจจัยว่า เพราะอวิชชาดับ เวทนา
จึงดับ เพราะตัณหา กรรม ผัสสะ ดับ เวทนาจึงดับ. แม้เมื่อเห็น
วิปริฌามลักษณะ คือ ลักษณะความปรวนแปร ก็ชื่อว่า ย่อมเห็นความ
เสื่อมแห่งเวทนาขันธ์ด้วย.

646
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย จูฬนิเทส เล่ม ๖ – หน้าที่ 647 (เล่ม 67)

แม้ในสัญญาขันธ์เป็นต้นก็อย่างนี้. แต่ก็มีความต่างกันดังนี้ พึง
ประกอบคำว่า เพราะนามรูปเกิด (วิญญาณจึงเกิด) และเพราะนามรูปดับ
(วิญญาณจึงดับ) ดังนี้. ในที่แห่งผัสสะ (เมื่อพิจารณาความเกิดและความ
เสื่อม) ของวิญญาณขันธ์. ท่านกล่าวถึงลักษณะ ๕๐ แบ่งเป็นอย่างละ
๑๐ ๆ ในการเห็นความเกิดและความดับในขันธ์หนึ่ง ๆ ด้วยการเกิด
แห่งปัจจัย ด้วยนิพพัตติลักษณะ คือ ลักษณะแห่งการเกิด ด้วยการดับ
แห่งปัจจัย ด้วยวิปริณามลักษณะ คือลักษณะแห่งความปรวนแปร. ด้วย
อำนาจแห่งลักษณะเหล่านั้น พระโยคาวจรกระทำมนสิการโดยพิสดาร
ทั้งโดยปัจจัยและทั้งโดยขณะว่า ความเกิดแห่งรูปย่อมเป็นแม้อย่างนี้ ความ
เสื่อมแห่งรูปย่อมเป็นแม้อย่างนี้.
เมื่อพระโยคาวจรกระทำอย่างนี้ ญาณย่อมเป็นญาณบริสุทธิ์ว่า นัยว่า
ธรรมเหล่านี้ไม่มีแล้ว มีแล้วเสื่อม ด้วยประการฉะนี้. สังขารทั้งหลาย
ย่อมปรากฏเป็นของใหม่อยู่เป็นนิจว่า นัยว่าธรรมเหล่านี้ที่ยังไม่เกิดย่อม
เกิดขึ้น ที่เกิดขึ้นแล้วย่อมดับไป ด้วยประการฉะนี้. สังขารทั้งหลายมิใช่
เป็นของใหม่อยู่เป็นนิจแต่เพียงอย่างเดียว ยังปรากฏไม่มีสาระ หาสาระ
มิได้ ดุจหยาดน้ำค้างในเวลาพระอาทิตย์ขึ้น ดุจฟองน้ำ ดุจรอยขีดในน้ำ
ด้วยไม้ ดุจเมล็ดผักกาดบนปลายเหล็กแหลม ดุจสายฟ้าแลบ และดุจภาพ
ลวง พยับแดด ความฝัน ลูกไฟ วงล้อ นักร้อง ยาพิษ ฟองน้ำ
และต้นกล้วยเป็นต้น อันตั้งอยู่ชั่วเวลาเล็กน้อย. ก็ด้วยเหตุเพียงเท่านี้
เป็นอันว่าพระโยคาวจรได้บรรลุตรุณวิปัสสนาญาณเป็นครั้งแรก ชื่อว่า
อุทยัพพยานุปัสสนาญาณ เพราะแทงตลอดลักษณะ ๕๐ ถ้วนโดย
อาการอย่างนี้ว่า สิ่งที่มีความเสื่อมไปเป็นธรรมดานั่นแลย่อมเกิดขึ้น และ

647
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย จูฬนิเทส เล่ม ๖ – หน้าที่ 648 (เล่ม 67)

สิ่งที่เกิดขึ้นแล้วย่อมถึงความเสื่อมไป ดังนี้ เพราะพระโยคาวจรบรรลุ
ตรุณวิปัสสนาญาณ จึงนับว่าเป็น อารทฺธวิปสฺสโก เป็นผู้ปรารภวิปัสสนา
แล้ว.
ครั้นกุลบุตรนั้นเริ่มวิปัสสนาแล้ว วิปัสสนูปกิเลส (เครื่องเศร้าหมอง
ของวิปัสสนา) ๑๐ อย่างย่อมเกิดขึ้น คือ โอภาส (แสงสว่าง) ๑ ญาณ ๑
ปีติ ปัสสัทธิ ๑ สุข ๑ อธิโมกข์ (ความน้อมใจเชื่อ) ๑ ปัคคหะ
(การประคองไว้) ๑ อุปัฏฐานะ (การเข้าไปตั้งไว้) ๑ อุเบกขา
นิกันติ (ความใคร่) ๑.
ในวิปัสสนูปกิเลสเหล่านี้ เพราะญาณมีกำลังในขณะแห่งวิปัสสนา
โลหิตย่อมผ่องใส ชื่อว่า โอภาส. เพราะโลหิตผ่องใสนั้น ความสว่าง
แห่งจิตย่อมเกิด. พระโยคาวจรผู้ไม่ฉลาด ครั้นเห็นดังนั้นแล้วพอใจ
แสงสว่างนั้น ด้วยคิดว่า เราบรรลุมรรคแล้ว. แม้ญาณก็เป็นวิปัสสนาญาณ
เท่านั้น. ญาณนั้นบริสุทธิ์ผ่องใส ย่อมเป็นไปแก่ผู้พิจารณาสังขารทั้งหลาย
พระโยคาวจรเห็นดังนั้นย่อมพอใจว่า เราได้บรรลุมรรคแล้วดุจในครั้ง
ก่อน. ปีติ ก็เป็นวิปัสสนาปีติเท่านั้น. ในขณะนั้น ปีติ ๕ อย่างย่อมเกิด
ขึ้นแก่พระโยคาวจรนั้น. ปัสสัทธิ ได้แก่ ปัสสัทธิในวิปัสสนา. ใน
สมัยนั้น กายและจิตไม่กระวนกระวาย ไม่มีความกระด้าง ไม่มีความ
ไม่ควรแก่การงาน ไม่มีความไข้ ไม่มีความงอ. แม้สุขก็เป็นสุขใน
วิปัสสนาเท่านั้น. นัยว่าในสมัยนั้น ร่างกายทุกส่วนชุ่มชื่น ประณีตยิ่ง
เป็นสุขย่อมเกิดขึ้น. ศรัทธาเป็นไปในขณะแห่งวิปัสสนา ชื่อว่า อธิโมกข์.
จริงอยู่ ในขณะนั้นศรัทธาที่มีกำลัง ซึ่งยังจิตและเจตสิกให้เลื่อมใสอย่าง
ยิ่ง ตั้งอยู่ด้วยดีย่อมเกิดขึ้น. ความเพียรที่สัมปยุตด้วยวิปัสสนา ชื่อว่า

648