No Favorites




หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย จูฬนิเทส เล่ม ๖ – หน้าที่ 629 (เล่ม 67)

ก็แหละนิเทศแห่งพราหมณ์ผู้ถึงฝั่งในศาสนา ๑๖ คน
นี้ คือ อชิตพราหมณ์ ๑ ติสสเมตเตยพราหมณ์ ๑
ปุณณกพราหมณ์ ๑ เมตตคูพราหมณ์ ๑ โธตกพราหมณ์ ๑
อุปสีวพราหมณ์ ๑ นันทพราหมณ์ ๑ เหมกพราหมณ์ ๑
โตเทยยพราหมณ์ ๑ กัปปพราหมณ์ ๑ ชตุกัณณีพราหมณ์
ผู้เป็นบัณฑิต ๑ ภัทราวุธพราหมณ์ ๑ อุทยพราหมณ์ ๑
โปสาลพราหมณ์ ๑ โมฆราชพราหมณ์ผู้เป็นนักปราชญ์ ๑
ปิงคิยพราหมณ์ผู้แสวงหาคุณใหญ่ ๑ รวมเป็น ๑๖ นิทเทส
และในปารายนวรรคนั้น ยังมีขัคควิสาณสุตตนิทเทส
อีก ๑ นิทเทส นิทเทสทั้ง ๒ อย่างควรรู้ บริบูรณ์แล้ว
ท่านลิขิตไว้ดีแล้ว.
สุตตนิทเทส จบบริบูรณ์

629
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย จูฬนิเทส เล่ม ๖ – หน้าที่ 630 (เล่ม 67)

อรรถกถาขัคควิสาณสุตตนิทเทส
ต่อนี้ไปถึงโอกาสแห่งการพรรณนา ขัคควิสาณสุตตนิทเทส แล้ว.
พวกเราจักพรรณนาเพียงบทที่เกินต่อจากบทนี้เท่านั้น.
ปฐมวรรค
คาถาที่ ๑
๑*) สพฺเพสุ ภูเตสุ นิธาย ทณฺฑํ
อวิเหฐยํ อญฺญตรฺปิ เตสํ
น ปุตฺตมิจฺเฉยฺย กุโต สหายํ
เอโก จเร ขคฺควิสาณกปฺโป.
บุคคลวางอาชญาในสัตว์ทั้งปวงแล้ว ไม่เบียดเบียน
บรรดาสัตว์เหล่านั้น แม้ผู้ใดผู้หนึ่งให้ลำบาก ไม่พึง
ปรารถนาบุตร จะพึงปรารถนาสหายแต่ที่ไหน พึงเที่ยว
ไปผู้เดียวเหมือนนอแรดฉะนั้น.
ในบทเหล่านั้น บทว่า สพฺเพสุ ได้แก่ ไม่มีส่วนเหลือ. บทว่า
ภูเตสุ คือ ในสัตว์ทั้งหลาย.
ภูต ศัพท์ในบทว่า ภูเตสุ นี้เป็นไปในอรรถว่า สิ่งที่มี ในบทมี
อาทิอย่างนี้ว่า ภูตสฺมึ ปาจิตฺติยํ เป็นอาบัติปาจิตตีย์ในเพราะสิ่งที่มีอยู่.
เป็นไปในอรรถว่า ขันธ์ ๕ ในบทมีอาทิอย่างนี้ว่า ภูตมิทํ สารีปุตฺต
สมนุปสฺสสิ ดูก่อนสารีบุตร เธอจงพิจารณา ขันธ์ นี้. เป็นไปในอรรถว่า
รูป ๔ อย่าง มีปฐวีธาตุเป็นต้น. เป็นไปในอรรถว่า รูป ๔ มีปฐวีธาตุเป็นต้น
* เลขหน้าคาถาทุกคาถา ในขัคควิสาณสุตตนิทเทสนี้ ไม่ใช่เลขข้อในบาลี. เป็นเลขลำดับ
คาถา มีทั้งหมด ๔๑ คาถา.

630
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย จูฬนิเทส เล่ม ๖ – หน้าที่ 631 (เล่ม 67)

มีอาทิอย่างนี้ว่า จตฺตาโร โข ภิกฺขเว มหาภูตา เหตุ ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย
มหาภูตรูป ๔ และเป็นเหตุ.
เป็นไปในอรรถว่า พระขีณาสพ ในบทมีอาทิอย่างนี้ว่า โย จ
กาลฆโส ภูโต พระขีณาสพ เป็นผู้กินกาลเวลา.
เป็นไปในอรรถว่า สรรพสัตว์ ในบทมีอาทิอย่างนี้ว่า สพฺเพว
นิกฺขิปิสฺสนฺติ ภูตา โลเก สมุสฺสยํ สัตว์ทั้งปวง จักทิ้งร่างกายไว้ในโลก.
เป็นไปในอรรถว่า ต้นไม้ เป็นต้น ในบทมีอาทิอย่างนี้ว่า ภูต-
คามปาตพฺยตาย เป็นอาบัติปาจิตตีย์เพราะพราก ของเขียว ซึ่งเกิดอยู่
กับที่ให้หลุดจากที่.
ย่อมเป็นไปหมายเอา หมู่สัตว์ ในชั้นต่ำกว่าชั้นจาตุมหาราชิกา
ลงมา ในบทมีอาทิอย่างนี้ว่า ภูตํ ภูตโต ปชานาติ ย่อมรู้ หมู่สัตว์
ตามความเป็นจริง.
แต่ในที่นี้พึงทราบว่า สัตว์ทั้งหลายที่เกิดแล้วบนแผ่นดินและภูเขา
เป็นต้น โดยไม่ต่างกันว่า ภูตะ ในสัตว์ทั้งหลายเหล่านั้น.
บทว่า นิธาย คือ วางแล้ว. บทว่า ทณฺฑํ คือ อาชญาทางกาย
วาจาและใจ. บทนี้เป็นชื่อของกายทุจริตเป็นต้น. กายทุจริตชื่อว่า ทัณฑะ
เพราะลงโทษ. ท่านกล่าวว่า เพราะเบียดเบียนให้ถึงความพินาศล่มจม.
วจีทุจริตและมโนทุจริตก็เหมือนกัน หรือการลงโทษด้วยการประหารนั้น
แล ชื่อว่า ทัณฑะ. ท่านกล่าวว่า วางอาชญานั้น. บทว่า อเหฐยํ คือ
ไม่เบียดเบียน. บทว่า อญฺญตรมฺปิ คือ แม้แต่ผู้ใดผู้หนึ่ง. บทว่า เตสํ
คือ สรรพสัตว์เหล่านั้น. บทว่า น ปุตฺตมิจฺเฉยฺย คือ ไม่พึงปรารถนา
บุตรไร ๆ ในบุตร ๔ จำพวกเหล่านี้ คือ อัตตชะ บุตรเกิดแต่ตน ๑

631
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย จูฬนิเทส เล่ม ๖ – หน้าที่ 632 (เล่ม 67)

เขตตชะ บุตรเกิดแต่ภริยา ๑ ทินนกะ บุตรที่เขายกให้ ๑ อันเตวาสิกะ
ลูกศิษย์ ๑. บทว่า กุโต สหายํ คือ พึงปรารถนาสหายได้แต่ไหน.
บทว่า เอโก ได้แก่ ผู้เดียว ด้วยการบวช. ชื่อว่า ผู้เดียว เพราะ
อรรถว่า ไม่มีเพื่อน. ชื่อว่า ผู้เดียว เพราะอรรถว่า ละตัณหาได้. ชื่อว่า
ผู้เดียว เพราะปราศจากกิเลสโดยแน่นอน. ชื่อว่า ผู้เดียว เพราะตรัสรู้
ปัจเจกสัมโพธิญาณผู้เดียว. จริงอยู่ แม้ยังเป็นไปอยู่ในท่ามกลางสมณะ
ตั้งพัน ก็ชื่อว่า ผู้เดียว เพราะตัดความคลุกคลีกับคฤหัสถ์ ด้วยประการ
ฉะนี้ จึงชื่อว่า ผู้เดียว ด้วยการบวช. ชื่อว่า ผู้เดียว เพราะยืนผู้เดียว
ไปผู้เดียว นั่งผู้เดียว นอนผู้เดียว เคลื่อนไหวเป็นไปผู้เดียว ด้วยประการ
ฉะนี้ จึงชื่อว่าผู้เดียว โดยไม่มีเพื่อน. ดังที่ท่านกล่าวไว้ว่า
บุรุษมีตัณหาเป็นเพื่อน ท่องเที่ยวไปตลอดกาลนาน
ย่อมไม่ล่วงพ้นสงสารอันมีความเป็นอย่างนี้ และมีความ
เป็นอย่างอื่นไปได้ ภิกษุมีสติรู้โทษอย่างนี้ และตัณหา
เป็นแดนเกิดแห่งทุกข์แล้ว พึงเป็นผู้ปราศจากตัณหา
ไม่ถือมั่น พึงเว้นรอบ.
ด้วยประการฉะนี้ จึงชื่อว่า ผู้เดียว เพราะละตัณหาเสียได้. ชื่อว่า
ผู้เดียว เพราะปราศจากกิเลสได้แน่นอนอย่างนี้ คือละกิเลสทั้งหมดแล้ว
ตัดรากขาดแล้ว กระทำให้เหมือนตาลยอดด้วน มีการไม่เกิดขึ้นอีกต่อไป
เป็นธรรมดา. ชื่อว่า ผู้เดียว เพราะเป็นพระสยัมภู ไม่มีอาจารย์ เป็นผู้
ตรัสรู้ปัจเจกสัมโพธิญาณด้วยตนเอง ด้วยประการฉะนี้ จึงชื่อว่า ผู้เดียว
เพราะตรัสรู้ปัจเจกสัมโพธิญาณผู้เดียว.
บทว่า จเร พึงเที่ยวไป ได้แก่จริยา (การเที่ยวไป) มี ๘ อย่างคือ
อิริยาปถจริยา การเที่ยวไปในอิริยาบถ ๔ ของผู้ถึงพร้อมด้วยการตั้งตน

632
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย จูฬนิเทส เล่ม ๖ – หน้าที่ 633 (เล่ม 67)

ไว้ชอบ ๑. อายตนจริยา การเที่ยวไปในอายตนะภายใน ๖ ของผู้คุ้ม-
ครองทวารในอินทรีย์ทั้งหลาย ๑ สติจริยา การเที่ยวไปในสติปัฏฐาน ๔
ของผู้มีปกติอยู่ด้วยความไม่ประมาท ๑ สมาธิจริยา การเที่ยวไปในฌาน
๔ ของผู้ขวนขวายในอธิจิต ๑ ญาณจริยา การเที่ยวไปในอริยสัจ ๔
ของผู้ถึงพร้อมด้วยปัญญา ๑ มรรคจริยา การเที่ยวไปในอริยมรรค ๔
ของผู้ปฏิบัติโดยชอบ ๑ ปัตติจริยา การเที่ยวไปในสามัญผล ๔ ของ
ผู้บรรลุผล ๑ โลกัตถจริยา ความประพฤติเป็นประโยชน์แก่โลกใน
สรรพสัตว์ทั้งหลาย ของท่านผู้เป็นพุทธะ ๓ จำพวก คือพระสัมมา-
สัมพุทธะ ๑ พระปัจเจกพุทธะ ๑ พระสาวกพุทธะ ๑. ในพระพุทธะ
๓ จำพวกเหล่านั้น ความประพฤติเป็นประโยชน์แก่โลกของพระปัจเจก-
พุทธะ และพระสาวกพุทธะ ได้เฉพาะบางส่วน เหมือนอย่างที่ท่านกล่าว
ไว้ว่า จริยา ๘ ในคำว่า จริยา นี้ ได้แก่ อิริยาปถจริยาเป็นต้น.
พึงทราบความพิสดารในเรื่องนั้น ความว่า พึงเป็นผู้ประกอบด้วยจริยา
เหล่านั้น.
อีกอย่างหนึ่ง ท่านกล่าวจริยา ๘ แม้อย่างอื่นอีกอย่างนี้ว่า บุคคล
ผู้น้อมใจเชื่อจริยาเหล่านี้ ย่อมประพฤติด้วยศรัทธา ผู้ประคองใจย่อม
ประพฤติด้วยความเพียร ผู้เข้าไปตั้งมั่น ย่อมประพฤติด้วยสติ ผู้ไม่ฟุ้งซ่าน
ย่อมประพฤติด้วยสมาธิ ผู้รู้ทั่วย่อมประพฤติด้วยปัญญา ผู้รู้แจ้งย่อม
ประพฤติด้วยวิญญาณ บุคคลผู้มนสิการว่า กุศลธรรมทั้งหลายย่อมดำเนิน
ไปทั่วแก่บุคคลผู้ปฏิบัติอย่างนี้ ย่อมประพฤติด้วยอายตนจริยา บุคคล
ผู้มนสิการว่า ผู้ปฏิบัติอย่างนี้ย่อมบรรลุคุณวิเศษ ย่อมประพฤติด้วยวิเศษ-
จริยา ดังนี้. อธิบายว่า พึงเป็นผู้ประกอบด้วยจริยาแม้เหล่านั้น.

633
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย จูฬนิเทส เล่ม ๖ – หน้าที่ 634 (เล่ม 67)

บทว่า ขคฺควิสาณกปฺโป เหมือนนอแรด คือเขาของแรดชื่อว่า
นอแรด.
กัปป ศัพท์นี้มีความหลายอย่างเป็นต้นว่า เชื่อ โวหาร กาล บัญญัติ
เฉทนะ (ตัด) วิกัปปะ (ประมาณ) เลส สมันตภาวะ (โดยรอบ) สทิสะ
(คล้าย).
จริงอย่างนั้น กัปป ศัพท์นั้นมีอรรถว่า เชื่อ ในประโยคมีอาทิ
อย่างนี้ว่า๑ ข้อนี้ควร เชื่อ ต่อพระโคดมผู้เป็นพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า.
มีอรรถว่า โวหาร ในประโยคมีอาทิอย่างนี้ ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย
เราอนุญาตเพื่อฉันผลไม้ด้วยสมณโวหาร ๕ อย่าง.
มีอรรถว่า กาล ในประโยคมีอาทิอย่างนี้ว่า นัยว่าเราจะอยู่ตลอด
กาล เป็นนิจ.
มีอรรถว่า บัญญัติ ในประโยคมีอาทิอย่างนี้ว่า ท่านกัปปะ ได้
กล่าวไว้ดังนี้.
มีอรรถว่า เฉทนะ ตัด ในประโยคมีอาทิอย่างนี้ว่า ปลง ผมและ
หนวดตกแต่งแล้ว.
มีอรรถว่า วิกัปปะ ประมาณ ในประโยคมีอาทิอย่างนี้ว่า กว้าง
หรือยาว ประมาณ ๒ นิ้ว.
มีอรรถว่า เลส ในประโยคมีอาทิอย่างนี้ว่า หา เลส เพื่อจะนอน.
มีอรรถว่า สมันตภาวะโดยรอบ ในประโยคมีอาทิอย่างนี้ว่า ยัง
พระวิหารเวฬุวัน โดยรอบ ให้สว่างไสว.
มีอรรถว่า สทิสะ คล้าย ในประโยคมีอาทิอย่างนี้ว่า ท่านผู้เจริญ
๑. ม. มู. ๑๒/ข้อ ๔๓๐. ๒. ม. มู. ๑๒/ข้อ ๓๐๐.

634
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย จูฬนิเทส เล่ม ๖ – หน้าที่ 635 (เล่ม 67)

ผมกำลังพูดอยู่กับท่านผู้เป็นสาวก ทรงคุณ คล้าย พระศาสดา มิได้ทราบ
เลย (ว่าท่านชื่อว่าสารีบุตร). อธิบายว่า มีส่วนเปรียบ.
อนึ่ง ในบทนี้พึงทราบ ความว่า เช่นกับ เปรียบกับ พระศาสดา
นั้น. ท่านกล่าวว่า เปรียบกับนอแรด. พึงทราบการพรรณนาความ
ในที่นี้ เพียงเท่านี้ก่อน.
แต่พึงทราบเนื้อความอย่างนี้ได้ โดยสืบต่อจากการอธิบายต่อไป.
อาชญานี้มีประการดังได้กล่าวแล้ว ยังเป็นไปอยู่ในสัตว์ทั้งหลาย ยังไม่
ละวาง. บุคคลไม่ยังอาชญาให้เป็นไปในสัตว์ทั้งหลายเหล่านั้น วางอาชญา
ในสัตว์ทั้งปวงด้วยเมตตา อันเป็นปฏิปักษ์ต่ออาชญานั้น และด้วยนำ
ประโยชน์เข้าไปให้ เพราะเป็นผู้วางอาชญาแล้วนั่นเอง สัตว์ทั้งหลายผู้
ยังไม่วางอาชญา ย่อมเบียดเบียนสัตว์ด้วยท่อนไม้ ด้วยศัสตรา ด้วยฝ่ามือ
หรือด้วยก้อนดิน ฉันใด เราไม่เบียดเบียนสัตว์เหล่านั้น แม้แต่ผู้ใดผู้หนึ่ง
ฉันนั้น อาศัยเมตตากรรมฐานนี้เห็นแจ้งสังขตธรรม อันไปแล้วในเวทนา
ไปแล้วในสัญญา สังขาร และวิญญาณ และอื่นจากนั้น โดยทำ นอง
เดียวกัน แล้วจึงได้บรรลุปัจเจกโพธิญาณนี้. พึงทราบอธิบายดังนี้ก่อน.
พึงทราบอนุสนธิต่อไป. เมื่อพระปัจเจกสัมพุทธเจ้ากล่าวอย่างนั้น
แล้ว พวกอำมาตย์เหล่านั้นจึงกล่าวว่า พระคุณเจ้าผู้เจริญ บัดนี้พระคุณเจ้า
จะไปไหน. พระปัจเจกสัมพุทธเจ้ารำพึงว่า พระปัจเจกสัมพุทธเจ้าแต่ก่อน
อยู่ ณ ที่ไหน ครั้นรู้แล้วจึงกล่าวว่า อาตมาจะไปภูเขาคันธมาทน์ พวก
มนุษย์จึงกล่าวอีกว่า โอ บัดนี้พระคุณเจ้าจะทิ้งพวกกระผมไป อย่าไปเลย
ขอรับ. ลำดับนั้น พระปัจเจกสัมพุทธเจ้าจึงกล่าวว่า น ปุตฺตมิจเฉยฺย
บุคคลไม่พึงปรารถนาบุตร ดังนี้เป็นต้น.

635
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย จูฬนิเทส เล่ม ๖ – หน้าที่ 636 (เล่ม 67)

ในบทนั้นมีอธิบายดังนี้ บัดนี้เรามิได้พึงปรารถนาบุตรประเภทใด
ประเภทหนึ่ง บรรดาบุตรที่เกิดแต่ตนเป็นต้น จักปรารถนาสหายเช่น
ท่านแต่ไหน เพราะฉะนั้น บรรดาท่านทั้งหลาย ผู้ใดเป็นชายก็ตาม เป็น
หญิงก็ตาม ประสงค์จะไปกับเรา ผู้นั้นพึงเที่ยวไปผู้เดียวเหมือนนอแรด
ฉะนั้น.
อีกอย่างหนึ่ง เมื่ออำมาตย์เหล่านั้นกล่าวว่า พระคุณเจ้าผู้เจริญ
พระคุณเจ้าจะละทิ้งพวกกระผมไป พระคุณเจ้าไม่ต้องการพวกกระผม
เสียแล้วหรือ. พระปัจเจกสัมพุทธเจ้าจึงกล่าวว่า อาตมามิได้พึง
ปรารถนาบุตร จักปรารถนาสหายแต่ไหน เห็นคุณของการเที่ยวไปผู้เดียว
โดยความตามที่ตนกล่าวแล้ว ก็บันเทิงใจ เกิดปีติโสมนัส จึงเปล่ง
อุทานนี้.
ในบทเหล่านั้น บทว่า ตสิตา คือ ทำความอยาก. บทว่า
ภยเภรโร ความกลัวและความขลาด คือมีจิตสะดุ้งเปล่งเสียงตกใจ.
บทว่า ถาวรา ผู้มั่นคง คือพระขีณาสพ. บทว่า นิธาย คือ ทิ้งแล้ว
บทว่า นิทหิตฺวา คือ วางแล้ว. บทว่า โอโรปยิตฺวา คือ ปลงแล้ว.
บทว่า สโมโรปยิตฺวา คือ ปล่อยลงข้างล่าง. บทว่า นิกฺขิปิตฺวา ได้แก่
นำออกไปจากที่นั้น. บทว่า ปฏิปสฺสมฺภิตฺวา ระงับแล้ว คือสงบแล้ว.
บทว่า อาลปนํ คือ การเจรจากันแต่แรก. บทว่า สลฺลปนํ คือ การ
เจรจากันโดยชอบ. บทว่า อุลฺลปนํ คือ เจรจายกย่องกัน. บทว่า
สมุลฺลปนํ คือ การเจรจายกย่องกันบ่อย ๆ.
บทว่า อิริยาปถจริยา คือ เที่ยวไปในอิริยาบถ. แม้ในบทที่
เหลือก็มีนัยนี้เหมือนกัน. แต่ อายตนจริยา คือ เที่ยวไปในอายตนะ

636
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย จูฬนิเทส เล่ม ๖ – หน้าที่ 637 (เล่ม 67)

ด้วยสติและสัมปชัญญะ. บทว่า ปตฺติ คือ ผลทั้งหลาย. เพราะผล
เหล่านั้นท่านเรียกว่า ปตฺติ เพราะเป็นเหตุให้บรรลุ. ประโยชน์ทั้งหลาย
อันเป็นไปในทิฏฐธรรมและสัมปรายภพของสัตว์โลก ชื่อว่า โลกัตถะ
นี่เป็นข้อแตกต่างกัน.
บัดนี้ พระปัจเจกสัมพุทธเจ้าเมื่อจะแสดงภูมิแห่งจริยาเหล่านั้น จึง
กล่าวคำมีอาทิว่า จตูสุ อิริยาปเถสุ ในอิริยาบถ ๔.
บทว่า สติปฏฺฐาเนสุ คือ แม้ในสติปัฏฐาน ซึ่งมีสติปัฏฐานเป็น
อารมณ์ที่ท่านพระสารีบุตรกล่าวอยู่ ก็กล่าวถึงธรรมที่ไม่เป็นอย่างอื่นจาก
สติ แต่ทำเหมือนเป็นอย่างอื่นด้วยโวหาร. บทว่า อริสจฺเจสุ ท่าน
กล่าวด้วยการกำหนดสัจจะไว้เป็นแผนก ๆ ด้วยสัจญาณอันเป็นโลกิยะอัน
เป็นส่วนเบื้องต้น. คำว่า อริยมคฺเคสุ และคำว่า สามญฺญผเลสุ ท่าน
กล่าวด้วยอำนาจโวหารเท่านั้น. บทว่า ปเหเส คือ ในส่วนหนึ่งของ
โลกัตถจริยา คือการประพฤติเป็นประโยชน์แก่โลก. จริงอยู่ พระพุทธเจ้า
ทั้งหลาย ย่อมทรงบำเพ็ญโลกัตถจริยาโดยไม่มีส่วนเหลือ.
พระสารีบุตรเมื่อจะแสดงจริยาเหล่านั้นอีก ด้วยอำนาจแห่งการก-
บุคคล (บุคคลผู้กระทำ) จึงกล่าวคำมีอาทิว่า ปณิธิสมฺปนฺนานํ ของผู้
ถึงพร้อมด้วยการตั้งตนไว้ชอบ.
ในบทเหล่านั้นพึงทราบความดังต่อไปนี้. ผู้มีอิริยาบถไม่หวั่นไหว
ถึงพร้อมด้วยความเป็นไปแห่งอิริยาบถ เพราะอิริยาบถสงบ ผู้ถึงพร้อม
ด้วยอิริยาบถอันสงบสมควรแก่ความเป็นภิกษุ ชื่อว่า ปณิธิสมฺปนฺนานํ
ผู้ถึงพร้อมด้วยการตั้งตนไว้ชอบ. บทว่า อินฺทฺริเยสุ คุตฺตทฺวารานํ ผู้มี
ทวารคุ้มครองแล้วในอินทรีย์ทั้งหลาย คือชื่อว่า คุตฺตทฺวารา เพราะมี

637
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย จูฬนิเทส เล่ม ๖ – หน้าที่ 638 (เล่ม 67)

ทวารคุ้มครองแล้วในอินทรีย์ทั้งหลาย ๖ มีจักขุนทรีย์เป็นต้น ด้วยสามารถ
ทวารหนึ่ง ๆ อันเป็นไปแล้วในวิสัยของตน ๆ. แห่งทวารอันคุ้มครองแล้ว
นั้น. อนึ่ง ในบทว่า ทฺวารํ นี้ ได้แก่ จักขุทวารเป็นต้น ด้วยอำนาจ
แห่งทวารที่เกิดขึ้นตามธรรมดา. บทว่า อปฺปมาทสิหารีนํ ของบุคคลผู้อยู่
ด้วยความไม่ประมาท คือของบุคคลผู้อยู่ด้วยความไม่ประมาทในคุณ
ทั้งหลายมีศีลเป็นต้น. บทว่า อธิจิตฺตมนุยุตฺตานํ ของบุคคลผู้ขวนขวาย
ในอธิจิต คือของบุคคลผู้ขวนขวายด้วยสมาธิคืออธิจิต โดยความเป็นบาท
แห่งวิปัสสนา. บทว่า พุทฺธิสมฺปนฺนานํ ของบุคคลผู้ถึงพร้อมด้วยปัญญา
คือของบุคคลผู้ถึงพร้อมด้วยญาณอันเป็นไป ตั้งต้นแต่การกำหนดนามรูป
จนถึงโคตรภู. บทว่า สมฺมาปฏิปนฺนานํ ของบุคคลผู้ปฏิบัติชอบ คือ
ในขณะของมรรค ๔. บทว่า อธิคตผลานํ ของบุคคลผู้บรรลุผลแล้ว คือ
ในขณะของผล ๔.
บทว่า ตถาคตานํ คือ ผู้มาแล้วเหมือนอย่างนั้น. บทว่า อรหนฺ-
ตานํ คือ ผู้ไกลจากกิเลส. บทว่า สมฺมาสมฺพุทฺธานํ คือ ผู้ตรัสรู้
ธรรมทั้งปวงโดยชอบและด้วยตนเอง. ความของบททั้งหลายเหล่านี้
ประกาศไว้แล้วในหนหลังนั่นแล.
บทว่า ปเทเส ปจฺเจกสมฺพุทฺธานํ คือ ของพระปัจเจกสัมพุทธ-
เจ้าทั้งหลายบางส่วน. บทว่า ปเทเส สาวกานํ คือ แม้ของสาวกทั้งหลาย
บางส่วน. บทว่า อธิมุจฺจนฺโต คือ ทำการน้อมไป. บทว่า สทฺธาย
จรติ ประพฤติด้วยศรัทธา คือเป็นไปด้วยอำนาจแห่งศรัทธา. บทว่า
ปคฺคณฺหนฺโต ผู้ประคองใจ คือพยายามด้วยความเพียร คือสัมมัปปธาน ๔.
บทว่า อุปฏฺฐเปนฺโต ผู้เข้าไปตั้งไว้ คือเข้าไปตั้งอารมณ์ไว้ด้วยสติ. บทว่า

638