No Favorites




หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย จูฬนิเทส เล่ม ๖ – หน้าที่ 619 (เล่ม 67)

งามในท่ามกลาง งามในที่สุด พร้อมทั้งอรรถทั้งพยัญชนะ ประกาศ
พรหมจรรย์บริสุทธิ์บริบูรณ์สิ้นเชิง เพราะฉะนั้น จึงชื่อว่า มีสุตะ.
คำว่า มีสติ ความว่า พระปัจเจกสัมพุทธเจ้านั้นเป็นผู้มีสติ ประ-
กอบด้วยสติรอบคอบอย่างยิ่ง ระลึกถึงกิจที่ทำและคำที่พูดแล้วแม้นานได้
เพราะฉะนั้น จึงชื่อว่า ไม่โง่เขลา มีสุตะ มีสติ.
[๘๐๒] ญาณ ปัญญา ความรู้ชัด ฯ ล ฯ ความไม่หลง ความ
เลือกเฟ้นธรรม สัมมาทิฏฐิ ท่านกล่าวว่า สังขาตธรรม ในอุเทศว่า
สงฺขาตธมฺโม นิยโต ปธานวา ดังนี้.
คำว่า มีธรรมอันนับพร้อมแล้ว ความว่า พระปัจเจกสัมพุทธเจ้า
นั้น มีธรรมอันนับพร้อมแล้ว มีธรรมอันรู้แล้ว มีธรรมอันเทียบเคียงแล้ว
มีธรรมอันพิจารณาแล้ว มีธรรมอันเห็นแจ้งแล้ว มีธรรมแจ่มแจ้งแล้วว่า
สังขารทั้งปวงไม่เที่ยง ฯ ล ฯ สิ่งใดสิ่งหนึ่งมีความเกิดขึ้นเป็นธรรมดา
สิ่งนั้นทั้งมวลล้วนมีความดับไปเป็นธรรมดา.
อีกอย่างหนึ่ง พระปัจเจกสัมพุทธเจ้านั้นพิจารณาขันธ์แล้ว พิจารณา
ธาตุแล้ว พิจารณาอายตนะแล้ว พิจารณาคติแล้ว พิจารณาอุปบัติแล้ว
พิจารณาปฏิสนธิแล้ว พิจารณาภพแล้ว พิจารณาสังขารแล้ว พิจารณา
วัฏฏะแล้ว.
อีกอย่างหนึ่ง พระปัจเจกสัมพุทธเจ้าดังอยู่ในขันธ์เป็นที่สุด ในธาตุ
เป็นที่สุด ในอายตนะเป็นที่สุด ในคติเป็นที่สุด ในอุปบัติเป็นที่สุด
ในปฏิสนธิเป็นที่สุด ในภพเป็นที่สุด ในสงสารที่สุด ในวัฏฏะเป็น
ที่สุด ในสังขารเป็นที่สุด ในภพเป็นที่สุด พระปัจเจกสัมพุทธเจ้าทรงไว้
ซึ่งร่างกายอันมีในที่สุด.

619
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย จูฬนิเทส เล่ม ๖ – หน้าที่ 620 (เล่ม 67)

พระขีณาสพใดมีภพเป็นที่สุด มีอัตภาพ มีสงสาร
คือชาติ ชรา และมรณะ ครั้งหลังสุด พระขีณาสพนั้น
ไม่มีในภพใหม่.
เพราะฉะนั้น จึงชื่อว่า มีธรรมอันนับพร้อมแล้ว.
อริยมรรค ๔ ท่านกล่าวว่า ธรรมอันแน่นอน ในคำว่า นิยโต นี้
พระปัจเจกสัมพุทธเจ้าประกอบด้วยอริยมรรค ๔ ชื่อว่ามีธรรมอันแน่นอน
คือ ถึง ถึงพร้อม ถูกต้อง ทำให้แจ้ง ซึ่งนิยามธรรมด้วยอริยมรรค
ทั้งหลาย เพราะฉะนั้น จึงชื่อว่า มีธรรมอันแน่นอน.
ความเพียร ความปรารภความเพียร ความก้าวหน้า ความ
บากบั่น ความหมั่น ความเป็นผู้มีความหมั่น เรี่ยวแรง ความพยายาม
แห่งจิต ความบากบั่นอันไม่ย่อหย่อน ความเป็นผู้ไม่ทอดฉันทะ ความ
เป็นผู้ไม่ทอดธุระ ความประคองธุระ วิริยะ วิริยินทรีย์ วิริยพละ สัมมา-
วายามะ ท่านกล่าวว่า ปธาน ในคำว่า ปธานวา.
พระปัจเจกสัมพุทธเจ้านั้นเข้าไป เข้าไปพร้อม เข้ามา เข้ามาพร้อม
เข้าถึง เข้าถึงพร้อม ประกอบด้วยความเพียรนี้ เพราะเหตุนั้น พระปัจเจก-
สัมพุทธเจ้านั้นจึงชื่อว่ามีความเพียร เพราะฉะนั้น จึงชื่อว่า มีธรรมนับ
พร้อมแล้ว มีธรรมอันแน่นอน มีความเพียร พึงเที่ยวไปผู้เดียวเหมือน
นอแรดฉะนั้น เพราะเหตุนั้น พระปัจเจกสัมพุทธเจ้านั้นจึงกล่าวว่า
พระปัจเจกสัมพุทธเจ้าปรารถนาความสิ้นตัณหา ไม่
ประมาท ไม่โง่เขลา มีสุตะ มีสติ มีธรรมอันนับพร้อม
แล้ว มีธรรมอันแน่นอน มีความเพียร พึงเที่ยวไปผู้เดียว
เหมือนนอแรดฉะนั้น.

620
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย จูฬนิเทส เล่ม ๖ – หน้าที่ 621 (เล่ม 67)

[๘๐๓] พระปัจเจกสัมพุทธเจ้า ไม่สะดุ้งในเพราะเสียง
เหมือนสีหะ ไม่ข้อง เหมือนลมไม่ติดที่ตาข่าย ไม่ติดอยู่
เหมือนดอกบัวอันน้ำไม่ติด พึงเที่ยวไปผู้เดียวเหมือน
นอแรดฉะนั้น.
[๘๐๔] คำว่า ไม่สะดุ้งในเพราะเสียง เหมือนสีหะ ความว่า
สีหมฤคราชไม่หวาดหวั่น ไม่ครั่นคร้าม ไม่สะทกสะท้าน ไม่ตกใจ
ไม่สยดสยอง ไม่สะดุ้ง ไม่ขลาด ไม่พรั่นพรึง ไม่หวาดเสียว ไม่หนีไป
ในเพราะเสียงทั้งหลายฉันใด แม้พระปัจเจกสัมพุทธเจ้าก็ฉันนั้น เป็นผู้
ไม่หวาดหวั่น ไม่ครั่นคร้าม ไม่สะทกสะท้าน ไม่ตกใจ ไม่สยดสยอง
ไม่สะดุ้ง ไม่ขลาด ไม่มีความพรั่นพรึง ไม่หวาดเสียว ไม่หนี ละความ
กลัวความขลาดแล้ว ปราศจากขนลุกขนพองอยู่. เพราะฉะนั้น จึงชื่อว่า
ไม่สะดุ้งในเพราะเสียง เหมือนสีหะ.
[๘๐๕] ลมทิศตะวันออก ลมทิศตะวันตก ลมทิศเหนือ ลมทิศใต้
ลมมีธุลี ลมเย็น ลมร้อน ลมน้อย ลมมาก ลมพัดตามกาล ลมหัวด้าน
ลมแต่ปีกนก ลมแต่ครุฑ ลมแต่ใบตาล ลมแต่พัด ชื่อว่า ลม ในอุเทศว่า
วาโตว ชาลมฺหิ อสชฺชมาโน ดังนี้.
ข่ายที่ทำด้วยด้าย ท่านกล่าวว่า ชาละ ลมไม่ข้อง ไม่ติด ไม่ขัด
ไม่เกาะที่ตาข่าย ฉันใด ข่าย ๒ อย่าง คือ ข่ายตัณหา ๑ ข่ายทิฏฐิ ๑ ฯ ล ฯ
นี้ชื่อว่าข่ายตัณหา นี้ชื่อว่าข่ายทิฏฐิ.
พระปัจเจกสัมพุทธเจ้านั้นละข่ายตัณหา สละคืนข่ายทิฏฐิแล้ว เพราะ
ละข่ายตัณหา เพราะสละคืนข่ายทิฏฐิแล้ว พระปัจเจกสัมพุทธเจ้านั้น
จึงไม่ข้อง ไม่ติด ไม่ขัด ไม่เกาะ ในรูป เสียง ฯ ล ฯ ในรูปที่ได้เห็น

621
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย จูฬนิเทส เล่ม ๖ – หน้าที่ 622 (เล่ม 67)

เสียงที่ได้ฟัง อารมณ์ที่ได้ทราบ และธรรมารมณ์ที่จะพึงรู้แจ้ง เป็นผู้
ออกไป สลัดออก หลุดพ้น ไม่เกี่ยวข้อง มีใจอันทำให้ปราศจาก
เขตแดนอยู่ ฉันนั้นเหมือนกัน เพราะฉะนั้น จึงชื่อว่าไม่ข้องเหมือนลม
ไม่ข้องอยู่ที่ตาข่าย.
[๘๐๖] ดอกบัว ท่านกล่าว่า ปทุมํ ในเทศว่า ปทุมํ ว โตเยน
อลิมฺปนาโน ดังนี้. น้ำ ท่านกล่าวว่า โตยะ. ดอกปทุมอันน้ำย่อมไม่ติด
ไม่เอิบอาบ ไม่ซึมซาบ ฉันใด ความติด ๒ อย่าง คือ ความติดด้วย
ตัณหา ๑ ความติดด้วยทิฏฐิ ๑ ฯ ล ฯ นี้ชื่อว่าความติดด้วยตัณหา ฯ ล ฯ
นี้ชื่อว่าความติดด้วยทิฏฐิ.
พระปัจเจกสัมพุทธเจ้านั้นละความติดด้วยตัณหา สละคืนความติด
ด้วยทิฏฐิเสียแล้ว เพราะละความติดด้วยตัณหา เพราะสละคืนความติดด้วย
ทิฏฐิ พระปัจเจกสัมพุทธเจ้านั้นจึงไม่ติด ไม่เข้าไปติด ไม่ฉาบ ไม่เข้า
ไปฉาบ ในรูป เสียง ฯ ล ฯ ในรูปที่ได้เห็น เสียงที่ได้ฟัง อารมณ์ที่
ได้ทราบ และธรรมารมณ์ที่จะพึงรู้แจ้ง เป็นผู้ออกไป สลัดออก หลุดพ้น
ไม่เกี่ยวข้อง มีใจอันทำให้ปราศจากเขตแดนอยู่ฉันนั้นเหมือนกัน เพราะ-
ฉะนั้น จึงชื่อว่า ไม่ติดเหมือนดอกบัวอันน้ำไม่ติด พึงเที่ยวไปผู้เดียว
เหมือนนอแรดฉะนั้น เพราะเหตุนั้น พระปัจเจกสัมพุทธเจ้านั้นจึง
กล่าวว่า
พระปัจเจกสัมพุทธเจ้า ไม่สะดุ้งในเพราะเสียง
เหมือนสีหะ ไม่ข้อง เหมือนลมไม่ติดตาข่าย ไม่ติด
เหมือนดอกบัวอันน้ำไม่ติด พึงเที่ยวไปผู้เดียวเหมือน
นอแรดฉะนั้น.

622
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย จูฬนิเทส เล่ม ๖ – หน้าที่ 623 (เล่ม 67)

[๘๐๗] พระปัจเจกสัมพุทธเจ้า มีปัญญาเป็นกำลัง ข่มขี่
ครอบงำสัตว์ทั้งหลายเที่ยวไป เหมือนสีหราชมีเขี้ยวเป็น
กำลัง ปราบปรามครอบงำเนื้อทั้งหลายเที่ยวไปฉะนั้น
พระปัจเจกสัมพุทธเจ้านั้น พึงเสพซึ่งเสนาสนะอันสงัด
พึงเที่ยวไปผู้เดียวเหมือนนอแรดฉะนั้น.
[๘๐๘] คำว่า เหมือนสีหราชมีเขี้ยวเป็นกำลัง ปราบปราม
ครอบงำเนื้อทั้งหลายเที่ยวไป ความว่า สีหมฤคราชมีเขี้ยวเป็นกำลัง คือ
มีเขี้ยวเป็นอาวุธ ข่มขี่ ครอบงำ ปราบปราม กำจัด ย่ำยี ซึ่งสัตว์
ดิรัจฉานทั้งปวง เที่ยวไป ท่องเที่ยวไป ดำเนินไป เป็นไป รักษา
บำรุง เยียวยา ฉันใด แม้พระปัจเจกสัมพุทธเจ้า ก็ฉันนั้นเหมือนกัน
มีปัญญาเป็นกำลัง คือ มีปัญญาเป็นอาวุธ ข่มขี่ ครอบงำ ปราบปราม
กำจัด ย่ำยีซึ่งสัตว์ทั้งปวงด้วยปัญญา เที่ยวไป ท่องเที่ยวไป ดำเนินไป
เป็นไป รักษา บำรุง เยียวยา เพราะฉะนั้น จึงชื่อว่า เหมือนสีหราช
มีเขี้ยวเป็นกำลัง ปราบปราม ครอบงำเนื้อทั้งหลายเที่ยวไป.
[๘๐๙] คำว่า พึงเสพเสนาสนะอันสงัด ความว่า สีหมฤคราช
เข้าไปสู่ราวป่าอันสงัด เที่ยวไป ท่องเที่ยวไป ดำเนินไป เป็นไป รักษา
บำรุง เยียวยา ฉันใด แม้พระปัจเจกสัมพุทธเจ้า ก็ฉันนั้นเหมือนกัน
ซ่องเสพเสนาสนะอันเป็นป่ารกชัฏ สงัด เงียบสงัด ไม่มีเสียงกึกก้อง
ปราศจากคนสัญจรไปมา ควรแก่การทำกรรมลับของมนุษย์ สมควรแก่
การหลีกออกเร้น พระปัจเจกสัมพุทธเจ้านั้น เดินผู้เดียว ยืนผู้เดียว
นั่งผู้เดียว นอนผู้เดียว เข้าบ้านบิณฑบาตผู้เดียว กลับผู้เดียว นั่งใน
ที่ลับผู้เดียว อธิษฐานจงกรมผู้เดียว เป็นผู้เดียวเที่ยวไป ท่องเที่ยวไป

623
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย จูฬนิเทส เล่ม ๖ – หน้าที่ 624 (เล่ม 67)

ดำเนินไป เป็นไป รักษา บำรุง เยียวยา เพราะฉะนั้น จึงชื่อว่า พึงเสพ
เสนาสนะอันสงัด พึงเที่ยวไปผู้เดียวเหมือนนอแรดฉะนั้น เพราะเหตุนั้น
พระปัจเจกสัมพุทธเจ้านั้นจึงกล่าวว่า
พระปัจเจกสัมพุทธเจ้า มีปัญญาเป็นกำลัง ข่มขี่
ครอบงำสัตว์ทั้งหลายเที่ยวไป เหมือนสีหราชมีเขี้ยวเป็น
กำลัง ปราบปรามครอบงำเนื้อทั้งหลายเที่ยวไป ฉะนั้น
พระปัจเจกสัมพุทธเจ้านั้น พึงเสพเสนาสนะอันสงัด
พึงเที่ยวไปผู้เดียวเหมือนนอแรดฉะนั้น.
[๘๑๐] พระปัจเจกสัมพุทธเจ้า ส้องเสพเมตตา กรุณา มุทิตา
และอุเบกขาอันเป็นวิมุตติตลอดเวลา อันสัตว์โลกทั้งมวล
มิได้เกลียดชัง พึงเที่ยวไปผู้เดียวเหมือนนอแรดฉะนั้น.
[๘๑๑] คำว่า ส้องเสพเมตตา กรุณา มุทิตา และอุเบกขา
อันเป็นวิมุตติตลอดเวลา ความว่า พระปัจเจกสัมพุทธเจ้านั้น มีใจ
ประกอบด้วยเมตตา แผ่ไปตลอดทิศที่หนึ่งอยู่ ทิศที่สอง ที่สาม ที่สี่
ก็เหมือนกัน ตามนัยนี้ ทั้งเบื้องบน เบื้องล่าง เบื้องขวาง แผ่ไปตลอดโลก
ทั่วสัตว์ทุกเหล่า ในที่ทุกสถาน ด้วยใจประกอบด้วยเมตตาอันไพบูลย์
ถึงความเป็นใหญ่ หาประมาณมิได้ ไม่มีเวร ไม่มีความเบียดเบียนอยู่
พระปัจเจกสัมพุทธเจ้านั้น มีใจประกอบด้วยกรุณา ... มีใจประกอบด้วย
มุทิตา มีใจประกอบด้วยอุเบกขา แผ่ไปตลอดทิศที่หนึ่งอยู่ ทิศที่สอง
ที่สาม ที่สี่ ก็เหมือนกัน ตามนัยนี้ ทั้งเบื้องบน เบื้องล่าง เบื้องขวาง
แผ่ไปตลอดโลก ทั่วสัตว์ทุกเหล่า ในที่ทุกสถาน ด้วยใจประกอบด้วย

624
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย จูฬนิเทส เล่ม ๖ – หน้าที่ 625 (เล่ม 67)

อุเบกขาอันไพบูลย์ ถึงความเป็นใหญ่ หาประมาณมิได้ ไม่มีเวร ไม่มี
ความเบียดเบียนอยู่ เพราะฉะนั้น จึงชื่อว่า ส้องเสพเมตตา กรุณา มุทิตา
และอุเบกขาอันเป็นวิมุตติตลอดเวลา.
[๘๑๒] พึงทราบวินิจฉัยในข้อว่า อันสัตว์โลกทั้งมวลมิได้เกลียด
ชัง ดังต่อไปนี้ เพราะเป็นผู้เจริญเมตตาเป็นต้น สัตว์ทั้งหลายในทิศ
ตะวันออกจึงไม่เกลียดชัง สัตว์ทั้งหลายในทิศตะวันตก ในทิศเหนือ
ในทิศใต้ ในทิศอาคเนย์ ในทิศพายัพ ในทิศอีสาน ในทิศหรดี
ในทิศเบื้องล่าง ในทิศเบื้องบน ในทิศน้อยทิศใหญ่ทั้ง ๑๐ ทิศ ไม่
เกลียดชัง.
คำว่า อันสัตว์โลกทั้งมวลมิได้เกลียดชัง ความว่า อันสัตว์โลก
ทั้งหมดมิได้เกลียด มิได้โกรธ มิได้เสียดสี มิได้กระทบกระทั่ง เพราะ-
ฉะนั้น จึงชื่อว่า อันสัตว์โลกทั้งมวลมิได้เกลียดชัง พึงเที่ยวไปผู้เดียว
เหมือนนอแรดฉะนั้น เพราะเหตุนั้น พระปัจเจกสัมพุทธเจ้านั้นจึง
กล่าวว่า
พระปัจเจกสัมพุทธเจ้า ซ่องเสพเมตตา กรุณา มุทิตา
และอุเบกขาอันเป็นวิมุตติตลอดเวลา อันสัตว์โลกทั้งมวล
มิได้เกลียดชัง พึงเที่ยวไปผู้เดียวเหมือนนอแรดฉะนั้น.
[๘๑๓] พระปัจเจกสัมพุทธเจ้าละแล้วซึ่งราคะ โทสะ โมหะ
ทำลายเสียแล้วซึ่งสังโยชน์ทั้งหลาย ไม่สะดุ้งในเวลาสิ้น
ชีวิตพึงเที่ยวไปผู้เดียวเหมือนนอแรดฉะนั้น.

625
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย จูฬนิเทส เล่ม ๖ – หน้าที่ 626 (เล่ม 67)

[๘๑๔] ความกำหนัด ความกำหนัดนัก ฯ ล ฯ อภิชฌา โลภะ
อกุศลมูล ชื่อว่า ราคะ ในอุเทศว่า ราคญฺจ โทสญฺจ ปหาย โมหํ
ดังนี้. จิตอาฆาต ฯ ล ฯ ความเป็นผู้ดุร้าย ความแค้นใจจนถึงน้ำตาไหล
ความไม่พอใจ ชื่อว่า โทสะ. ความไม่รู้ในทุกข์ ฯ ล ฯ อวิชชาเป็นบ่วง
ความหลงใหล อกุศลมูล ชื่อว่า โมหะ.
คำว่า ละแล้วซึ่งราคะ โทสะ และโมหะ ความว่า พระ-
ปัจเจกสัมพุทธเจ้านั้นละ สละ บรรเทา ทำให้สิ้นสุด ให้ถึงความไม่มี
ในภายหลัง ซึ่งราคะ โทสะ และโมหะ เพราะฉะนั้น จึงชื่อว่า ละแล้ว
ซึ่งราคะ โทสะ และโมหะ.
[๘๑๕] สังโยชน์ ในอุเทศว่า ทำลายเสียซึ่งสังโยชน์ทั้งหลาย
ดังนี้ มี ๑๐ ประการ คือ กามราคสังโยชน์ ปฏิฆสังโยชน์ ฯ ล ฯ อวิชชา-
สังโยชน์. คำว่า ทำลายเสียแล้วซึ่งสังโยชน์ทั้งหลาย ความว่า ทำลาย
ทำลายทั่ว ทำลายพร้อม ละ บรรเทา ทำให้สิ้นสุด ให้ถึงความไม่มี
ในภายหลัง ซึ่งสังโยชน์ทั้งหลาย เพราะฉะนั้น จึงชื่อว่า ทำลายเสียแล้ว
ซึ่งสังโยชน์ทั้งหลาย.
[๘๑๖] คำว่า ไม่สะดุ้งในเวลาสิ้นชีวิต ความว่า พระปัจเจก
สัมพุทธเจ้านั้น ไม่หวาดเสียว ไม่หวาดหวั่น ไม่ครั่นคร้าม ไม่สะดุ้ง
ไม่ตกใจ ไม่สยดสยอง ไม่พรั่น ไม่กลัว ไม่สะทกสะท้าน ไม่หนี ละ
ความกลัวความขลาดแล้ว ปราศจากขนลุกขนพอง ในเวลาสิ้นสุดชีวิต.
เพราะฉะนั้น จึงชื่อว่า ไม่สะดุ้งในเวลาสิ้นชีวิต พึงเที่ยวไปผู้เดียวเหมือน
นอแรดฉะนั้น เพราะเหตุนั้น พระปัจเจกสัมพุทธเจ้านั้นจึงกล่าวว่า

626
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย จูฬนิเทส เล่ม ๖ – หน้าที่ 627 (เล่ม 67)

พระปัจเจกสัมพุทธเจ้าละแล้วซึ่งราคะ โทสะ โมหะ
ทำลายเสียแล้วซึ่งสังโยชน์ทั้งหลาย ไม่สะดุ้งในเวลาสิ้น
ชีวิต พึงเที่ยวไปผู้เดียวเหมือนนอแรดฉะนั้น.
[๘๑๗] มิตรทั้งหลายมีประโยชน์เป็นเหตุ จึงจะคบหาสมาคม
ด้วย มิตรในวันนี้ไม่มีเหตุหาได้ยาก มนุษย์ทั้งหลายมี
ปัญญามุ่งประโยชน์ตน เป็นคนไม่สะอาด (เพราะฉะนั้น)
พึงเที่ยวไปผู้เดียวเหมือนนอแรดฉะนั้น.
[๘๑๘] คำว่า มิตรทั้งหลายมีประโยชน์เป็นเหตุ จึงจะคบหา
สมาคมด้วย ความว่า มิตรทั้งหลายมีประโยชน์ตนเป็นเหตุ มีประโยชน์
ผู้อื่นเป็นเหตุ มีประโยชน์ทั้งสองฝ่ายเป็นเหตุ มีประโยชน์ในปัจจุบันเป็น
เหตุ มีประโยชน์ในสัมปรายภพเป็นเหตุ มีประโยชน์อย่างยิ่งเป็นเหตุ จึง
จะคบหา สมคบ เสพ สมาคมด้วย. เพราะฉะนั้น จึงชื่อว่า มิตรทั้งหลาย
มีประโยชน์เป็นเหตุ จึงจะคบหาสมาคมด้วย.
[๘๑๙] มิตร ในอุเทศว่า มิตรในวันนี้ไม่มีเหตุหาได้ยาก มี
๒ จำพวก คือ มิตรคฤหัสถ์ ๑ มิตรบรรพชิต ๑ ฯ ล ฯ นี้ชื่อว่า
มิตรคฤหัสถ์ ฯ ล ฯ นี้ชื่อว่ามิตรบรรพชิต. คำว่า มิตรในวันนี้ไม่มีเหตุ
หาได้ยาก ความว่า มิตร ๒ จำพวกนี้ ไม่มีการณะ ไม่มีเหตุ ไม่มีปัจจัย
หาได้ยาก เพราะฉะนั้น จึงชื่อว่า มิตรในวันนี้ ไม่มีเหตุหาได้ยาก.
[๘๒๐] คำว่า มีปัญญามุ่งประโยชน์ตน ในอุเทศว่า อตฺตตฺถ-
ปญฺญา อสุจี มนุสฺสา ดังนี้ ความว่า มนุษย์ทั้งหลายย่อมคบ สมคบ-
เสพ เสพด้วย ส้องเสพ เอื้อเฟื้อ ประพฤติเอื้อเฟื้อ เข้านั่งใกล้ ไต่ถาม

627
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย จูฬนิเทส เล่ม ๖ – หน้าที่ 628 (เล่ม 67)

สอบถาม เพื่อประโยชน์ตน เพราะเหตุแห่งตน เพราะปัจจัยแห่งตน
เพราะการณะแห่งตน เพราะฉะนั้น จึงชื่อว่า มีปัญญามุ่งประโยชน์ตน.
คำว่า มนุษย์ทั้งหลายเป็นผู้ไม่สะอาด ความว่า มนุษย์ทั้งหลายเป็น
ผู้ประกอบด้วยกายกรรมอันไม่สะอาด วจีกรรมอันไม่สะอาด มโนกรรม
อันไม่สะอาด ปาณาติบาตอันไม่สะอาด อทินนาทานอันไม่สะอาด กาเม-
สุมิจฉาจารอันไม่สะอาด มุสาวาทอันไม่สะอาด ปิสุณวาจาอันไม่สะอาด
ผรุสวาจาอันไม่สะอาด สัมผัปปลาปะอันไม่สะอาด อภิชฌาอันไม่สะอาด
พยาบาทอันไม่สะอาด มิจฉาทิฏฐิอันไม่สะอาด เจตนาอันไม่สะอาดความ
ปรารถนาอันไม่สะอาด ความตั้งใจอันไม่สะอาด เพราะฉะนั้น จึงชื่อว่า
เป็นผู้ไม่สะอาด คือ เป็นคนเลว เลวลง เป็นคนทราม ต่ำช้า ลามก
ชั่วช้า ชาติชั่ว เพราะฉะนั้น จึงชื่อว่า มนุษย์ทั้งหลายมีปัญญามุ่ง
ประโยชน์ตน เป็นคนไม่สะอาด.
[๘๒๑] คำว่า ผู้เดียว ในอุเทศว่า เอโก จเร ขคฺควิสาณกปฺโป
ดังนี้ ฯ ล ฯ จริยา (การเที่ยวไป) ในคำว่า จเร ดังนี้ มี ๘ อย่าง ฯ ล ฯ
ชื่อว่าพึงเที่ยวไปผู้เดียวเหมือนนอแรดฉะนั้น เพราะเหตุนั้น พระปัจเจก-
สัมพุทธเจ้านั้นจึงกล่าวว่า
มิตรทั้งหลายมีประโยชน์เป็นเหตุ จึงจะคบหาสมาคม
ด้วย มิตรในวันนี้ไม่มีเหตุหาได้ยาก มนุษย์ทั้งหลาย
มีปัญญามุ่งประโยชน์ตน เป็นคนไม่สะอาด (เพราะฉะนั้น)
พึงเที่ยวไปผู้เดียวเหมือนนอแรดฉะนั้น.
จบขัคควิสาณสุตตนิทเทส

628