No Favorites




หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย จูฬนิเทส เล่ม ๖ – หน้าที่ 609 (เล่ม 67)

ของจิต อันตัณหาและทิฏฐิไม่อาศัย ตัดเสียแล้วซึ่ง
ความรักและความชัง พึงเที่ยวไปผู้เดียวเหมือนนอแรด
ฉะนั้น.
[๗๘๕] คำว่า ละแล้วซึ่งเครื่องกั้นจิต ๕ ประการ ความว่า
พระปัจเจกสัมพุทธเจ้านั้น ละ สละ บรรเทา ทำให้สิ้นสุด ให้ถึงความ
ไม่มีซึ่งกามฉันทนิวรณ์ พยาบาทนิวรณ์ ถีนมิทธนิวรณ์ อุทธัจจกุกกุจจ-
นิวรณ์ สงัดจากกาม สงัดจากอกุศลธรรม บรรลุปฐมฌาน มีวิตกวิจาร
มีปีติและสุขเกิดแต่วิเวกอยู่ เพราะฉะนั้น จึงชื่อว่า ละแล้วซึ่งเครื่องกั้น
จิต ๕ ประการ.
[๗๘๖] ราคะ โทสะ โมหะ ความโกรธ ความผูกโกรธ ฯ ล ฯ
อกุสลาภิสังขารทั้งปวง (แต่ละอย่าง) ชื่อว่า เครื่องเศร้าหมองทั้งปวง
ของจิต ในอุเทศว่า อุปกฺกิเลเส พฺยปนุชฺช สพฺเพ ดังนี้.
คำว่า สลัดเสียเเล้วซึ่งกิเลสเครื่องเศร้าหมองทั้งปวงของจิต
ความว่า สลัด บรรเทา ละ กำจัด ทำให้สิ้นสุด ให้ถึงความไม่มีซึ่งกิเลส
เครื่องเศร้าหมองทั้งปวงของจิต เพราะฉะนั้น จึงชื่อว่า สลัดเสียแล้วซึ่ง
กิเลสเครื่องเศร้าหมองทั้งปวงของจิต.
[๗๘๗] นิสัย ในคำว่า ผู้อันตัณหาทิฏฐิไม่อาศัย ในอุเทศว่า
อนิสฺสิโต เฉตฺวา เสฺนหโทสํ ดังนี้ มี ๒ อย่าง คือ ตัณหานิสัย ๑
ทิฏฐินิสัย ๑ ฯ ล ฯ นี้ชื่อว่าตัณหานิสัย ฯ ล ฯ นี้ชื่อว่าทิฏฐินิสัย. ชื่อว่า
ความรัก ได้แก่ ความรัก ๒ อย่าง คือ ความรักด้วยอำนาจตัณหา ๑
ความรักด้วยอำนาจทิฏฐิ ๑ ฯ ล ฯ นี้ชื่อว่า ความรักด้วยอำนาจตัณหา
ฯ ล ฯ นี้ชื่อว่า ความรักด้วยอำนาจทิฏฐิ.

609
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย จูฬนิเทส เล่ม ๖ – หน้าที่ 610 (เล่ม 67)

ชื่อว่า ความชัง คือ ความปองร้อย ความมุ่งร้าย ความขัดเคือง
ความโกรธตอบ ความเคือง ความเคืองทั่วไป ความเคืองเสมอ ความชัง
ความชังทั่วไป ความชังเสมอแห่งจิต ความพยาบาทแห่งจิต ความ
ประทุษร้ายในใจ ความโกรธ กิริยาที่โกรธ ความเป็นผู้โกรธ ความชัง
กิริยาที่ชัง ความเป็นผู้ชัง ความพยาบาท กิริยาที่พยาบาท ความเป็นผู้
พยาบาท ความพิโรธ ความพิโรธตอบ ความเป็นผู้ดุร้าย ความแค้นใจ
ถึงน้ำตาไหล ความไม่พอใจ.
คำว่า อันตัณหาทิฏฐิไม่อาศัย ตัดแล้วซึ่งความรักและความชัง
ความว่า พระปัจเจกสัมพุทธเจ้านั้น ตัด ตัดขาด ตัดขาดสิ้น บรรเทา
ทำให้สิ้นสุด ให้ถึงความไม่มีในภายหลัง ซึ่งความรักด้วยอำนาจตัณหา
ความรักด้วยอำนาจทิฏฐิและความชัง อันตัณหาทิฏฐิไม่อาศัยตา ไม่อาศัย
หู ฯ ล ฯ ไม่อาศัยรูปที่ได้เห็น เสียงที่ได้ฟัง อารมณ์ที่ได้ทราบ และ
ธรรมารมณ์ที่จะพึงรู้แจ้ง ไม่พัวพัน ไม่เข้าถึง ไม่ติดใจ ไม่น้อมใจไป
ออกไป สลัดออก หลุดพ้น ไม่เกี่ยวข้อง มีใจอันทำให้ปราศจากเขต
แดนอยู่ เพราะฉะนั้น จึงชื่อว่า อันตัณหาทิฏฐิไม่อาศัย ตัดแล้วซึ่งความ
รักและความชัง พึงเที่ยวไปผู้เดียวเหมือนนอแรดฉะนั้น เพราะเหตุนั้น
พระปัจเจกสัมพุทธเจ้านั้นจงกล่าวว่า
พระปัจเจกสัมพุทธเจ้าละแล้วซึ่งเครื่องกั้นจิต ๕ ประ-
การ สลัดเสียแล้วซึ่งกิเลสเครื่องเศร้าหมองจิตทั้งปวง
อันตัณหาทิฏฐิไม่อาศัย ตัดเสียแล้วซึ่งความรักและความ
ชัง พึงเที่ยวไปผู้เดียวเหมือนนอแรดฉะนั้น.

610
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย จูฬนิเทส เล่ม ๖ – หน้าที่ 611 (เล่ม 67)

[๗๘๘] พระปัจเจกสัมพุทธเจ้าละสุข ทุกข์ โสมนัส และ
โทมนัสก่อน ๆ แล้ว ได้อุเบกขาและสมถะอันหมดจด
วิเศษแล้ว พึงเที่ยวไปผู้เดียวเหมือนนอแรดฉะนั้น.
[๗๘๙] คำว่า ละสุข ทุกข์ โสมนัส และโทมนัสก่อน ๆ แล้ว
ความว่า พระปัจเจกสัมพุทธเจ้านั้น บรรลุจตุตถฌานอันไม่มีทุกข์ ไม่มีสุข
เพราะละสุข ละทุกข์ และดับโสมนัสโทมนัสก่อน ๆ ได้ มีอุเบกขาเป็น
เหตุให้สติบริสุทธิ์อยู่ เพราะฉะนั้น จึงชื่อว่า ละสุข ทุกข์ โสมนัส และ
โทมนัสก่อน ๆ แล้ว.
[๗๙๐] ความวางเฉย กิริยาที่วางเฉย กิริยาที่หยุดเฉย ความที่
จิตระงับ ความที่จิตเป็นกลาง ในจตุตถฌาน ชื่อว่า อุเบกขา ในอุเทศ
ว่า ลทฺธานุเปกฺขํ สมถํ วิสุทฺธํ ดังนี้.
ความตั้งอยู่ ความดำรงอยู่ ความหยุดอยู่ ความไม่ส่าย ความไม่
ฟุ้งแห่งจิต ความแน่วแน่ ความสงบ สมาธินทรีย์ สมาธิพละ สัมมา-
สมาธิ ชื่อว่า สมถะ.
อุเบกขาในจตุตถฌาน และสมถะเป็นความหมดจด เป็นความ
หมดจดวิเศษ เป็นความขาวผ่อง ไม่มีกิเลสเครื่องยั่วยวน ปราศจาก
อุปกิเลส เป็นธรรมชาติอ่อน ควรแก่การงาน ตั้งมั่น ถึงความไม่
หวั่นไหว.
คำว่า ได้อุเบกขาและสมถะอันหมดจดวิเศษ ความว่า ได้ ได้
แล้วซึ่งอุเบกขาในจตุตถฌานและสมถะ เพราะฉะนั้น จึงชื่อว่า ได้อุเบกขา
และสมถะอันหมดจดวิเศษ พึงเที่ยวไปผู้เดียวเหมือนนอแรดฉะนั้น เพราะ-
เหตุนั้น พระปัจเจกสัมพุทธเจ้านั้นจึงกล่าวว่า

611
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย จูฬนิเทส เล่ม ๖ – หน้าที่ 612 (เล่ม 67)

พระปัจเจกสัมพุทธเจ้าละสุข ทุกข์ โสมนัส และ
โทมนัสก่อน ๆ แล้ว ได้อุเบกขาและสมถะอันหมดจด
วิเศษแล้ว พึงเที่ยวไปผู้เดียวเหมือนนอแรดฉะนั้น.
[๗๙๑] พระปัจเจกสัมพุทธเจ้าปรารภความเพียร เพื่อถึง
ปรมัตถประโยชน์ มีจิตมิได้ย่อหย่อน มีความประพฤติ
ไม่เกียจคร้าน มีความพยายามมั่นคง เข้าถึงด้วยเรี่ยวแรง
และกำลัง พึงเที่ยวไปผู้เดียวเหมือนนอแรดฉะนั้น.
[๗๙๒] อมตนิพพาน ความสงบสังขารทั้งปวง ความสละคืน
อุปธิทั้งปวง ความสิ้นตัณหา ความคลายกำหนัด ความดับ ความออก
จากตัณหาเป็นเครื่องร้อยรัด ท่านกล่าวว่า ปรมัตถประโยชน์ ในอุเทศว่า
อารทฺธวิริโย ปรมตฺถปตฺติยา ดังนี้.
พระปัจเจกสัมพุทธเจ้านั้น ปรารภความเพียร เพื่อถึง คือเพื่อได้
เพื่อได้เฉพาะ เพื่อบรรลุ เพื่อถูกต้อง เพื่อทำให้แจ้ง ซึ่งปรมัตถประโยชน์
มีเรี่ยวแรง มีความบากบั่นมั่นคง เพื่อละอกุศลธรรม เพื่อความถึงพร้อม
แห่งกุศลธรรม ไม่ทอดธุระในกุศลธรรม เพราะฉะนั้น จึงชื่อว่า ปรารภ
ความเพียรเพื่อถึงปรมัตถประโยชน์.
[๗๙๓] คำว่า มีจิตไม่ย่อหย่อน มีความประพฤติไม่เกียจคร้าน
ความว่า พระปัจเจกสัมพุทธเจ้านั้น ยังฉันทะให้เกิด พยายาม ปรารภ
ความเพียร ประคองจิต ตั้งจิตไว้ เพื่อไม่ให้อกุศลธรรมอันลามกที่ยัง
ไม่เกิดให้เกิดขึ้น เพื่อละอกุศลธรรมอันลามกที่เกิดขึ้นแล้ว เพื่อให้
กุศลธรรมที่ยังไม่เกิดให้เกิดขึ้น เพื่อความตั้งมั่นไม่ฟั่นเฟือน เพื่อความ

612
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย จูฬนิเทส เล่ม ๖ – หน้าที่ 613 (เล่ม 67)

เจริญถึง เพื่อความไพบูลย์ เพื่อความเจริญบริบูรณ์ แห่งกุศลธรรมที่
เกิดขึ้นแล้ว เพราะฉะนั้น จึงชื่อว่า มีจิตไม่ย่อหย่อน มีความประพฤติ
ไม่เกียจคร้าน ด้วยอาการอย่างนี้.
อีกอย่างหนึ่ง พระปัจเจกสัมพุทธเจ้าประคองจิตตั้งจิตไว้ว่า เนื้อ
และเลือดจงเหือดแห้งไป จะเหลืออยู่แต่หนัง เอ็น และกระดูกก็ตามที
เรายังไม่ได้บรรลุอิฐผล ที่การกบุคคลจะพึงบรรลุได้ด้วยเรี่ยวแรงของบุรุษ
ด้วยกำลังของบุรุษ ด้วยความเพียรของบุรุษ ด้วยความบากบั่นของบุรุษ
แล้ว จักไม่หยุดความเพียรเลย พระปัจเจกสัมพุทธเจ้า ชื่อว่ามีจิตไม่
ย่อหย่อน มีความประพฤติไม่เกียจคร้าน แม้ด้วยอาการอย่างนี้.
พระปัจเจกสัมพุทธเจ้านั้น ประคองจิตตั้งจิตไว้ว่า เราจักไม่
ทำลายบัลลังก์นี้ ตราบเท่าเวลาที่จิตของเรายังไม่หลุดพ้นจากอาสวะเพราะ
ไม่ถือมั่น พระปัจเจกสัมพุทธเจ้านั้น ชื่อว่ามีจิตไม่ย่อหย่อน มีความ
ประพฤติไม่เกียจคร้าน แม้ด้วยอาการอย่างนี้.
พระปัจเจกสัมพุทธเจ้านั้น ประกองจิตตั้งจิตไว้ว่า
เราจักไม่กิน จักไม่ดื่ม ไม่ออกจากวิหาร และจัก
ไม่เอนข้างลงนอน เมื่อยังถอนลูกศรคือตัณหาไม่ได้
พระปัจเจกสัมพุทธเจ้านั้น ชื่อว่ามีจิตไม่ย่อหย่อน มีความประพฤติ
ไม่เกียจคร้าน แม้ด้วยอาการอย่างนี้.
พระปัจเจกสัมพุทธเจ้านั้น ประคองจิตตั้งจิตไว้ว่า เราจะไม่ลุก
จากอาสนะนี้ ตราบเท่าเวลาที่จิตของเรายังไม่หลุดพ้นจากอาสวะทั้งหลาย
เพราะไม่ถือมั่น พระปัจเจกสัมพุทธเจ้านั้น ชื่อว่ามีจิตไม่ย่อหย่อน มีความ
ประพฤติไม่เกียจคร้าน แม้ด้วยอาการอย่างนี้.

613
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย จูฬนิเทส เล่ม ๖ – หน้าที่ 614 (เล่ม 67)

พระปัจเจกสัมพุทธเจ้านั้น ประคองจิตตั้งจิตไว้ว่า เราจักไม่ลงจาก
ที่จงกรมนี้ จักไม่ออกจากวิหารนี้ จักไม่ออกจากเพิงนี้ จักไม่ออกจาก
ปราสาทนี้ จักไม่ออกจากเรือนโล้นนี้ จักไม่ออกจากถ้ำนี้ จักไม่ออกจาก
ที่เร้นนี้ จักไม่ออกจากกระท่อมนี้ จักไม่ออกจากเรือนยอดนี้ จักไม่ออก
จากแม่แคร่นี้ จักไม่ออกจากโรงนี้ จักไม่ออกจากที่พักนี้ จักไม่ออกจาก
หอฉันนี้ จักไม่ออกจากมณฑปนี้ จักไม่ออกจากโคนไม้นี้ ตราบเท่า
เวลาที่จิตของเรายังไม่หลุดพ้นจากอาสวะเพราะไม่ถือมั่น พระปัจเจก-
สัมพุทธเจ้านั้น ชื่อว่ามีจิตไม่ย่อหย่อน มีความประพฤติไม่เกียจคร้าน
แม้ด้วยอาการอย่างนี้.
พระปัจเจกสัมพุทธเจ้านั้น ประคองจิตตั้งจิตไว้ว่า ในเช้าวันนี้
นี่แหละ เราจักนำมา จักนำมาด้วยดี จักบรรลุ จักถูกต้อง จักทำให้
แจ้งซึ่งอริยธรรม พระปัจเจกสัมพุทธเจ้านั้น ชื่อว่ามีจิตไม่ย่อหย่อน
มีความพระพฤติไม่เกียจคร้าน แม้ด้วยอาการอย่างนี้.
พระปัจเจกสัมพุทธเจ้านั้น ประคองจิตตั้งจิตไว้ว่า ในเที่ยงวันนี้
นี่แหละ ในเย็นวันนี้นี่แหละ ในเวลาก่อนอาหารวันนี้นี่แหละ ในเวลา
หลังอาหารวันนี้นี่แหละ ในยามต้นนี้แหละ ในยามกลางนี้แหละ ในยาม
หลังนี้แหละ ในข้างแรมนี้แหละ ในข้างขึ้นนี้แหละ ในฤดูฝนนี้แหละ
ในฤดูหนาวนี้แหละ ในฤดูร้อนนี้แหละ ในตอนวัยต้นนี้แหละ ในตอน
วัยกลางนี้แหละ ในตอนวัยหลังนี้แหละ เราจักนำมา จักนำมาด้วยดี
จักบรรลุ จักถูกต้อง จักทำให้แจ้งซึ่งอริยธรรม พระปัจเจกสัมพุทธเจ้านั้น
ชื่อว่ามีจิตไม่ย่อหย่อน มีความประพฤติไม่เกียจคร้าน แม้ด้วยอาการ
อย่างนี้.

614
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย จูฬนิเทส เล่ม ๖ – หน้าที่ 615 (เล่ม 67)

[๗๙๔] คำว่า มีความพยายามมั่นคง ในอุเทศว่า ทฬฺหนิกฺ-
กโม ถามพลูปปนฺโน ดังนี้ ความว่า พระปัจเจกสัมพุทธเจ้านั้น มี
สมาทานมั่น มีสมาทานแน่วแน่ในกุศลธรรมทั้งหลาย คือ ในกายสุจริต
วจีสุจริต มโนสุจริต การแจกทาน การสมาทานศีล การรักษาอุโบสถ
ความเป็นผู้เกื้อกูลแก่มารดา ความเป็นผู้เกื้อกูลแก่บิดา ความเป็นผู้เกื้อกูล
แก่สมณะ ความเป็นผู้เกื้อกูลแก่พราหมณ์ ความประพฤติอ่อนน้อมต่อ
ผู้ใหญ่ในสกุล และในกุศลธรรมอื่น ๆ ที่ยิ่งขึ้นไป เพราะฉะนั้น จึงชื่อว่า
มีความพยายามมั่นคง.
คำว่า เข้าถึงด้วยเรี่ยวแรงและกำลัง ความว่า พระปัจเจก-
สัมพุทธเจ้านั้นเข้าไป เข้าไปพร้อม เข้าถึง เข้าถึงพร้อม ประกอบด้วย
เรี่ยวแรง กำลัง ความเพียร ความบากบั่น เพราะฉะนั้น จึงชื่อว่า
มีความพยายามมั่นคง มีความเข้าถึงด้วยเรี่ยวแรงและกำลัง พึงเที่ยวไป
ผู้เดียวเหมือนนอแรดฉะนั้น เพราะเหตุนั้น พระปัจเจกสัมพุทธเจ้านั้น
จึงกล่าวว่า
พระปัจเจกสัมพุทธเจ้าปรารภความเพียร เพื่อถึง
ปรมัตถประโยชน์ มีจิตมิได้ย่อหย่อน มีความประพฤติ
มิได้เกียจคร้าน มีความพยายามมั่นคง เข้าถึงด้วย
เรี่ยวแรงและกำลัง พึงเที่ยวไปผู้เดียวเหมือนนอแรด
ฉะนั้น.
[๗๙๕] พระปัจเจกสัมพุทธเจ้าไม่ละวิเวกและฌาน ประพฤติ
ธรรมสมควร ในธรรมทั้งหลายเป็นนิตย์ พิจารณาเห็น

615
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย จูฬนิเทส เล่ม ๖ – หน้าที่ 616 (เล่ม 67)

โทษในภพทั้งหลาย พึงเที่ยวไปผู้เดียวเหมือนนอแรด
ฉะนั้น.
[๗๙๖] คำว่า ไม่ละวิเวกและฌาน ความว่า พระปัจเจก-
สัมพุทธเจ้านั้น เป็นผู้ชอบวิเวก ยินดีใจวิเวก ประกอบความสงบจิต
ณ ภายในเนือง ๆ ไม่ห่างจากฌาน ไม่ละฌาน คือ ประกอบ ประกอบทั่ว
ประกอบพร้อม หมั่นประกอบ หมั่นประกอบพร้อม เพื่อความเกิดขึ้น
แห่งปฐมฌานที่ยังไม่เกิดขึ้น เพื่อความเกิดขึ้นแห่งทุติยฌานที่ยังไม่เกิดขึ้น
เพื่อความเกิดขึ้นแห่งตติยฌานที่ยังไม่เกิดขึ้น หรือเพื่อความเกิดขึ้นแห่ง
จตุตถฌานที่ยังไม่เกิดขึ้น เพราะฉะนั้น พระปัจเจกสัมพุทธเจ้า จึงชื่อว่า
ไม่ละฌานด้วยอาการอย่างนี้.
อีกอย่างหนึ่ง พระปัจเจกสัมพุทธเจ้านั้น ย่อมเสพ ย่อมเจริญ
ย่อมทำให้มาก ซึ่งปฐมฌานที่เกิดขึ้นแล้ว ทุติยฌานที่เกิดขึ้นแล้ว
ตติยฌานที่เกิดขึ้นแล้ว หรือจตุตถฌานที่เกิดขึ้นแล้ว เพราะฉะนั้น พระ-
ปัจเจกสัมพุทธเจ้าจึงชื่อว่า ไม่ละฌานแม้ด้วยอาการอย่างนี้ เพราะฉะนั้น
จึงชื่อว่า ไม่ละวิเวกและฌาน.
[๗๙๗] สติปัฏฐาน ๔ ฯ ล ฯ อริยมรรคมีองค์ ๘ ท่านกล่าวว่า
ธรรม ในอุเทศว่า ธมฺเมสุ นิจฺจํ อนุธมฺมจารี ดังนี้.
ธรรมอันสมควรเป็นไฉน ความปฏิบัติชอบ ความปฏิบัติสมควร
ความปฏิบัติไม่เป็นข้าศึก ความปฏิบัติเป็นไปตามประโยชน์ ความปฏิบัติ
ธรรมสมควรแก่ธรรม ความเป็นผู้ทำให้บริบูรณ์ในศีลทั้งหลาย ความ
เป็นผู้คุ้มกรองทวารในอินทรีย์ทั้งหลาย ความเป็นผู้รู้ประมาณในโภชนะ

616
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย จูฬนิเทส เล่ม ๖ – หน้าที่ 617 (เล่ม 67)

ความประกอบเนือง ๆ ในความเป็นผู้ตื่น สติสัมปชัญญะ เหล่านี้ท่าน
กล่าวว่า ธรรมอันสมควร.
คำว่า ประพฤติธรรมอันสมควรในธรรมทั้งหลายเป็นนิตย์ ความ
ว่า พระปัจเจกสัมพุทธเจ้านั้น ประพฤติ ปฏิบัติ ดำเนิน เป็นไป รักษา
บำรุง เยียวยา ในธรรมทั้งหลาย ตลอดกาลเป็นนิตย์ คือ ติดต่อเนือง ๆ
ต่อลำดับ ไม่สับสน เนื่องกันกระทบกัน เหมือนระลอกน้ำเป็นคลื่น
สืบต่อกระทบเนื่องกันไป ในเวลาก่อนอาหาร ในเวลาหลังอาหาร ใน
ยามต้น ในยามกลาง ในยามหลัง ในข้างแรม ในข้างขึ้น ในฤดูฝน
ในฤดูหนาว ในฤดูร้อน ในตอนวัยต้น ในตอนวัยกลาง ในตอนวัยหลัง
เพราะฉะนั้น จึงชื่อว่า พระพฤติธรรมอันสมควรในธรรมทั้งหลายตลอด
กาลเป็นนิตย์.
[๗๙๘] คำว่า พิจารณาเห็นโทษในภพทั้งหลาย ความว่า
พิจารณาเห็นโทษโนภพทั้งหลายว่า สังขารทั้งปวงไม่เที่ยง สังขารทั้งปวง
เป็นทุกข์ ธรรมทั้งปวงเป็นอนัตตา ฯ ล ฯ สิ่งใดสิ่งหนึ่งมีความเกิดขึ้น
เป็นธรรมดา สิ่งนั้นทั้งมวลล้วนมีความดับไปเป็นธรรมดา เพราะฉะนั้น
จึงชื่อว่า พิจารณาเห็นโทษในภพทั้งหลาย พึงเที่ยวไปผู้เดียวเหมือน
นอแรดฉะนั้น เพราะเหตุนั้น พระปัจเจกสัมพุทธเจ้านั้นจึงกล่าวว่า
พระปัจเจกสัมพุทธเจ้าไม่ละวิเวกและฌาน ประพฤติ
ธรรมสมควรในธรรมทั้งหลายเป็นนิตย์ พิจารณาเห็น
โทษในภพทั้งหลาย พึงเที่ยวไปผู้เดียวเหมือนนอแรด
ฉะนั้น.

617
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย จูฬนิเทส เล่ม ๖ – หน้าที่ 618 (เล่ม 67)

[๗๙๙] พระปัจเจกสัมพุทธเจ้าปรารถนาความสิ้นตัณหา ไม่
ประมาท ไม่โง่เขลา มีสุตะ มีสติ มีธรรมอันนับพร้อม
แล้ว มีธรรมอันแน่นอน มีความเพียร พึงเที่ยวไปผู้เดียว
เหมือนนอแรดฉะนั้น
[๘๐๐] รูปตัณหา สัททตัณหา คันธตัณหา รสตัณหา โผฏฐัพพ-
ตัณหา ธรรมตัณหา ชื่อว่า ตัณหา ในอุเทศว่า ตณฺหกฺขยํ ปตฺถยํ
อปฺปมตฺโต ดังนี้.
คำว่า ปรารถนาความสิ้นตัณหา ความว่า ปรารถนา จำนง
ประสงค์ซึ่งความสิ้นราคะ ความสิ้นโทสะ ความสิ้นโมหะ ความสิ้นคติ
ความสิ้นอุปบัติ ความสิ้นปฏิสนธิ ความสิ้นภพ ความสิ้นสงสาร ความ
สิ้นวัฏฏะ เพราะฉะนั้น จึงชื่อว่า ปรารถนาความสิ้นตัณหา.
คำว่า ไม่ประมาท ความว่า พระปัจเจกสัมพุทธเจ้านั้น ทำโดย
เอื้อเฟื้อ ทำโดยติดต่อ ฯ ล ฯ ไม่ประมาทในกุศลธรรม เพราะฉะนั้น
จึงชื่อว่า ปรารถนาความสิ้นตัณหา ไม่ประมาท.
[๘๐๑] คำว่า ไม่โง่เขลา ในอุเทศว่า อเนลมูโค สุตฺวา สติมา
ดังนี้ ความว่า พระปัจเจกสัมพุทธเจ้านั้น เป็นบัณฑิต มีปัญญา มีปัญญา
เป็นเครื่องรู้ มีญาณ มีปัญญาแจ่มแจ้ง มีปัญญาทำลายกิเลส เพราะฉะนั้น
จึงชื่อว่า ไม่โง่เขลา.
คำว่า มีสุตะ ความว่า พระปัจเจกสัมพุทธเจ้านั้นเป็นพหูสูต ทรง
ไว้ซึ่งสุตะ สั่งสมสุตะ คือ เป็นผู้ได้สดับมามาก ทรงจำไว้ คล่องปาก
ขึ้นใจ แทงตลอดด้วยดีด้วยทิฏฐิ ซึ่งธรรมทั้งหลายอันงามในเบื้องต้น

618