No Favorites




หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ชาดก เล่ม ๔ ภาค ๒ – หน้าที่ 546 (เล่ม 63)

พระนางปัญจาลจันทีได้เป็นที่รัก เป็นที่โปรดปรานของพระเจ้าวิเทห-
ราช ในปีที่ ๒ พระนางเจ้านั้นประสูติพระโอรส ครั้นพระราชโอรสนั้นมี
พรรษาได้ ๑๐ ปี พระเจ้าวิเทหราชผู้พระชนกสวรรคต มโหสถโพธิสัตว์ได้
ถวายราชสมบัติแด่พระกุมารนั้น แล้วทูลลาว่า ข้าแต่เทพเจ้า ข้าพระองค์จัก
ไปอยู่ราชสำนักพระเจ้าจุลนีพระอัยกาของพระองค์ พระราชานั้น ตรัสว่า
แน่ะบัณฑิต ท่านอย่าทิ้งข้าพเจ้าผู้ยังเด็กไปเสีย ข้าพเจ้าตั้งท่านไว้ในที่บิดา
จักทำสักการบูชา แม้พระนางเจ้าปัญจาลจันทีผู้พระชนนีก็ตรัสวิงวอนพระโพธิ-
สัตว์ว่า แน่ะบัณฑิต ในกาลเมื่อท่านไปเสียแล้ว ที่พึ่งอื่นของข้าพเจ้าไม่มี
ขอท่านอย่าไปเลย มโหสถทูลว่า ข้าพระองค์ได้ถวายปฏิญาณไว้แด่พระเจ้าจุลนี
ข้าพระองค์ไม่สามารถเพื่อจะไม่ไป เมื่อมหาชนคร่ำครวญอยู่อย่างน่าสงสาร
มโหสถก็พาพวกอุปัฏฐากของตนออกจากพระนครไปถึงอุตตรปัญจาลราชธานี
พระเจ้าจุลนีทรงทราบว่ามโหสถมาถึง ก็เสด็จต้อนรับให้มโหสถเข้าพระนคร
ด้วยบริวารเป็นอันมาก ประทานเคหสถานใหญ่ให้มโหสถอยู่ แล้วประทาน
บ้าน ๘๐ บ้านที่ประทานแล้ว แต่แรกและโภคสมบัติอื่น ๆ มโหสถก็รับราชการ
ณ ราชสำนักนั้น.
ในกาลนั้น มีปริพาชิกาคนหนึ่ง ชื่อเภรี เคยเข้าไปฉันในพระราช-
นิเวศน์ นางเป็นบัณฑิตฉลาด นางยังไม่เคยเห็นมโหสถ ได้สดับกิตติศัพท์ว่า
ได้ยินว่า มโหสถบำรุงพระราชา แม้มโหสถก็ยังไม่เคยเห็นปริพาชิกา ได้ยิน
แต่กิตติศัพท์ว่า ได้ยินว่า ปริพาชิกาชื่อเภรี ฉันในราชสถาน.
ฝ่ายพระนางนันทาเทวีไม่ชอบพระหฤทัยในพระโพธิสัตว์ว่า มโหสถ
ทำปิยวิปโยคให้เราลำบาก พระนางจึงตรัสสั่งเหล่าสตรีที่สนิทราว ๕๐๐ คนว่า
เจ้าทั้งหลายจงพยายามหาโทษของมโหสถสักอย่างหนึ่ง แล้วทูลยุยงระหว่างพระ-

546
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ชาดก เล่ม ๔ ภาค ๒ – หน้าที่ 547 (เล่ม 63)

ราชาให้แตกกัน สตรีเหล่านั้นเที่ยวมองหาโทษของมโหสถอยู่ วันหนึ่งปริพา-
ชิกานั้นฉันแล้วออกไป ได้เห็นพระโพธิสัตว์มาสู่ราชุปัฏฐาน ณ พระลาน พระ-
โพธิสัตว์ไหว้ปริพาชิกาแล้วยืนอยู่ ณ ที่ควรส่วนหนึ่ง ปริพาชิกาคิดว่า ได้ยิน
ว่า มโหสถนี้เป็นบัณฑิต เราจักรู้ความที่เธอเป็นบัณฑิตหรือไม่ใช่บัณฑิตก่อน
เมื่อจะถามปัญหาด้วยเครื่องหมายแห่งมือ จึงแลดูมโหสถแล้วแรงมือออก ได้ยิน
ว่า นางถามปัญหาด้วยใจว่า พระเจ้าจุลนีนำมโหสถมาแต่ประเทศอื่น เดี๋ยวนี้
ทรงบำรุงเช่นไรหรือไม่ได้ทรงบำรุง พระโพธิสัตว์รู้ว่า นางเภรีปริพาชิกา
ถามปัญหาเราด้วยเครื่องหมายแห่งมือ เมื่อจะแก้ปัญหาจึงกำมือ ได้ยินว่า
มโหสถแก้ปัญหาด้วยใจว่า ข้าแต่ผู้เป็นเจ้า พระราชาทรงรับปฏิญาณของ
ข้าพเจ้าแล้วให้เรียกมา เดี๋ยวนี้เป็นผู้เหมือนกับกำพระหัตถ์ไว้มั่นยังไม่พระ-
ราชทานอะไร ๆ ที่พระองค์ยังไม่เคยพระราชทานแก่ข้าพเจ้า นางเภรีรู้ถ้อยคำ
ของมโหสถจึงยกมือขึ้นลูบศีรษะของตน นางแสดงข้อความนี้ด้วยกิริยานั้นว่า
แน่ะบัณฑิต ถ้าท่านลำบาก เหตุไรท่านจึงไม่บวชเหมือนอาตมาเล่า พระ-
มหาสัตว์รู้ความนั้นจึงลูบท้องของตน แสดงข้อความนี้ด้วยกิริยานั้นว่า ข้าแต่
ผู้เป็นเจ้า บุตรและภรรยาข้าพเจ้าต้องเลี้ยงดูมาก เพราะเหตุนั้น ข้าพเจ้ายังไม่
บวช นางเภรีถามปัญหาด้วยเครื่องหมายแห่งมือแล้วไปสู่อาวาสของตน ฝ่าย
มโหสถไหว้นางแล้วไปสู่ราชุปัฏฐาน.
พวกสตรีคนสนิทที่พระนางนันทาเทวีประกอบยืนอยู่ที่หน้าต่าง เห็น
กิริยานั้น จึงไปเฝ้าพระเจ้าจุลนี ทูลยุยงว่า ข้าแต่สมมติเทพ มโหสถอยู่
ในที่เดียวกับนางเภรีปริพาชิกา เป็นผู้ใคร่จะชิงราชสมบัติ ย่อมเป็นศัตรู
ของพระองค์ พระราชาได้ทรงสดับคำนั้น จึงตรัสว่าพวกเจ้าได้เห็น
หรือได้ฟังอะไร สตรีเหล่านั้นทูลว่า ข้าแต่มหาราช ปริพาชิกาฉันแล้วลง
จากปราสาท เห็นมโหสถ แล้วเหยียดมือออกหมายให้รู้ความว่า ท่าน
สามารถจะทำพระราชาให้เป็นดังฝ่ามือ หรือให้เป็นดังลานนวดข้าวให้เสมอ

547
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ชาดก เล่ม ๔ ภาค ๒ – หน้าที่ 548 (เล่ม 63)

แล้วทำราชสมบัติให้ถึงเงื้อมมือตน ฝ่ายมโหสถเมื่อแสดงอาการจับดาบ ได้
กำมือเข้า หมายให้รู้ว่า เราจะตัดศีรษะพระราชาโดยวันล่วงไปเล็กน้อยแล้ว
ทำราชสมบัติให้ถึงเงื้อมมือตน ปริพาชิกายกมือของตนขึ้นลูบศีรษะหมายให้รู้ว่า
ท่านจะตัดศีรษะพระราชาเท่านั้น หรือ มโหสถลูบท้อง หมายให้รู้ว่า เราจะ
ตัดกลางตัวเสียด้วย ข้าแต่มหาราช ขอพระองค์จงไม่ประมาท ควรที่พระองค์
จะฆ่ามโหสถเสียก่อน พระเจ้าจุลนีได้ทรงฟังถ้อยคำของสตรีเหล่านั้น จึงทรง
ดำริว่า มโหสถไม่อาจจะประทุษร้ายในเรา เราจักถามปริพาชิกาก็จักรู้ความ
อีกวันหนึ่งในกาลเมื่อปริพาชิกาฉันแล้ว พระองค์เข้าไปหานางตรัสถามว่า
ข้าแต่ผู้เป็นเจ้า ผู้เป็นเจ้าพบมโหสถบ้างหรือ นางทูลว่า เมื่อวานนี้อาตมะ
ฉันแล้วออกไปจากที่นี้ได้พบเธอ ตรัสถามว่าได้เจรจาสนทนาอะไรกันบ้าง
นางทูลว่า หาได้พูดอะไรกันไม่ เป็นแต่อาตมะได้ยินว่า เธอเป็นนักปราชญ์
จึงถามปัญหาเธอด้วยเครื่องหมายแห่งมือ ด้วยมนสิการว่า ถ้าเธอเป็นนักปราชญ์
เธอจักรู้ปัญหานี้ จึงได้แบมือออกให้สำคัญรู้ว่า พระราชาของท่านเป็นผู้มี
พระหัตถ์แบ หรือมีพระหัตถ์กำ คือได้ทรงสงเคราะห์อะไรท่านบ้าง หรือมิได้
ทรงสงเคราะห์ มโหสถได้กำมือให้หมายรู้ว่า พระราชารับปฏิญาณของข้าพเจ้า
ไว้แล้วตรัสเรียกมา เดี๋ยวนี้ยังไม่ได้พระราชทานอะไร ทีนั้นอาตมะจึงลูบศีรษะ
ให้หมายความว่า ถ้าท่านลำบาก ทำไมท่านไม่บวชดังอาตมะเล่าฝ่ายมโหสถ
ลูบท้องของตนให้ทราบว่า บุตรภรรยาอันข้าพเจ้าต้องเลี้ยงดูมีมากเกินจะต้อง
ให้เต็มท้องกันมิใช่น้อย เหตุนี้จึงยังบวชไม่ได้ พระราชาจึงตรัสถานต่อไปว่า
ข้าแต่ผู้เป็นเจ้า มโหสถเป็นนักปราชญ์หรือ นางเภรีทูลว่า บุคคลอื่นชื่อว่า
เป็นนักปราชญ์เช่นมโหสถย่อมไม่มีในพื้นแผ่นดิน พระราชาได้ทรงฟังถ้อยคำ
แห่งนางเภรีแล้ว ทรงนมัสการแล้วอาราธนาให้กลับ ในกาลเมื่อนางเภรีไปแล้ว
มโหสถได้เข้าไปสู่ราชุปัฏฐาน.

548
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ชาดก เล่ม ๔ ภาค ๒ – หน้าที่ 549 (เล่ม 63)

ลำดับนั้น พระราชาจึงตรัสถามมโหสถว่า ดูก่อนบัณฑิต เจ้าได้พบ
นางเภรีปริพาชิกาบ้างหรือ มโหสถกราบทูลโดยนิยมแห่งข้อความที่นางทูล
แล้วว่า เมื่อวานนี้นางออกไปจากพระราชนิเวศน์ ข้าพระองค์ได้พบนาง
นางถามปัญหาข้าพระองค์ด้วยเครื่องหมายแห่งมืออย่างนั้น แม้ข้าพระองค์
ก็ได้แก้ปัญหาของนางอย่างนั้น พระราชาทรงเลื่อมใส พระราชทานที่เสนาบดี
แก่มโหสถในวันนั้น ให้มโหสถรับราชกิจทั้งปวง มโหสถก็มีเกียรติยศ
ใหญ่ในระหว่างอิสริยยศที่ได้รับพระราชทาน มโหสถคิดว่า พระราชา
พระราชทานอิสริยยศยิ่งใหญ่ในคราวเดียว ก็แต่พระราชาทั้งหลายแม้ทรงใคร่
จะยังเราให้ตาย ก็ย่อมทรงทำอย่างนี้เอง ไฉนหนอเราจะทดลองพระราชาว่า
เป็นผู้มีพระหฤทัยดีต่อเราหรือหาไม่ ก็แต่บุคคลอื่นไม่สามารถจะรู้ได้ นางเภรี
ปริพาชิกาผู้ถึงพร้อมด้วยปัญญานั้นแหละจักรู้ได้โดยอุบาย ครั้นคิดฉะนี้แล้ว
จึงถือของหอมมีดอกไม้เป็นต้น เป็นอันมากไปสู่อาวาสปริพาชิกา บูชาไหว้นาง
แล้วจึงกล่าวว่า ข้าแต่ผู้เป็นเจ้า ตั้งแต่วันที่ท่านกล่าวคุณกถาของข้าพเจ้าแด่
พระราชา พระราชาพระราชทานยศยิ่งใหญ่แก่ข้าพเจ้าราวกะว่าจะทับถม แต่
ข้าพเจ้าหาทราบยศที่พระราชทานนั้นไม่ว่า พระราชทานโดยปกติหรือโดยพิเศษ
ดีแล้ว ท่านพึงรู้ความที่พระราชาโปรดปรานข้าพเจ้าละหรือ โดยอุบายอันหนึ่ง
นางเภรีรับคำ.
อีกวันหนึ่งเมื่อไปสู่พระราชนิเวศน์ ได้คิดปัญหาชื่อว่า ทกรักขสปัญหา
ดังได้สดับมา ความปริวิตกอย่างนี้ได้เกิดมีแก่นางเภรีว่า เราเป็นเหมือน
คนสอดแนม จักทูลถามพระราชาโดยอุบาย ก็จักรู้ว่า พระองค์มีพระ-
หฤทัยดีต่อมโหสถหรือหาไม่ นางไปทำภัตกิจแล้วนั่งอยู่ ฝ่ายพระราชาทรง
นมัสการนางเภรีแล้วก็ประทับนั่งอยู่ ความปริวิตกได้เกิดมีแก่นางเภรีว่า ถ้า
พระราชาจักเป็นผู้มีพระหฤทัยร้ายต่อมโหสถ เราทูลถามปัญหา จักตรัสความ
ที่พระองค์มีพระหฤทัยร้ายในท่ามกลางมหาชน ข้อนั้นจะไม่สมควร เราจักต้อง

549
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ชาดก เล่ม ๔ ภาค ๒ – หน้าที่ 550 (เล่ม 63)

ทูลถามพระองค์ในที่ควรแห่งหนึ่ง นางจึงทูลว่า อาตมะปรารถนาที่ลับ พระราชา
จึงให้ชนทั้งหลายกลับไปเสีย ลำดับนั้น นางเภรีจึงทูลขอวโรกาสแด่พระราชาว่า
อาตมะจักทูลถามปัญหากะพระองค์ พระราชาตรัสอนุญาตว่า ถามเถิดผู้เป็นเจ้า
ข้าพเจ้ารู้ก็จักกล่าวแก้ ลำดับนั้น นางเภรีปริพาชิกาเมื่อจะทูลถามทกรักขส-
ปัญหา จึงกล่าวคาถาที่หนึ่งว่า
ถ้าว่าผีเสื้อน้ำผู้แสวงหาเครื่องเส้นมนุษย์ จับเรือ
ของพระนางสลากเทวีพระราชชนนี พระนางนันทา
เทวีพระมเหสี พระติขิณมนตรีกุมารพระอนุชา ธนุ-
เสขกุมารพระสหาย เกวัฏพราหมณ์ราชปุโรหิตาจารย์
มโหสถบัณฑิต และพระองค์รวม ๗ ซึ่งแล่นอยู่ใน
ทะเล พระองค์จะประทานใครอย่างไรให้เป็นลำดับ
แก่ผีเสื้อน้ำ.
บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า สตฺตนฺนํ ความว่า ของคน ๗ คน
เหล่านั้น คือ พระชนนีของพระองค์ ๑ พระนางนันทาเทวี ๑ ติขิณมนตรีกุมาร
ธนุเสขพระสหาย ๑ ปุโรหิต ๑ มโหสถ ๑ และพระราชา ๑. บทว่า อุทกณฺณเว
ได้แก่ ในน้ำทั้งลึกทั้งกว้าง. บทว่า มนุสฺสพลิเมสาโน ความว่า แสวงหา
เครื่องเส้นด้วยมนุษย์. บทว่า คณฺเหยฺย ความว่า ผีเสื้อน้ำถึงพร้อมด้วย
เรี่ยวแรง โผล่ขึ้นจากน้ำจับเรือนั้นไว้ ก็และครั้น จับแล้วกล่าวว่า ท่านจงให้
ชน ๗ คนเหล่านั้นแก่ข้าพเจ้าตามลำดับ ข้าพเจ้าจะปล่อยท่านไป เมื่อเป็น
อย่างนี้ พระองค์จะจัดลำดับให้อย่างไร. บทว่า มุญฺเจสิ ทกรกฺขโต
ความว่า พึงจัดลำดับคนที่หนึ่งถึงคนที่หกให้อย่างไร.
พระเจ้าจุลนีทรงสดับดังนั้น เมื่อจะทรงสำแดงตามพระราชอัธยาศัย
จึงตรัสคาถานี้ว่า

550
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ชาดก เล่ม ๔ ภาค ๒ – หน้าที่ 551 (เล่ม 63)

ข้าพเจ้าจักให้พระมารดาก่อน ให้มเหสี กนิษฐ-
ภาดา แต่นั้นให้สหาย ให้พราหมณ์ปุโรหิตเป็นที่
ให้ตนเองเป็นที่ ๖ ไม่ให้มโหสถแท้ทีเดียว.
บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า ฉฏฺฐาหํ ความว่า เมื่อผีเสื้อน้ำเคี้ยวกิน
พราหมณ์เป็นคนที่ ๕ แล้ว ลำดับนั้นข้าพเจ้าจะกล่าวว่า พ่อผีเสื้อน้ำ จงอ้าปาก
เมื่อมันอ้าปากแล้ว ข้าพเจ้าจะพันรักแร้ให้มั่น ไม่คำนึงถึงสิริราชสมบัติ
กล่าวว่า จงเคี้ยวกินข้าพเจ้าในบัดนี้ แล้วโดดเข้าปากมัน เมื่อข้าพเจ้ายังมีชีวิต
อยู่ จะไม่ให้มโหสถบัณฑิตอย่างแน่นอน.
ปัญหานี้จบด้วยกถามรรคเท่านี้
ความที่พระราชามีพระหฤทัยดีในพระมหาสัตว์ อันปริพาชิการู้แล้ว
ด้วยประการฉะนี้ แต่คุณของมโหสถบัณฑิตได้ปรากฏด้วยกถามรรคเพียงนี้เท่า
นั้นก็หาไม่ เพราะเหตุนั้น ความปริวิตกได้มีแก่นางเภรีว่า เราจะกล่าวคุณของ
เขานั้น ๆ ในท่ามกลางมหาชน พระราชาจักแสดงโทษของเขาเหล่านั้น แล้ว
ทรงสรรเสริญคุณของมโหสถบัณฑิต คุณของมโหสถบัณฑิตก็จักปรากฏ
ดุจดวงจันทร์ในวันเพ็ญลอยเด่นในท้องฟ้าฉะนั้น ด้วยประการฉะนี้
นางจึงยังมหาชนในเมืองทั้งหมดให้ประชุมกัน แล้วทูลถามปัญหานั้น
นั่นแหละก็พระราชาอีกจำเดิมแต่เบื้องต้น ครั้นพระราชาทรงแสดงอย่างนั้น
แล้ว จึงทูลว่า ข้าแต่มหาราช พระองค์รับสั่งว่าจักประทานพระชนนีก่อน
ก็ธรรมดาว่ามารดามีคุณูปการมาก พระราชมารดาของพระองค์เช่นกับมารดา
ของชนเหล่าอื่นก็หาไม่ พระราชมารดาของพระองค์มีพระอุปการะมาก เมื่อ
จะแสดงพระคุณแห่งพระราชมารดา จึงได้กล่าวสองคาถาว่า

551
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ชาดก เล่ม ๔ ภาค ๒ – หน้าที่ 552 (เล่ม 63)

พระราชชนนีของพระองค์เป็นผู้บำรุงเลี้ยง และ
ให้ประสูติ เป็นผู้อนุเคราะห์ตลอดราตรีนาน พราหมณ์
ชื่อฉัพภิ ประทุษร้ายในพระองค์ พระราชมารดาเป็น
ผู้ฉลาดเห็นประโยชน์เป็นปกติ ทำรูปเปรียบอื่นปลด
เปลื้องพระองค์จากการปลงพระชนม์ พระองค์จะ
ประทานพระชนนีผู้มีพระมนัสคงที่ ประทานพระ-
ชนมชีพ ผู้ให้ทรงเจริญระหว่างพระทรวง ทรงไว้ซึ่ง
พระครรภ์นั้นแก่ผีเสื้อน้ำ ด้วยโทษอะไร.
บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า โปเสตา ความว่าง ทรงให้อาบ ให้ดื่ม
ให้บริโภค วันละสองสามครั้ง เลี้ยงดูพระองค์ในเวลายังทรงพระเยาว์. บทว่า
ทีฆรตฺตานุกมฺปิกา ความว่า ทรงอนุเคราะห์ด้วยพระหฤทัยอ่อนตลอด
กาลนาน. บทว่า ฉพฺภิ ตยิ ปฏฺฐาสิ ความว่า พราหมณ์ชื่อว่าฉัพภิ ประ-
ทุษร้ายในพระองค์ ในกาลใด เมื่อพราหมณ์นั้นประทุษร้ายในพระองค์ พระ
ราชมารดานั้นเป็นผู้ฉลาดเห็นประโยชน์เป็นปกติ ได้ทำรูปอื่นเปรียบรูป
พระองค์ ปลดเปลื้องพระองค์จากการปลงพระชนม์.
ดังได้สดับมาว่า พระชนกของพระเจ้าจุลนี มีพระนามว่า มหาจุลนี
พระนางสลากเทวีเป็นพระมเหสีได้ทำชู้กับพราหมณ์อันมีชื่อว่าฉัพภินั้น ได้ปลง
พระชนม์พระเจ้ามหาจุลนียกราชสมบัติให้พราหมณ์ เป็นมเหสีแห่งพราหมณ์นั้น
ในกาลเมื่อพระเจ้าจุลนียังทรงพระเยาว์ วันหนึ่ง จุลนีราชกุมารทูลว่า ข้าแต่
พระมารดา หม่อมฉันหิว จึงให้ของควรเคี้ยวพร้อมกับน้ำอ้อยแก่พระโอรส
แมลงวันทั้งหลายตอมล้อมพระกุมารนั้น พระกุมารนั้นทรงคิดว่า เราจักเคี้ยว
กินของควรเคี้ยวนี้ไม่ให้มีแมลงวัน จึงเลี่ยงไปหน่อยหนึ่งแล้ว ยังหยาดแห่ง
น้ำอ้อยให้ตกลงยังพื้น แล้วไล่แมลงวันที่สำนักตนให้หนีไป แมลงวันเหล่านั้น

552
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ชาดก เล่ม ๔ ภาค ๒ – หน้าที่ 553 (เล่ม 63)

ก็พากันไปตอมน้ำอ้อยที่พื้นนั้น ราชกุมารเสวยของควรเคี้ยวไม่ให้มีแมลงวัน
แล้ว ล้างพระหัตถ์ทั้งสองบ้วนพระโอฐแล้วหลีกไป พราหมณ์ได้เห็นกิริยา
แห่งราชกุมารนั้นจึงคิดว่า กุมารนี้กินน้ำอ้อยไม่มีแมลงวันในบัดนี้ เจริญวัย
แล้วจักไม่ให้ราชสมบัติแก่เรา เราจักยังกุมารนั้นให้ตายเสียในเคี้ยวนี้ทีเดียว
พราหมณ์จึงแจ้งเนื้อความนั้นแก่พระนางสลากเทวี พระนางตรัสตอบว่า ดี
แล้ว เทพเจ้า ข้าพระเจ้ายังพระภัสดาของตนให้สิ้นพระชนม์ด้วยความรักใน
พระองค์ ต้องการอะไรด้วยกุมารนี้แก่ข้าพระเจ้า ณ บัดนี้ ข้าพระเจ้าจักมิให้
มหาชนรู้ยังกุมารให้ตายโดยความลับ ตรัสฉะนั้นแล้วลวงพราหมณ์ว่า อุบายนี้
มีอยู่ พระนางสลากเทวีเป็นผู้มีปรีชาฉลาดในอุบาย จึงให้เรียกพ่อครัวมาตรัส
ว่า บุตรของข้าจุลนีกุมารกับบุตรของเจ้าชื่อธนุเสขกุมารเกิดวันเดียวกัน เจริญ
ด้วยกุมารแวดล้อม เป็นสหายที่รักแห่งกัน เดี๋ยวนี้ฉัพภิพราหมณ์ใคร่จะยัง
บุตรของข้าให้ตาย เจ้าจงให้ชีวิตแก่บุตรของข้า ครั้นพ่อครัวทูลว่า ดีแล้ว
พระเทวี แต่ข้าพระองค์จักทำอย่างไร จึงรับสั่งว่า บุตรของข้าจึงอยู่ในเรือน
ของเจ้าทุกวัน เจ้าและบุตรของข้าและบุตรของเจ้าจงนอนในห้องเครื่อง เพื่อ
มิให้ใครสงสัย สิ้นวันเล็กน้อย แต่นั้นรู้ว่าไม่มีใครสงสัยแล้ว วางกระดูกแพะ
ไว้ในที่นอนของเจ้าทั้งสาม แล้วจุดไฟที่ห้องเครื่องในเวลามหาชนหลับ แล้ว
อย่าให้ใครรู้ พาบุตรของข้าและบุตรของเจ้าออกจากประตูน้อยไปนอกแคว้น
อย่าบอกความที่บุตรของข้าเป็นพระราชโอรส แล้วตามรักษาชีวิตบุตรของข้าไว้
พ่อครัวรับพระเสาวนีย์ว่าสาธุ ลำดับนั้น พระนางประทานธนสารแก่พ่อครัว
นั้น พ่อครัวได้ทำอย่างนั้น พาบุตรของตนและพระราชกุมารไปสู่สากลนคร
ในมัททรัฐ แล้วบำรุงพระเจ้ามัททราช พระเจ้ามัททราชให้พ่อครัวคนเก่าออก
ประทานตำแหน่งนั้น แก่พ่อครัวใหม่นั้น แม้กุมารทั้งสองนี้ก็ไปสู่พระราชนิเวศ
กับพ่อครัวนั้น พระราชาตรัสถามว่า กุมารทั้งสองนี้บุตรใคร พ่อครัว
ทูลว่า บุตรของข้าพระองค์ พระเจ้ากรุงสากลนครตรัสว่า หน้าตาไม่เหมือน

553
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ชาดก เล่ม ๔ ภาค ๒ – หน้าที่ 554 (เล่ม 63)

กันไม่ใช่หรือ พ่อครัวทูลว่า คนละแม่พระเจ้าข้า ครั้นเมื่อกาลล่วงไป ๆ จุลนี
ราชกุมารแลธนุเสขกุมารบุตรพ่อครัวทั้งสองเป็นผู้คุ้นเคยเล่นด้วยกันกับพระ-
ธิดาของพระราชาในพระราชนิเวศน์นั่นเอง ลำดับนั้น จุลนีราชกุมารกับ
นันทาราชธิดาของพระเจ้านัททราชได้เป็นผู้มีจิตปฏิพัทธ์กันและกัน เพราะเห็น
กันทุกวัน จุลนีราชกุมารให้ราชธิดานำลูกข่างและเชือกบ่วงมาในสถานที่เล่น
ราชกุมารตีเศียรราชธิดาผู้ไม่นำมา ราชธิดาก็กันแสง ลำดับนั้น พระราชาได้
ทรงฟังเสียงพระธิดา จึงตรัสถามว่า ใครตีธิดาของข้า นางนมทั้งหลายมาถาม
ว่า ใครตีแม่เจ้า นางกุมาริกาคิดว่า ถ้าเราจักบอกว่า ราชกุมารนี้ตีฉัน พระบิดา
ของเราจักลงราชทัณฑ์แก่เธอ คิดฉะนี้จึงไม่ตรัสว่าราชกุมารตี ด้วยความ
เสนหาในราชกุมารนั้น จึงตรัสว่า ใครไม่ได้ตีฉันดอก ลำดับนั้น พระเจ้า-
มัททราชได้ทอดพระเนตรเห็นจุลนีราชกุมารตี ก็เพราะได้ทอดพระเนตรเห็น
เอง ความปริวิตกได้มีแด่พระราชา กุมารนี้ไม่เหมือนพ่อครัว เป็นผู้มีรูปงาม
น่าเลื่อมใส เป็นผู้ไม่สะดุ้งกลัวเกินเปรียบ กุมารนี้ไม่ใช่บุตรพ่อครัว จำเดิม
แต่นั้นมา พระราชาก็ทรงสังเกตกุมารนั้น นางนมทั้งหลายนำของควรเคี้ยว
มาในที่เล่นถวายราชธิดา ราชธิดาก็ประทานแก่เด็กอื่น ๆ เด็กเหล่านั้น คุกเข่า
น้อมตัวลงรับ ฝ่ายจุลนีราชกุมารยืนแย่งเอาจากพระหัตถ์แห่งราชกุมารี แม้
พระราชาก็ได้ทอดพระเนตรเห็นกิริยานั้น ครั้งนั้น ในวันหนึ่ง ลูกข่างของจุลนี
ราชกุมารเข้าไปภายใต้ที่บรรทมน้อยของพระราชา จุลนีราชกุมารเมื่อจะหยิบ
ลูกข่างนั้น เอาไม้เขี่ยออกมาถือเอา ด้วยคิดว่า เราจักไม่เข้าภายใต้ที่บรรทม
แห่งพระราชาในปัจจันตประเทศนี้ ฝ่ายพระราชาทอดพระเนตรเห็นกิริยานั้น
เข้าพระหฤทัยว่า กุมารนี้ไม่ใช่บุตรแห่งพ่อครัวแน่ จึงให้เรียกพ่อครัวมา
ตรัสถามว่า กุมารทั้งสองนี้ บุตรใคร พ่อครัวทูลว่า บุตรของข้าพระองค์ทั้ง

554
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ชาดก เล่ม ๔ ภาค ๒ – หน้าที่ 555 (เล่ม 63)

สองคน พระเจ้าข้า พระราชาตรัสคุกคามว่า ข้ารู้ว่าบุตรของเจ้าหรือไม่ใช่
บุตรของเจ้า เจ้าจงบอกแต่ความเป็นจริง ถ้าเจ้าไม่บอกความจริง ชีวิตของ
เจ้าจักไม่มี ตรัสฉะนั้นแล้วเงื้อพระแสงขรรค์ พ่อครัวกลัวแต่มรณภัยจึงทูลว่า
ข้าแข้เทพเจ้า ข้าพระองค์ต้องการที่ลับ ครั้นพระราชาประทานโอกาสแล้ว
จึงขอพระราชทานอภัยแล้วทูลตามความเป็นจริง พระราชาทรงทราบตามจริง
แล้ว จึงให้แต่งพระธิดาของพระองค์ประทานให้เป็นบาทบริจาริกาแก่จุลนี
ราชกุมาร.
ก็ในวันที่พ่อครัว จุลนีราชกุมาร และบุตรพ่อครัวหนี โกลาหลเป็น
อันเดียวได้มีในพระนครอุตตรปัญจาละทั้งสิ้นว่า พ่อครัว จุลนีราชกุมาร และ
บุตรพ่อครัว เมื่อไฟไหม้ห้องเครื่อง ได้ไหม้เสียแล้วในภายในด้วยกัน พระ-
นางสลากเทวีทรงทราบประพฤติเหตุนั้น จึงแจ้งแก่พราหมณ์ว่า ข้าแต่เทพเจ้า
ความปรารถนาของพระองค์ถึงที่สุดแล้ว ได้ยินว่า พ่อครัว จุลนีราชกุมาร
และบุตรพ่อครัวทั้ง ๓ คน ไฟไหม้แล้วในห้องเครื่องนั่นเอง พราหมณ์ยินดี
ร่าเริง ฝ่ายพระนางสลากเทวีให้นำกระดูกแพะมาแสดงแก่พราหมณ์ว่า อัฐิแห่ง
จุลนีกุมาร แล้วให้ทิ้งเสีย นางเภรีประพาชิกาหมายเอาเนื้อความนี้กล่าวในคาถา
ว่า พระราชมารดาทรงทำรูปเปรียบอื่น ปลดเปลื้องพระองค์จากการปลง
พระชนม์ ก็พระราชมารดานันทรงแสดงกระดูกแพะว่ากระดูกมนุษย์ปลดเปลื้อง
พระองค์จากการปลงพระชนม์. บทว่า โอรสํ ความว่า ผู้ทำพระองค์ไว้ที่.
พระทรวงให้เจริญแล้วนั้น เป็นที่รักเป็นทราโปรดปราน. บทว่า คพฺภธารินึ
ความว่า พระองค์จักประทานพระราชมารดาผู้ทรงพระองค์ไว้ด้วยพระครรภ์
เห็นปานนี้นั้น แก่ผีเสื้อน้ำด้วยโทษนั้น.
พระเจ้าจุลนีพรหมทัตได้ทรงสดับคำนางเภรีปริพาชิกาดังนั้นแล้ว ตรัส
ว่า ข้าแต่ผู้เป็นเจ้า คุณของพระชนนีของข้าพเจ้ามีมาก และข้าพเจ้าก็รู้ความ

555