No Favorites


หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก เอกนิบาต-ทุกนิบาต เล่ม ๑ ภาค ๒ – หน้าที่ 470 (เล่ม 33)

ให้ถูกทำลาย เขาย่อมเป็นไปกับด้วยโทษ ถูกผู้รู้ติเตียน ทั้งได้ประสบบาป
เป็นอันมากอีกด้วย บุคคล ๒ จำพวกเป็นไฉน คือ พระตถาคต ๑
สาวกของพระตถาคต ๑ ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย อสัตบุรุษผู้เขลา ไม่
เฉียบแหลม ปฏิบัติผิดในบุคคล ๒ จำพวกนี้แล ย่อมบริหารตนให้ถูก
กำจัด ให้ถูกทำลาย เขาย่อมเป็นไปกับด้วยโทษ ถูกผู้รู้ติเตียน ทั้งได้
ประสบบาปเป็นอันมากอีกด้วย.
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย สัตบุรุษผู้ฉลาด เฉียบแหลม ปฏิบัติชอบใน
บุคคล ๒ จำพวก ย่อมบริหารตนไม่ให้ถูกกำจัด ไม่ให้ถูกทำลาย เขา
ย่อมไม่มีโทษ ไม่ถูกผู้รู้ติเตียน ทั้งได้ประสบบุญเป็นอันมากอีกด้วย
บุคคล ๒ จำพวกเป็นไฉน คือ พระตถาคต ๑ สาวกของพระตถาคต ๑
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย สัตบุรุษผู้ฉลาด เฉียบแหลม ปฏิบัติชอบในบุคคล
๒ จำพวกนี้แล ย่อมบริหารตนไม่ให้ถูกกำจัด ไม่ให้ถูกทำลาย เขาย่อม
ไม่มีโทษ ไม่ถูกผู้รู้ติเตียน ทั้งได้ประสบบุญเป็นอันมากอีกด้วย.
จบสูตรที่ ๘
สูตรที่ ๙
[๓๘๓] ๑๓๗. ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ธรรม ๒ อย่างนี้ ๒ อย่าง
เป็นไฉน คือ การชำระจิตของตนให้ผ่องแผ้ว ๑ การไม่ถือมั่นอะไร ๆ
ในโลก ๑ ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ธรรม ๒ อย่างนี้แล.
จบสูตรที่ ๙
สูตรที่ ๑๐
[๓๘๔] ๑๓๘. ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ธรรม ๒ อย่างนี้ ๒ อย่าง

470
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก เอกนิบาต-ทุกนิบาต เล่ม ๑ ภาค ๒ – หน้าที่ 471 (เล่ม 33)

เป็นไฉน คือ ความโกรธ ๑ ความผูกโกรธ ๑ ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย
ธรรม ๒ อย่างนี้แล.
จบสูตรที่ ๑๐
สูตรที่ ๑๑
[๓๘๕] ๑๓๙. ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ธรรม ๒ อย่างนี้ ๒ อย่าง
เป็นไฉน คือ การกำจัดความโกรธ ๑ การกำจัดความผูกโกรธ ๑ ดูก่อน
ภิกษุทั้งหลาย ธรรม ๒ อย่างนี้แล.
จบสูตรที่ ๑๑
จบอายาจนวรรคที่ ๒
อายาจนวรรคที่ ๒
อรรถกถาสูตรที่ ๑
วรรคที่ ๒ สูตรที่ ๑ มีวินิจฉัยดังต่อไปนี้.
บทว่าสทฺโธ ภิกฺขเว ภิกฺขุ เอวํ สมฺมา อายาจมาโน อายาเจยฺย
ความว่า ภิกษุผู้มีศรัทธา เมื่อจะขอ คือต้องการปรารถนาอย่างนี้ว่า
แม้เราก็จงเป็นเช่นพระสารีบุตรเถระ ทางปัญญา แม้เราก็จงเป็นเช่นพระ-
โมคคัลลานเถระ ทางฤทธิ์ ดังนี้ ชื่อว่าพึงปรารถนาโดยชอบ เพราะ
ปรารถนาสิ่งที่มีอยู่เท่านั้น. เมื่อปรารถนายิ่งกว่านี้ พึงปรารถนาผิด
ด้วยว่าละความปรารถนา ๒ อย่างเสีย ปรารถนาเห็นปานนี้ ย่อมชื่อว่า
ปรารถนาผิด เพราะปรารถนาสิ่งที่ไม่มี. เพราะเหตุไร. บทว่า เอสา
ภิกฺขเว เอตํ ปมาณํ ความว่า เหมือนอย่างว่า เมื่อจะชั่งทองหรือเงิน

471
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก เอกนิบาต-ทุกนิบาต เล่ม ๑ ภาค ๒ – หน้าที่ 472 (เล่ม 33)

พึงใช้ตราชู เมื่อจะตวงข้าวเปลือก พึงใช้เครื่องตวง ตราชูเป็นมาตรฐาน
ในการชั่ง และเครื่องตวงเป็นมาตรฐานในการตวง ด้วยประการดังนี้
ฉันใด สารีบุตรและโมคคัลลานะเป็นเครื่องชั่ง เป็นเครื่องตวง สำหรับ
เหล่าภิกษุผู้เป็นสาวกของเรา ยึดท่านทั้งสองนั้น จึงอาจที่จะชั่งหรือตวง
คนว่า แม้เราก็เท่ากัน ทางญาณ หรือทางฤทธิ์ นอกไปจากนี้ไม่อาจจะ
ชั่งหรือตวงได้.
จบอรรถกถาสูตรที่ ๑
อรรถกถาสูตรที่ ๒ เป็นต้น
แม้ในสูตรที่ ๒ เป็นต้น ก็นัยนี้เหมือนกัน . แต่ในสูตรนี้ แยกกัน
ดังนี้.
บทว่า เขมา จ ภิกฺขุนี อุปฺปลวณฺณา จ ความว่า ก็บรรดา
ภิกษุณี ๒ รูปนั้น ภิกษุณีเขนาเสิศทางปัญญา ภิกษุณีอุบลวรรณาเลิศทาง
ฤทธิ์ ฉะนั้น เมื่อขอโดยชอบ พึงขอว่า ขอเราจงเป็นแม้เช่นนี้ ทาง
ปัญญาก็ตาม ทางฤทธิ์ก็ตาม แม้อุบาสิกาขุชชุตตราก็เลิศเพราะมีปัญญามาก
นันทมารดา๑เลิศเพราะมีฤทธิ์มาก เพราะฉะนั้น เมื่อขอโดยชอบ พึงขอว่า
ขอเราจงเป็นแม้เช่นนี้ ทางปัญญาก็ตาม ทางฤทธิ์ก็ตาม.
จบอรรถกถาสูตรที่ ๒ เป็นต้น
อรรถกถาสูตรที่ ๕
สูตรที่ ๕ มีวินิจฉัยดังต่อไปนี้.
บทว่า ขตํ ความว่า ชื่อว่าถูกกำจัด เพราะถูกกำจัดคุณความดี.
๑. พระสูตรข้อ ๓๗๘ ว่านางเวฬุกัณฏกีนันทมารดา.

472
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก เอกนิบาต-ทุกนิบาต เล่ม ๑ ภาค ๒ – หน้าที่ 473 (เล่ม 33)

บทว่า อุปหตํ ความว่า ชื่อว่าถูกทำลาย เพราะถูกทำลายคุณความดี
อธิบายว่า ถูกตัดคุณความดี ขาดคุณความดี เสียคุณความดี. บทว่า
อตฺตานํ ปริหรติ ความว่า รักษาคุ้มครองตนที่ปราศจากคุณความดี.
บทว่า สารชฺโช แปลว่า มีโทษ. บทว่า สานุวชฺโช แปลว่า ถูก
ตำหนิ. บทว่า ปสวติ แปลว่า ย่อมได้. บทว่า อนนุวิจฺจ ได้แก่
ไม่รู้ ไม่พิจารณา. บทว่า อปริโยคาเหตฺวา แปลว่า ไม่สอบสวน.
บทว่า อวณฺณารหสฺส ความว่า ของเดียรถีย์ก็ตาม ของสาวกเดีรถีย์
ก็ตาม ผู้ปฏิบัติผิด ควรตำหนิ. บทว่า วณฺณํ ภาสติ ความว่า
กล่าวคุณว่า ผู้นี้ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ ดังนี้ . บทว่า วณฺณารหสฺส
ความว่า บรรดาพระอริยบุคคลมีพระพุทธเจ้าเป็นต้น องค์ใดองค์หนึ่ง
ผู้ปฏิบัติชอบ. บทว่า อวณิณํ ภาสติ ความว่า กล่าวโทษว่า ผู้นี้
ปฏิบัติชั่วปฏิบัติผิด ดังนี้.
บทว่า อวณฺณารหสฺส อวณฺณํ ภาสติ ความว่า บุคคลบางคน
ในโลกนี้ กล่าวตำหนิเดียรถีย์ สาวกเดียรถีย์ ผู้ปฏิบัติชั่วปฏิบัติผิด ว่าเป็น
ผู้ปฏิบัติชั่วเพราะเหตุดังนี้บ้าง เป็นผู้ปฏิบัติเพราะเหตุดังนี้บ้าง ชื่อว่าย่อม
กล่าวตำหนิผู้ที่ควรตำหนิ. บทว่า วณฺณารหสฺส วณฺณํ ความว่า กล่าว
สรรเสริญพระพุทธเจ้าและเหล่าพุทธสาวกผู้ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ ว่าเป็น
ผู้ปฏิบัติดีเพราะเหตุดังนี้บ้าง เป็นผู้ปฏิบัติชอบเพราะเหตุดังนี้บ้าง.
จบอรรถกถาสูตรที่ ๕

473
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก เอกนิบาต-ทุกนิบาต เล่ม ๑ ภาค ๒ – หน้าที่ 474 (เล่ม 33)

อรรถกถาสูตรที่ ๖
สูตรที่ ๖ มีวินิจฉัยดังต่อไปนี้.
บทว่า อปฺปสาทนีเย ฐาเน ได้แก่ ในเหตุที่ทำให้ไม่เลื่อมใส
บทว่า ปสาทํ อุปธํเสติ ความว่า ให้เกิดความเลื่อมใสในข้อปฏิบัติชั่ว
ข้อปฏิบัติผิด ว่านี้ข้อปฏิบัติดี ข้อปฏิบัติชอบ ดังนี้. บทว่า ปสาทนีเย
ฐาเน อปฺปสาทํ ความว่า ให้เกิดความไม่เลื่อมใสในข้อปฏิบัติดีข้อ
ปฏิบัติชอบว่า นี้ข้อปฏิบัติชั่ว นี้ข้อปฏิบัติผิด ดังนี้. คำที่เหลือในสูตรนี้
ง่ายทั้งนั้น.
จบอรรถกถาสูตรที่ ๖
อรรถกถาสูตรที่ ๗
สูตรที่ ๗ มีวินิจฉัยดังต่อไปนี้.
บทว่า ทฺวีสุ ได้แก่ในโอกาสสอง ในเหตุสอง. บทว่า มิจฺฉา-
ปฏิปชฺชมาโน ได้แก่ ถือข้อปฏิบัติผิด. บทว่า มาตริ จ ปิตริ จ
ความว่า ปฏิบัติผิดในมารดาเหมือนนายมิตตวินทุกะ ปฏิบัติผิดในบิดา
เหมือนพระเจ้าอชาตศัตรู. ธรรมฝ่ายขาวพึงทราบตามนัยที่กล่าวแล้วนั่นแล
จบอรรถกถาสูตรที่ ๗
อรรถกถาสูตรที่ ๘
สูตรที่ ๘ มีวินิจฉัยดังต่อไปนี้.
บทว่า ตถาคเต จ ตถาคตสาวเก เจ ความว่า ปฏิบัติผิดใน
พระตถาคต เช่นพระเทวทัต และปฏิบัติผิดในสาวกของพระตถาคต

474
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก เอกนิบาต-ทุกนิบาต เล่ม ๑ ภาค ๒ – หน้าที่ 475 (เล่ม 33)

เช่นพระโกกาลิกะ. ในฝ่ายขาว ปฏิบัติชอบในพระตถาคต เช่นพระ
อานนทเถระ และปฏิบัติชอบในสาวกของพระตถาคต เช่นบุตรของ
เศรษฐีผู้เลี้ยงโคชื่อนันทะ.
จบอรรถถถาสูตรที่ ๘
อรรถกถาสูตรที่ ๙
สูตรที่ ๙ มีวินิจฉัยดังต่อไปนี้.
บทว่า สจิตฺตโวทานํ แปลว่า ความผ่องแผ้วแห่งจิตของตน
บทนี้ เป็นชื่อของสมาบัติ ๘. บทว่า น จ กิญฺจิ โลเก อุปาทิยติ
ความว่า ไม่ถือ คือไม่แตะต้องบรรดาธรรมมีรูปเป็นต้นแม้ธรรมอย่างหนึ่ง
ไร ๆ ในโลก. ในสูตรนี้ ความไม่ถือมั่น เป็นธรรมที่ ๒ ด้วยประการ
ฉะนี้.
จบอรรถกถาสูตรที่ ๙
อรรถกถาสูตรที่ ๑๐ - ๑๑
สูตรที่ ๑๐ และสูตรที่ ๑๑ ง่ายทั้งนั้นแล.
จบอรรถกถาสูตรที่ ๑๐ - ๑๑
จบอายาจนวรรคที่ ๒

475
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก เอกนิบาต-ทุกนิบาต เล่ม ๑ ภาค ๒ – หน้าที่ 476 (เล่ม 33)

ทานวรรคที่ ๓
สูตรที่ ๑
[๓๘๖] ๑๔๐. ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ทาน ๒ อย่างนี้ ๒ อย่าง
เป็นไฉน คือ อามิสทาน ๑ ธรรมทาน ๑ ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ทาน
๒ อย่างนี้แล ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย บรรดาทาน ๒ อย่างนี้ ธรรมทาน
เป็นเลิศ.
จบสูตรที่ ๑
สูตรที่ ๒
[๓๘๗] ๑๔๑. ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย การบูชา ๒ อย่างนี้
๒ อย่างเป็นไฉน คือ การบูชาด้วยอามิส ๑ การบูชาด้วยธรรม ๑
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย การบูชา ๒ อย่างนี้แล ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย บรรดา
การบูชา ๒ อย่างนี้ การบูชาด้วยธรรมเป็นเลิศ.
จบสูตรที่ ๒
สูตรที่ ๓
[๓๘๘] ๑๔๒. ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย การสละ ๒ อย่างนี้ ๒ อย่าง
เป็นไฉน คือ การสละอามิส ๑ การสละธรรม ๑ ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย
การสละ ๒ อย่างนี้แล ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย บรรดาการสละ ๒ อย่างนี้
การสละธรรมเป็นเลิศ.
จบสูตรที่ ๓

476
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก เอกนิบาต-ทุกนิบาต เล่ม ๑ ภาค ๒ – หน้าที่ 477 (เล่ม 33)

สูตรที่ ๔
[๓๘๙ ] ๑๔๓. ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย การบริจาค ๒ อย่างนี้
๒ อย่างเป็นไฉน คือ การบริจาคอามิส ๑ การบริจาคธรรม ๑ ดูก่อน
ภิกษุทั้งหลาย การบริจาค ๒ อย่างนี้แล ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย บรรดา
การบริจาค ๒ อย่างนี้ การบริจาคธรรมเป็นเลิศ.
จบสูตรที่ ๔
สูตรที่ ๕
[๓๙๐] ๑๔๔. ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย การบริโภค ๒ อย่างนี้
๒ อย่างเป็นไฉน คือ การบริโภคอามิส ๑ การบริโภคธรรม ๑ ดูก่อน
ภิกษุทั้งหลาย การบริโภค ๒ อย่างนี้แล ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย บรรดา
การบริโภค ๒ อย่างนี้ การบริโภคธรรมเป็นเลิศ.
จบสูตรที่ ๕
สูตรที่ ๖
[๓๙๑] ๑๔๕. ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย การสมโภค ๒ อย่างนี้
๒ อย่างเป็นไฉน คือ สมโภคอามิส ๑ การสมโภคธรรม ๑ ดูก่อน
ภิกษุทั้งหลาย การสมโภค ๒ อย่างนี้แล ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย บรรดา
การสมโภค ๒ อย่างนี้ การสมโภคธรรมเป็นเลิศ.
จบสูตรที่ ๖
สูตรที่ ๗
[๓๙๒] ๑๔๖. ดูก่อนภิกษุ ทั้งหลาย การจำแนก ๒ อย่างนี้ ๒ อย่าง

477
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก เอกนิบาต-ทุกนิบาต เล่ม ๑ ภาค ๒ – หน้าที่ 478 (เล่ม 33)

เป็นไฉน คือ การจำแนกอามิส ๑ การจำแนกธรรม ๑ ดูก่อนภิกษุ
ทั้งหลาย การจำแนก ๒ อย่างนี้แล ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย บรรดาการ
จำแนก ๒ อย่างนี้ การจำแนกธรรมเป็นเลิศ.
จบสูตรที่ ๗
สูตรที่ ๘
[๓๙๓] ๑๔๗. ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย การสงเคราะห์ ๒ อย่างนี้
๒ อย่างเป็นไฉน คือ การสงเคราะห์ด้วยอามิส ๑ การสงเคราะห์ด้วย
ธรรม ๑ ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย การสงเคราะห์ ๒ อย่างนี้แล ดูก่อน
ภิกษุทั้งหลาย บรรดาการสงเคราะห์ ๒ อย่างนี้ การสงเคราะห์ด้วยธรรม
เป็นเลิศ.
จบสูตรที่ ๘
สูตรที่ ๙
[๓๙๔] ๑๔๘. ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย การอนุเคราะห์ ๒ อย่างนี้
๒ อย่างเป็นไฉน คือ การอนุเคราะห์ด้วยอามิส ๑ การอนุเคราะห์ด้วย
ธรรม ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย การอนุเคราะห์ ๒ อย่างนี้แล ดูก่อนภิกษุ
ทั้งหลาย บรรดาการอนุเคราะห์ ๒ อย่างนี้ การอนุเคราะห์ด้วยธรรม
เป็นเลิศ.
จบสูตรที่ ๙
สูตรที่ ๑๐
[๓๙๔] ๑๔๙. ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ความเอื้อเฟื้อ ๒ อย่างนี้

478
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก เอกนิบาต-ทุกนิบาต เล่ม ๑ ภาค ๒ – หน้าที่ 479 (เล่ม 33)

๒ อย่างเป็นไฉน คือ ความเอื้อเฟื้อด้วยอามิส ๑ ความเอื้อเฟื้อด้วย
ธรรม ๑ ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ความเอื้อเฟื้อ ๒ อย่างนี้แล ดูก่อนภิกษุ
ทั้งหลาย บรรดาความเอื้อเฟื้อ ๒ อย่างนี้ ความเอื้อเฟื้อด้วยธรรม
เป็นเลิศ.
จบสูตรที่ ๑๐
จบทานวรรคที่ ๓
ทานวรรคที่ ๓๑
อรรถกถาสูตรที่ ๑
วรรคที่ ๓ สูตร (ข้อ ๓๘๖). มีวินิจฉัยดังต่อไปนี้.
บทว่า ทานานิ ความว่า ชื่อว่า ทาน ด้วยอำนาจแห่งวัตถุมี
ทานเป็นต้นที่เขาให้ บทนี้เป็นชื่อของไทยธรรม อีกอย่างหนึ่ง เจตนา
พร้อมด้วยวัตถุ ชื่อว่า ทาน บทนี้เป็นชื่อของการบริจาคสมบัติ. บทว่า
อามิสทานํ ความว่า ปัจจัย ๔ ชื่อว่า อามิสทาน โดยเป็นของให้.
บทว่า ธมฺมทานํ ความว่า บุคคลบางคนในโลกนี้ กล่าวปฏิปทาเครื่อง
บรรลุอมตะให้ นี้ชื่อว่า ธรรมทาน.
จบอรรถกถาสูตรที่ ๑
๑. วรรคนี้ประกอบด้วยสูตรสั้น ๆ ๑๐ สูตร จึงลงอรรถกถาอธิบายไว้ ติดต่อรวมกันทั้งวรรค
แต่เพื่อความไม่สับสน จึงใส่ข้อบาลีกำกับไว้ในอรรถกถาสูตรด้วย.

479