เอาเงินถวายพระ/พระรับเงิน เป็นการทำลายศาสนา บาปทั้งผู้ให้และผู้รับ
...ก็จักมีในอนาคต ในเมื่อศาสนาของตถาคตเสื่อมโทรมนั่นแล ด้วยว่าในกาลภายหน้า พวกภิกษุอลัชชีเห็นแก่ปัจจัย จักมีมาก พวกเหล่านั้น จักพากันแสดงธรรมเทศนาที่ตถาคต กล่าวติเตียนความละโมภในปัจจัยไว้แก่ชนเหล่าอื่นเพราเหตุแห่งปัจจัย ๔ มีจีวรเป็นต้น จักไม่สามารถแสดงให้พ้นจากปัจจัยทั้งหลาย แล้วตั้งอยู่ในฝ่ายธรรมนำสัตว์ให้พ้นจากทุกข์ มุ่งตรงสู่พระนิพพาน ชนทั้งหลายก็จะฟังความสมบูรณ์แห่งบทละพยัญชนะ และสำเนียงอันไพเราะอย่างเดียว เท่านั้น แล้วจักถวายเอง และยังชนเหล่าอื่นให้ถวายซึ่งปัจจัยทั้งหลายมีจีวรเป็นต้น อันมีค่ามาก ภิกษุทั้งหลายอีกบางพวก จักพากันนั่งในที่ต่าง ๆ มีท้องถนน สี่แยก และประตูวังเป็นต้น แล้ว แสดงธรรมแลกรูปิยะ...
เมื่อทำให้ศาสนาเสื่อมโทรม ย่อมประสบบาปมิใช่บุญเป็นอันมาก เพราะเป็นการกระทำที่ชั่ว (บางคนอาจคิดว่า ยิ่งให้ยิ่งได้บุญเพราะเป็นการให้ ถ้าคิดแบบนั้น งั้นเอายาบ้าให้คนอื่นก็ได้บุญเหมือนกัน เพราะมันก็คือ "การให้")
...ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ผู้ที่ชักชวนเข้าในธรรมวินัยที่กล่าวไว้ชั่ว ๑ ผู้ที่ถูกชักชวนแล้วปฏิบัติเพื่อความเป็นอย่างนั้น ๑ คนทั้งหมดนั้น ย่อมประสบกรรมมิใช่บุญเป็นอันมาก ข้อนั้นเพราะเหตุไร เพราะธรรมท่านกล่าวไว้ชั่ว...
กรณีตัวอย่าง ตระกูลประมาณ 500 ที่ฝักใฝ่ในการกระทำชั่วกับพระ ได้ไปเกิดในนรก
...และตระกูลประมาณ ๕๐๐ ที่ฝักใฝ่กับพระเทวทัตยึดมั่นในลัทธิของพระเทวทัตนั้น พร้อมด้วยพวกก็ไปเกิดในนรก...
อ้างยุคสมัย อ้างค่าใช้จ่าย ? ไม่เกี่ยวกับยุคสมัย พระธรรมเป็นอกาลิโก (ไม่ประกอบด้วยกาล) บาปบุญไม่ประกอบด้วยกาล ทำบาปเมื่อไหร่ บาปเมื่อนั้น ทำบุญเมื่อไหร่ เป็นบุญเมื่อนั้น ดังที่ตรัสไว้ว่า ...
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย สัตว์เหล่าใดประพฤติสุจริต ด้วยกายด้วยวาจา ด้วยใจ ในเวลาเช้า เวลาเช้านั้น ก็เป็นเวลาดีของสัตว์เหล่านั้น สัตว์เหล่าใดประพฤติสุจริตด้วยกาย ด้วยวาจา ด้วยใจ ในเวลากลางวัน เวลากลางวันนั้น ก็เป็นเวลาดีของสัตว์เหล่านั้น สัตว์เหล่าใดพระพฤติสุจริตด้วยกาย ด้วยวาจา ด้วยใจ ในเวลาเย็น เวลาเย็นนั้น ก็เป็นเวลาดีของสัตว์เหล่านั้น
และพระพุทธเจ้าก็ได้สอนไว้แล้ว วิธีปฏิบัติในเรื่องเงินและทองเมื่อมีผู้มาถวาย เช่น ท่อนนี้ คฤหบดีเป็นผู้ดูแลจัดการ กลั่นกรองไม่เอาสิ่งที่เป็นอกัปปิยะให้แก่พระ (ดูเพิ่ม ที่เกี่ยวข้อง )
...มีอยู่ ภิกษุทั้งหลาย ชาวบ้านที่มีศรัทธาเลื่อมใส เขามอบเงินทองไว้ในมือกัปปิยการกสั่งว่า สิ่งใดควรแก่พระผู้เป็นเจ้า ขอท่านจงถวายสิ่งนั้นด้วยกัปปิยภัณฑ์นี้ ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เราอนุญาตให้ยินดีของอันเป็นกัปปิยะจากกัปปิยภันฑ์นั้นไว้ แต่เรามิได้กล่าวว่า พึงยินดี พึงแสวงหาทองและเงินโดยปริยายไร ๆ เลย...
คฤหัสถ์และบรรพชิตทั้งหลาย ต่างอาศัยซึ่งกันและกัน คฤหัสถ์เป็นผู้จัดการเรื่องอามิส ไม่ใช่พระไปจัดการเอง ส่วนพระมีหน้าที่ตอบแทนคฤหัสถ์ด้วยการแสดงธรรม ไม่ละเมิดพระวินัย ทำตนให้เป็นผู้มีคุณ เพื่อที่ทายกมาทำบุญด้วยแล้วจะเป็นบุญมากแก่เขา
[๒๘๗] ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย พราหมณ์และคฤหบดีทั้งหลายเป็นผู้มีอุปการะมากแก่เธอทั้งหลาย บำรุงเธอทั้งหลายด้วยจีวร บิณฑบาต เสนาสนะและคิลานปัจจัยเภสัชบริขาร แม้เธอทั้งลายก็จงเป็นผู้มีอุปการะมากแก่พราหมณ์และคฤหบดีทั้งหลาย จงแสดงธรรมอันงามในเบื้องต้น งามในท่ามกลาง งามในที่สุด จงประกาศพรหมจรรย์พร้อมทั้งอรรถ พร้อมทั้งพยัญชนะบริสุทธิ์บริบูรณ์สิ้นเชิงแก่พราหมณ์และคฤหบดีเหล่านั้นเถิด ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย คฤหัสถ์และบรรพชิตทั้งหลาย ต่างอาศัยซึ่งกันและกันด้วยอำนาจอามิสทานและธรรมทาน อยู่ประพฤติพรหมจรรย์นี้ เพื่อต้องการสลัดโอฆะเพื่อจะทำซึ่งที่สุดแห่งทุกข์โดยชอบด้วยประการอย่างนี้