No Favorites

พระพุทธเจ้ามีพระเศียรโล้นหรือไม่

ยกเอาคำด่าของพราหมณ์ว่า "หยุดอยู่ที่นั่นแหละคนโล้น" มาเป็นข้ออ้างอิง หรือแม้แต่ข้ออื่นๆ ที่มีคำเรียกว่าสมณะโล้น: เห็นหลายที่ เอาประเด็นเหล่านี้มาเป็นข้ออ้างอิง ตีความหมายว่า พระพุทธเจ้ามีศีรษะโล้น คือ เอาคำด่าของคน หรือคำพูดของคน มาเป็นข้ออ้างอิง แบบนี้เป็นการตีความหมายที่ตื้นไป เพราะ ถ้าสาวกโล้น แต่พระพุทธเจ้าไม่ได้โล้น ถ้าเขาอยากจะรวบยอดใช้คำด่าในเชิงสัญลักษณ์ว่าโล้นก็ย่อมได้ (เพราะคนในยุคนั้นนิยมผมยาว ประกอบมุมมองของผู้มีจิตคิดจะด่าในเชิงสัญลักษณ์) เราจะไปเอาอะไรแน่นอนกับคำด่าไม่ได้ ยกตัวอย่างเช่น เขียนใส่กระดาษว่า "ไอ้หน้าหมา" แล้วฝังดินไว้ อีกพันปีข้างหน้า คนในยุคนั้นเปิดอ่านดู ก็จะไปตีความหมายว่า คนๆนั้นหน้าเป็นหมาหรือ? หรือแม้แต่ในทางสืบสวนของเจ้าหน้าที่ตำรวจ จะยึดเอาคำด่าของคนมาเป็นข้อสรุป โดยไม่ดูหลักฐานอื่นเลย จะได้หรือ?

...อัคคิกภารทวาชพราหมณ์ได้เห็นพระผู้มีพระภาคเจ้าเสด็จมาแต่ไกลทีเดียว ครั้นแล้วได้กราบทูลพระผู้มีพระภาคเจ้าว่า หยุดอยู่ที่นั่นแหละคนโล้น หยุดอยู่ที่นั่นแหละสมณะ...

ยกเอาข้อที่ว่าสาวกโล้น พระพุทธเจ้าก็ต้องโล้นด้วย เพราะพระพุทธเจ้าต้องเป็นแบบอย่าง มาอ้างอิง: อันนี้ก็ไม่สมเหตุสมผล เพราะเป็นไปไม่ได้ที่พระพุทธเจ้าจะเหมือนสาวกไปหมดทุกอย่าง ถ้าจะว่าในเรื่องการเป็นแบบอย่าง พระพุทธเจ้าสร้างบารมีมา 4 อสงไขยยิ่งด้วยแสนกัป นั้นเป็นแบบอย่างแล้ว ความอัศจรรย์ของพระโพธิสัตว์หรือแม้แต่เป็นพระพุทธเจ้าแล้วมีอยู่ และพระพุทธเจ้าก็บัญญัติวินัยให้สาวกเท่านั้น ไม่ได้บัญญัติให้พระองค์เอง ในเมื่อการบัญญัติสิกขาบทมีแก่พระสาวกเท่านั้น จึงไม่มีความจำเป็นที่พระพุทธเจ้าต้องไปโกนผมเหมือนสาวก หรือให้พระองค์เป็นแบบอย่างในเรื่องนี้ (มีใครจะไปโต้แย้งพระพุทธเจ้าได้ไหมว่าทำไมไม่บัญญัติให้ตนเองด้วย จะได้เป็นแบบอย่าง? )

...อนึ่ง การบัญญัติสิกขาบท ย่อมมีแก่พระสาวกทั้งหลายเท่านั้น ชื่อว่าเขตแดนแห่งสิกขาบทย่อมไม่มีแก่พระพุทธเจ้าทั้งหลาย เหมือนอย่างว่าดอกไม้และผลไม้ที่มีอยู่ในพระราชอุทยาน คนเหล่าอื่นเก็บดอกไม้แลผลไม้เหล่านั้นไปย่อมมีโทษ ส่วนพระราชาทรงบริโภคได้ตามพระราชอัธยาศัย ข้อนี้ก็มีอุปไมยเหมือนอย่างนั้น

...พระศาสดา. มหาบพิตร อาชญาแม้ของอาตมภาพย่อมแผ่ไปในแสนโกฏิจักรวาล เหมือนอาชญาของพระองค์ที่แผ่ไปในแว่นแคว้นประมาณ ๓๐๐ โยชน์. อาชญาไม่มีแก่พระองค์ผู้เสวยผลไม้ทั้งหลาย เป็นต้นว่าผลมะม่วงในพระอุทยานของพระองค์ แต่มีอยู่แก่ชนเหล่าอื่น ขึ้นชื่อว่าการก้าวล่วงบัญญัติ คือ สิกขาบท ย่อมไม่มีแก่ตน แต่ย่อมมีแก่สาวกเหล่าอื่น...

และพระพุทธเจ้ามีความบริสุทธิ์ 4 อย่าง ที่ไม่ต้องรักษา คือ (1) กายสมาจารบริสุทธิ์ (2) วจีสมาจารบริสุทธิ์ต (3) มโนสมาจารบริสุทธิ์ (4) อาชีวะบริสุทธิ์ (มีใครจะไปโต้แย้งพระพุทธเจ้าได้ไหมว่าทำไมไม่รักษา จะได้เป็นแบบอย่าง?)

...ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ความบริสุทธิ์ที่ตถาคตไม่ต้องรักษา ๔ อย่างเหล่านี้ ๔ อย่างอะไรบ้าง ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ตถาคตมีกายสมาจารบริสุทธิ์ ตถาคตไม่มีกายทุจริตที่จะพึงรักษาว่า ผู้อื่นอย่าได้รู้สิ่งนี้ของเราเลย ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ตถาคตมีวจีสมาจารบริสุทธิ์ตถาคตไม่มีวจีทุจริตที่จะพึงรักษาว่า ผู้อื่นอย่าได้รู้สิ่งนี้ของเราเลย ดูก่อนภิกษุทั้งหลายตถาคตมีมโนสมาจารบริสุทธิ์ ตถาคตไม่มีมโนทุจริตที่จะพึงรักษาว่า ผู้อื่นอย่าได้รู้สิ่งนี้ของเราเลย ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ตถาคตมีอาชีวะบริสุทธิ์ ตถาคตไม่มีมิจฉาชีวะที่จะพึงรักษาว่า ผู้อื่นอย่าได้รู้สิ่งนี้ของเราเลย ดังนี้

พระพุทธเจ้าจะไม่ทำอุโบสถ ไม่แสดงปาติโมกข์ ให้แต่ภิกษุทั้งหลายทำ เพราะไม่ใช่ฐานะ ไม่ใช่โอกาส ที่พระพุทธเจ้าจะทำอุโบสถ แสดงปาติโมกข์ในบริษัทผู้ไม่บริสุทธิ์ (มีใครจะไปโต้แย้งพระพุทธเจ้าได้ไหมว่าทำไมไม่ทำ จะได้เป็นแบบอย่าง?) เพราะฉะนั้น จะเอาเรื่องการเป็นแบบอย่างมาเป็นประเด็นไม่ได้หรอก เพราะพระศาสดากับสาวกย่อมมีความต่าง

...ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ตั้งแต่บัดนี้ไป เราจักไม่ทำอุโบสถ จักไม่แสดงปาติโมกข์ตั้งแต่บัดนี้ไปพวกเธอพึงทำอุโบสถ พึงสวดปาติโมกข์ ดูก่อนภิกษุทั้งหลายข้อที่ตถาคตจะพึงทำอุโบสถ แสดงปาติโมกข์ในบริษัทผู้ไม่บริสุทธิ์ นั้นไม่ใช่ฐานะ ไม่ใช่โอกาส...

แต่มีการอ้างถึงวรรคนี้เหมือนกันว่า ไม่เห็นปลายพระเกศา จึงเหยียดหยามว่าโล้น

...พอพระผู้มีพระภาคเจ้าเปิดพระเศียร พราหมณ์เห็นพระเกสาจึงกล่าวว่า มุณฺโฑ คนโล้น พราหมณ์มองดูอย่างถี่ถ้วนไม่เห็นปลายพระเกศา แม้แต่น้อยจึงเหยียดหยามกล่าวว่ามุณฺฑโก คนโล้นเลี่ยนดังนี้...

แต่ท่อนข้างบนนี้ ก็ขัดแย้งกับข้ออื่นๆที่พูดถึงพระเกศา เหมือนกัน (ซึ่งก็มีมาก) เพราะถ้าโล้นคงไม่พูดถึงพระเกศา

...พระผู้มีพระภาคเจ้าเปิดพระเศียร พราหมณ์เห็นพระองค์มีผมสั้น จึงกล่าวว่าผู้นี้เป็นสมณะโล้น เมื่อตรวจดูตระหนักยิ่งกว่านั้น ก็มิได้เห็นแม้ปลายผมพอจะไหวได้ จึงกล่าวติว่า สมณะโล้น...

พระพุทธเจ้าได้ประทานพระเกศา 8 เส้น แก่สองพานิช ถ้าไม่มีผม จะเอาผมจากไหนมาให้ ?

...ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ขอพระองค์โปรดประทานเจดีย์สำหรับบูชาแก่พวกข้าพระองค์เถิด พระศาสดาทรงเอาพระหัตถ์ขวาลูบพระเศียรแล้วประทานเส้นพระเกศธาตุ ๘ เส้น แก่ชนแม้ทั้งสอง ชนทั้งสองนั้นวางพระเกศธาตุไว้ในผอบทองคำนำไปสู่นครของตน ให้บรรจุพระเกศธาตุของพระพุทธเจ้าที่ยังมีพระชนม์ไว้ที่ประตูอสิตัญชนนคร ในวันอุโบสถก็มีรัศมีสีนิลเปล่งออกมาจากพระเจดีย์...

...สองพานิชนั้นครั้นประกาศความเป็นอุบายสกอย่างนั้นแล้ว ได้กราบทูลพระผู้มีพระภาคเจ้าว่า ทีนี้ ตั้งแต่วันนี้ไป ข้าพระองค์พึงทำการอภิวาทและยืนรับใครเล่า พระเจ้าข้า ? พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงลูบพระเศียร พระเกศาติดพระหัตถ์ ได้ประทานพระเกศาเหล่านั้น แก่เขาทั้งสอง ด้วยตรัสว่าท่านจงรักษาผมเหล่านี้ไว้ สองพานิชนั้น ได้พระเกศธาตุราวกะได้อภิเษกด้วยอมตธรรม รื่นเริงยินดีถวายบังคมพระผู้มีพระภาคเจ้าแล้วหลีกไป....

...ในขณะนั้นท่านพระราหุลเสด็จไป ณ เบื้องพระปฤษฎางค์ของพระผู้มีพระภาคเจ้าทรงแลดูพระตถาคตตั้งแต่พื้นพระบาทจนถึงปลายพระเกสา ท่านพระราหุลนั้นทอดพระเนตรเห็นความงดงามของเพศพระพุทธเจ้าของพระผู้มีพระภาคเจ้า จึงดำริว่า พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงมีพระสรีระวิจิตรด้วยมหาปุริสลักษณะ ๓๒ ประการงดงาม...

...ลำดับนั้น พราหมณ์ได้เกิดความคิดว่า สมณะนี้ตรัสว่า เราก็ไถและหว่าน ดังนี้ เราไม่เห็นเครื่องมือสำหรับทำนามีแอกและไถเป็นต้น อันโอฬารของสมณะนั้น สมณะนั้นพูดเท็จหรือไม่หนอ จึงชำเลืองดูพระผู้มีพระภาคเจ้าตั้งแต่พื้นพระบาท จนถึงปลายพระเกสา รู้สมบัติคือลักษณะอันประเสริฐ ๓๒ อย่าง ของพระผู้มีพระภาคเจ้านั้น...

...กล่าวตู่พระตถาคตโดยนัยเป็นต้นว่า ขึ้นชื่อว่าพระพุทธเจ้านั้น เป็นโลกุตระทั้งพระองค์ พระอาการ ๓๒ มีพระเกสาเป็นต้นของพระองค์ล้วนเป็นโลกุตระทั้งนั้น ดังนี้...

...ได้เห็นพระผู้มีพระภาคเจ้า ทรงยังถนนในพระนครให้สว่างไสวด้วยพระรัศมีแห่งพระสรีระอันรุ่งเรื่องด้วยความรุ่งเรื่องต่าง ๆ ไพโรจน์ด้วยพุทธสิริอันหาอุปมามิได้ ประดับด้วยมหาปุริสลักษณะ ๓๒ ประการ สว่างด้วยพระอนุพยัญชนะ ๘๐ ซึ่งตามประชิดล้อมรอบด้วยพระรัศมีด้านละวา จึงทรงชมเชยตั้งแต่พระอุณหิสจนถึงพื้นพระบาท ด้วยคาถาชื่อว่านรสีหะ ๘ ประการ มีอาทิอย่างนี้ว่าพระผู้นรสีหะมีพระเกสาเป็นลอนอ่อนดำสนิท มีพื้นพระนลาตปราศจากมลทินดุจพระอาทิตย์ มีพระนาสิกโค้งอ่อนยาวพอเหมาะ ซ่านไปด้วยพระข่ายแห่งพระรัศมี ดังนี้...

พระพุทธเจ้าตรัสเองว่าพระองค์มีผมดำสนิท และตอนออกบวช ก็ไม่ได้โกนให้โล้น

...ดูก่อนราชกุมาร สมัยต่อมา เมื่ออาตมภาพยังเป็นหนุ่ม มีผมดำสนิทประกอบด้วยวัยกำลังเจริญ เป็นปฐมวัย เมื่อมารดาบิดาไม่ปรารถนา [จะให้บวช] ร้องไห้น้ำตานองหน้าอยู่ ได้ปลงผมและหนวด...

กิจในการปลงพระเกศา และพระมัสสุ ของพระพุทธเจ้าไม่มี หลังจากตัด พระเกสาเหลือประมาณ ๒ องคุลี เวียนขวาแนบติดพระเศียร

...ลำดับนั้น จึงทรงดำริว่า เราจักเอาพระขรรค์ตัดด้วยตนเองทีเดียวจึงเอาพระหัตถ์ขวาจับพระขรรค์ เอาพระหัตถ์ซ้ายจับพระจุฬา (จุก) พร้อมกับพระเมาลี (มวยผม) แล้วจึงตัดพระเกสาเหลือประมาณ ๒ องคุลี เวียนขวาแนบติดพระเศียร พระเกสาเหล่านั้น ได้มีอยู่ประมาณนั้นเท่านั้น จนตลอดพระชนม์ชีพ และพระมัสสุก็ได้มีพอเหมาะกับพระเกสานั้น ชื่อว่ากิจในการปลงพระเกศาและพระมัสสุ ไม่มีอีกต่อไป

ดูข้อมูลเพิ่มเติม ในอนุพยัญชนะ 80 ประการ "เส้นพระเกสาเวียนเป็นทักขิณาวัฏฏทุกๆ เส้น "

เมื่อวิเคราะห์ตามข้อมูลที่มี ผู้เขียนเชื่อว่า พระเศียรของพระพุทธเจ้าไม่ได้โล้นเหมือนของสาวก ดูตัวอย่าง เรื่องพระภัตทากุณฑลเกสาเถรี ประกอบเพิ่มเติม เอตทัคคะผู้เป็นเลิศกว่าภิกษุณีผู้ตรัสรู้เร็ว เคยได้บวชในสำนักของพวกนิครนถ์ ก็มีผมงอกขึ้นเป็นวงกลมคล้ายตุ้มหู โดยเป็นกลุ่มก้อนขึ้นมา จึงมีชื่อว่า กุณฑลเกสา (แสดงให้เห็นถึงความต่างของคนมีอยู่ ตามธรรมชาติจัดสรร)

...พวกนิครนถ์รับว่าดีแล้ว จึงเอาก้านตาลทิ้งถอนผมของนางแล้วให้บวช ผมเมื่อจะงอกขึ้นอีกก็งอกขึ้นเป็นวงกลมคล้ายตุ้มหู โดยเป็นกลุ่มก้อนขึ้นมา เพราะเหตุนั้นนางจึงเกิดมีชื่อว่า กุณฑลเกสา...

อย่างไรก็ตาม วัตถุไม่ใช่สาระ พระพุทธเจ้าให้มีธรรมเป็นที่พึ่ง

ดูก่อนอานนท์ ก็ภิกษุพวกใดพวกหนึ่ง ในบัดนี้ก็ดี ในกาลที่เราล่วงไปก็ดี จักเป็นผู้มีตนเป็นเกาะ มีตนเป็นที่พึ่ง ไม่มีสิ่งอื่นเป็นที่พึ่ง คือ มีธรรมเป็นเกาะ มีธรรมเป็นที่พึ่ง ไม่มีสิ่งอื่นเป็นที่พึ่งอยู่ พวกภิกษุเหล่านี้นั้นที่เป็นผู้ใคร่ต่อการศึกษา จักเป็นผู้เลิศ

ระวัง...ถ้าพระพุทธเจ้าไม่ได้โล้นจริง แต่ก็ไปวาดภาพ หรือ ไปสร้างรูปปั้น สมมุติขึ้นมา ให้ท่านเป็นวัตถุที่ไม่มีใจ (1) ให้ท่านโล้น (1) ก็เป็นการ กล่าวตู่พระองค์ด้วยความไม่จริง เพราะเป็นการเห็นผิด ดังพระสูตรนี้

ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย คน ๒ จำพวกนี้ย่อมกล่าวตู่ตถาคต ๒ จำพวกเป็นไฉน คือ คนเจ้าโทสะซึ่งมีโทษอยู่ภายใน ๑ คนที่เชื่อโดยถือผิด ๑ ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย คน ๒ จำพวกนี้ ย่อมกล่าวตู่ตถาคต

เมื่อกล่าวตู่พระองค์ ย่อมประสบบาปมิใช่บุญเป็นอันมาก ดังพระสูตรนี้

...ดูก่อนโมฆบุรุษ ก็เมื่อเป็นดังนั้น เธอกล่าวตู่เราด้วยขุดตนเสียด้วย จะประสบบาปมิใช่บุญมากด้วย เพราะทิฏฐิที่ตนถือชั่วแล้วดูก่อนโมฆบุรุษ ก็ความเห็นนั้นของเธอจักเป็นไปเพื่อโทษไม่เป็นประโยชน์ เพื่อทุกข์ตลอดกาลนาน...

หมายเหตุ : อันนี้เป็นเพียงแต่การวิเคราะห์ตามข้อมูลที่มี แต่ถ้าจะให้ชัดเจนจริง ต้องมีความสารมารถพิเศษรู้ได้ว่า พระเศียรท่านมีลักษณะเป็นยังไง

กระทู้เกี่ยวข้อง :  #สอนโลกุตระธรรมแต่เถียงให้ได้กราบวัตถุต่ำๆ (งง)  #ยังไม่ตรัสรู้เรียกว่าโพธิสัตว์ ตรัสรู้แล้วจึงเรียกว่าพระพุทธเจ้า (พระพุทธเจ้าปางบำเพ็ญทุกรกิริยาไม่มี พระพุทธเจ้าน้อยก็ไม่มี)  #รู้เรื่องพระพุทธรูปตามความเป็นจริง (หนังสือจาก samyaek.com)  #พระพุทธเจ้าบัญญัติสิกขาบทให้สาวก ไม่ได้บัญญัติให้พระองค์เอง (พระพุทธเจ้าไม่จำเป็นต้องโล้นเหมือนสาวกเพราะเหตุเพียงเท่านี้)