No Favorites


หมวด/เล่ม
พระวินัยปิฎก จุลวรรค เล่ม ๗ ภาค ๒ – หน้าที่ 29 (เล่ม 9)

[๗๗] สมัยนั้น ภิกษุทั้งหลายถูกยุงรบกวน จึงกราบทูลเรื่องนั้นแด่
พระผู้มีพระภาคเจ้า พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า ภิกษุทั้งหลาย เราอนุญาตมุ้ง.
เรื่องที่จงกรมและเรื่องไฟ
[๗๘] สมัยนั้น ทายกทายิกาในพระนครเวสาลีเริ่มจัดปรุงอาหาร
ประณีตขึ้นตามลำดับ ภิกษุทั้งหลายฉันอาหารอันประณีตแล้ว มีร่างกายอันโทษ
สั่งสม มีอาพาธมาก ครั้งนั้น หมอชีวกโกมารภัจได้ไปสู่เมืองเวสาสีด้วยกิจจำ
เป็นบางอย่างได้เห็นภิกษุทั้งหลาย มีร่างกาย้อนโทษสั่งสม มีอาพาธมาก ครั้น
แล้วเข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคเจ้า ถวายบังคมแล้ว นั่ง ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง
ได้กราบทูลพระผู้มีพระภาคเจ้าว่า พระพุทธเจ้าข้า บัดนี้ ภิกษุทั้งหลาย มี
ร่างกายอันโทษสั่งสม มีอาพาธมาก ข้าพระพุทธเจ้าขอประทานพระวโรกาส ขอ
พระผู้มีพระภาคเจ้า ได้โปรดทรงอนุญาตที่จงกรมและเรือนไฟแก่ภิกษุทั้งหลาย
เถิด พระพุทธเจ้าข้า เมื่อเป็นเช่นนี้ ภิกษุทั้งหลายจักมีอาพาธน้อย.
ครั้งนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงชี้แจงให้หมอชีวกโกมารภัจเห็นแจ้ง
สมาทาน อาจหาญ... ร่าเริงด้วยธรรมีกถา จึงหมอชีวกโกมารภัจลุกจากที่นั่ง
ถวายบังคมพระผู้มีภาคเจ้า ทำประทักษิณกลับไป.
พุทธานุญาตที่จงกรมและเรือนไฟ
[๗๙] ลำดับนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงธรรมีกถาในเพราะเหตุเป็น
เค้ามูลนั้น ในเพราะเหตุ แรกเกิดนั้น แล้วรับสั่งกะภิกษุทั้งหลายว่า ดูก่อน-
ภิกษุทั้งหลาย เราอนุญาตที่จงกรมและเรือนไฟ.

29
หมวด/เล่ม
พระวินัยปิฎก จุลวรรค เล่ม ๗ ภาค ๒ – หน้าที่ 30 (เล่ม 9)

[๘๐] สมัยต่อมา ภิกษุทั้งหลายจงกรมในที่ขรุขระ เท้าเจ็บ จึงกราบ
ทูลเรื่องนั้นแค่พระผู้มีพระภาคเจ้า พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า ดูก่อนภิกษุ
ทั้งหลาย เราอนุญาตให้ทำจงกรมให้เรียบ.
[๘๑] สมัยต่อมา ที่จงกรมมีพื้นที่ต่ำ น้ำท่วม . . .ตรัสว่า ดูก่อน
ภิกษุทั้งหลาย เราอนุญาตให้ทำที่จงกรมให้สูง ที่ถมพังลง .. ตรัสว่า ดูก่อน
ภิกษุทั้งหลาย เราอนุญาตให้ก่อมูลดินที่ถม ๓ ชนิด คือ ก่อด้วยอิฐ ๑ ก่อ
ด้วยหิน ๑ ก่อด้วยไม้ ๑ ภิกษุทั้งหลายขึ้นลงลำบาก . . ตรัสว่า ดูก่อนภิกษุ
ทั้งหลาย เราอนุญาตบันได ๓ ชนิด คือ บันไดอิฐ ๑ บันไดหิน ๑ บันได
ไม้ ๑ ภิกษุทั้งหลายขึ้นลงพลัดตก ตรัสว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เราอนุญาต
ราวสำหรับยึด.
[๘๒] สมัยนั้น ภิกษุทั้งหลายจงกรมอยู่ในที่จงกรม พลัดตกลงมา
ภิกษุทั้งหลายกราบทูลเรื่องนั้นแด่พระผู้มีพระภาคเจ้า พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัส
ว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เราอนุญาตรั้วรอบที่จงกรม.
[๘๓] สมัยต่อมา ภิกษุทั้งหลายจงกรมอยู่กลางแจ้ง ลำบาก ด้วย
หนาวบ้าง ร้อนบ้าง ภิกษุทั้งหลายกราบทูลเรื่องนั้น แด่พระผู้มีพระภาคเจ้า
พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เราอนุญาตโรงจงกรม ผง
หญ้าที่มุ่งหล่นเกลื่อนในโรงจงกรม .. . ตรัสว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เราอนุญาต
ให้รื้อลงแล้วฉาบด้วยดินทั้งข้างนอกข้างใน ทำให้มีสีขาว สีดำ สีเหลือง จำ
หลักเป็นพวงดอกไม้ เครือไม้ ฟันมังกร ดอกจอกห้ากลีบ ราวจีวร สาย
ระเดียงจีวร.
[๘๔] สมัยนั้น เรือนไฟมีพื้นต่ำไป น้ำท่วมได้ ตรัสว่า ดูก่อน
ภิกษุทั้งหลาย เราอนุญาตให้ถมพื้นให้สูง พื้นที่ถมพังลงมา. ..ตรัสว่า ดูก่อน

30
หมวด/เล่ม
พระวินัยปิฎก จุลวรรค เล่ม ๗ ภาค ๒ – หน้าที่ 31 (เล่ม 9)

ภิกษุทั้งหลาย เราอนุญาตให้ก่อมูลดินที่ถม ๓ ชนิด คือ ก่อด้วยอิฐ ๑ ก่อ
ด้วยหิน ๑ ก่อด้วยไม้ ๑ ภิกษุทั้งหลายขึ้นลงลำบาก ...ตรัสว่า ดูก่อนภิกษุ
ทั้งหลาย เราอนุญาตบันได ๓ ชนิด คือ บันไดอิฐ ๑ บันไดหิน ๑ บันได
ไม้ ๑ ภิกษุทั้งหลายขึ้นลงพัดตกลงมา . . .ตรัสว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เรา
อนุญาตราวสำหรับยึด เรือนไฟไม่มีบานประตู. ..ตรัสว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย
เราอนุญาตบานประตู กรอบเช็ดหน้า ครกรองเดือยประตู ห่วงข้างบน สายยู
ไม้หัวลิง กลอน ลิ่ม ช่องดาล ช่องสำหรับชักเชือก เชือกสำหรับชัก เชิง
ฝาเรือนไฟชำรุด ภิกษุทั้งหลายกราบทูลเรื่องนั้นแค่พระผู้มีพระภาคเจ้า พระ-
ผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เราอนุญาตให้ก่อให้ต่ำ เรือนไฟ
ไม่มีปล่องควัน . . . ตรัสว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เราอนุญาตปล่องควัน.
[๘๕] สมัยต่อมา ภิกษุทั้งหลายทำที่ตั้งเตาไฟไว้กลางเรือนไฟขนาด
เล็กไม่มีอุปจาร . . . ตรัสว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เราอนุญาตให้ทำหน้าที่ตั้ง
เตาไฟไว้ส่วนข้างหนึ่ง เฉพาะเรือนไฟขนาดเล็ก เรือนไฟขนาดกว้าง ตั้งไว้
ตรงกลางได้ ไฟในเรือนไฟลวกหน้า . . .ตรัสว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เรา
อนุญาตดินสำหรับทาหน้า ภิกษุทั้งหลายละลายดินด้วยมือ.. .ตรัสว่า ดูก่อน
ภิกษุทั้งหลาย เราอนุญาตรางสำหรับละลายดิน ดินมีกลิ่นเหม็น. ..ตรัสว่า
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เราอนุญาตให้อบกลิ่น.
[๘๖] สมัยต่อมา ไฟในเรือนไฟลนกาย ...ตรัสว่า ดูก่อนภิกษุ
ทั้งหลาย เราอนุญาตให้ตักน้ำมาไว้มาก ๆ ภิกษุทั้งหลายใช้ถาดบ้าง บาตรบ้าง
ตักน้ำ ...ตรัสว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เราอนุญาตที่ขังน้ำ ขันตักน้ำ เรือนไฟ
ที่มุงด้วยหญ้าไหม้เกรียม . . . ตรัสว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เราอนุญาตให้รื้อลง
ฉาบดินทั้งข้างบนข้างล่าง เรือนไฟเป็นตม . . . ตรัสว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย

31
หมวด/เล่ม
พระวินัยปิฎก จุลวรรค เล่ม ๗ ภาค ๒ – หน้าที่ 32 (เล่ม 9)

เราอนุญาตให้ปูเครื่องลาด ๓ อย่าง คือเครื่องลาดอิฐ ๑ เครื่องลาดหิน ๑
เครื่องลาดไม้ ๑ เรือนไฟก็ยังเป็นตมอยู่นั่นเอง . .. ตรัสว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย
เราอนุญาตให้ชำระล้างน้ำขัง . . .ตรัสว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เราอนุญาตท่อ
ระบายน้ำ.
[๘๗] สมัยต่อมา ภิกษุทั้ง หลายนั่งบนพื้นดินในเรือนไฟ เนื้อตัว
คัน . .ตรัสว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เราอนุญาตตั่งในเรือนไฟ.
[๘๘] สมัยต่อมา เรือนไฟยังไม่มีเครื่องล้อม. . . ตรัสว่า ดูก่อนภิกษุ
ทั้งหลาย เราอนุญาตให้ล้อมรั้ว ๓ อย่าง คือ รั้วอิฐ ๑ รั้วหิน ๑ รั้วไม้ ๑
ซุ้มไม่มี. . . ตรัสว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เราอนุญาตซุ้ม ซุ้มต่ำไป น้ำท่วม
ได้. . .ตรัสว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เราอนุญาตให้ทำพื้นที่ให้สูง พื้นที่ก่อพัง
. . . ตรัสว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เราอนุญาตให้ก่อมูลดิน ๓ อย่าง คือ ก่อด้วย
อิฐ ๑ ก่อด้วยหิน ๑ ก่อด้วยไม้ ๑ ภิกษุทั้งหลายขึ้นลงลำบาก . .ตรัสว่า
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เราอนุญาตบันได ๓ อย่าง คือ บันไดอิฐ ๑ บันไดหิน ๑
บันไดไม้ ๑ ภิกษุทั้งหลายขึ้นลงพลัดตกลงมา ...ตรัสว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย
เราอนุญาตราวสำหรับยึด ซุ้มยังไม่มีประตู . . . ตรัสว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย
เราอนุญาตผ่านประตู กรอบเช็ดหน้า ครกรองรับเดือยบานประตู ห่วงข้างบน
สายยู ไม้หัวลิง กลอน ลิ่ม ช่องดาล ช่องเชือกชัก เชือกชัก.
[๘๙] สมัยต่อมา ผงหญ้าหล่นเกลื่อนซุ้ม. . .ตรัสว่า ดูก่อนภิกษุ
ทั้งหลาย เราอนุญาตให้รื้อลงฉาบดินทั้งข้างบนข้างล่าง ทำให้มีสีขาว สีดำ
สีเหลือง จำหลักเป็นพวงดอกไม้ เครือไม้ ฟันมังกร ดอกจอกห้ากลีบ
บริเวณเป็นตม ตรัสว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เราอนุญาตให้โรยกรวดแร่
กรวดแร่ยังไม่เต็ม . . . ตรัสว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เราอนุญาตให้วางศิลาเรียบ
น้ำขัง. . . ตรัสว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เราอนุญาตท่อระบายน้ำ.

32
หมวด/เล่ม
พระวินัยปิฎก จุลวรรค เล่ม ๗ ภาค ๒ – หน้าที่ 33 (เล่ม 9)

เรื่องการเปลือยกาย
[๙๐] สมัยนั้น ภิกษุเปลือยกายไหว้ภิกษุไม่เปลือยกาย ภิกษุเปลือย
กายให้ภิกษุเปลือยกายไหว้คน ภิกษุเปลือยกายให้ภิกษุไม่เปลือยกายไหว้ตน
ภิกษุเปลือยกายทำบริกรรมให้แก่ภิกษุเปลือยกาย ภิกษุเปลือยใช้ให้ทำบริกรรม
แก่ภิกษุเปลือยกาย ภิกษุเปลือยกายให้ของแก่ภิกษุเปลือยกาย ภิกษุเปลือยกาย
รับประเคน เปลือยกายเคี้ยว เปลือยกายฉัน เปลือยกายลิ้มรส เปลือยกายดื่ม
ภิกษุทั้งหลาย กราบทูลเรื่องนั้นแด่พระผู้มีพระภาคเจ้า.
พระผู้มีพระภาคเจ้า .. .ตรัสว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ภิกษุเปลือยกาย
ไม่พึงไหว้ภิกษุเปลือยกาย ภิกษุเปลือยกายไม่พึงไหว้ภิกษุเปลือยกาย ไม่พึงให้
ภิกษุเปลือยกายไหว้ตน ภิกษุเปลือยกายไม่พึงให้ภิกษุไม่เปลือยกายไหว้ตน
ไม่พึงเปลือยกายทำบริกรรมแก่ภิกษุเปลือยกาย ไม่พึงใช้ภิกษุเปลือยกายทำ
บริกรรม ไม่พึงเปลือยกายให้ของแก่ภิกษุเปลือยกาย ไม่พึงเปลือยกายรับประเคน
ไม่พึงเปลือยกายเคี้ยวของ ไม่พึงเปลือยกายฉันอาหาร ไม่พึงเปลือยกายลิ้มรส
ไม่พึงเปลือยกายดื่ม รูปใดดื่ม ต้องอาบัติทุกกฏ.
เรื่องศาลาเรือนไฟและบ่อน้ำ
[๙๑] สมัยนั้น ภิกษุทั้งหลายวางจีวรไว้บนพื้นดินในเรือนไฟ จีวร
เปื้อนฝุ่น ภิกษุทั้งหลายกราบทูลเรื่องนั้นแด่พระผู้มีพระภาคเจ้า พระผู้มี-
พระภาคเจ้าตรัสว่า. . . ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เราอนุญาตราวจีวร สายระเดียงจีวร
ในเรือนไฟ ครั้นฝนตกจีวรถูกฝนเปียก ตรัสว่า. . .ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เรา
อนุญาตศาลาใกล้เรือนไฟ ศาลาใกล้เรือนไฟมีพื้นต่ำ น้ำท่วม...ตรัสว่า
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เราอนุญาตให้ถมให้สูง ดินที่ถมพังลง...ตรัสว่า ดูก่อน
ภิกษุทั้งหลาย เราอนุญาตให้ก่อมูลดิน. . . ภิกษุทั้งหลายขึ้นลงลำบาก...ขึ้นลง
พลัดตก .ตรัสว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เราอนุญาตนราวสำหรับยึด.

33
หมวด/เล่ม
พระวินัยปิฎก จุลวรรค เล่ม ๗ ภาค ๒ – หน้าที่ 34 (เล่ม 9)

[๙๒ ] สมัยต่อมา ผงหญ้าบนศาลาเรือนไฟตกเกลื่อน . . .ตรัสว่า
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เราอนุญาตให้รื้อลงฉาบดินทั้งข้างบนข้างล่าง. ..ราวจีวร
สายระเดียงจีวร.
[๙๓] สมัยนั้น ภิกษุทั้งหลายรังเกียจที่จะถูหลังทั้งในเรือนไฟ ทั้งใน
น้ำ จึงกราบทูลเรื่องนั้นแด่พระผู้มีพระภาคเจ้า พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า ดูก่อน
ภิกษุทั้งหลาย เราอนุญาตเครื่องกำบัง ๓ ชนิด คือ เรือนไฟ ๑ น้ำ ๑ ผ้า ๑.
[๙๔] สมัยต่อมา น้ำในเรือนไฟไม่มี ภิกษุทั้งหลายกราบทูลเรื่องนั้น
แด่พระผู้มีพระภาคเจ้า พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เรา
อนุญาตบ่อน้ำ ขอบบ่อน้ำทรุดพัง.. .ตรัสว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เราอนุญาต
ให้ก่อมูลดิน ๓ อย่าง คือ ก่อด้วยอิฐ ๑ ก่อด้วยหิน ๑ ก่อด้วยไม้ ๑ บ่อน้ำ
ต่ำไป น้ำท่วมได้ ภิกษุทั้งหลายกราบทูลเรื่องนั้นแด่พระผู้มีพระภาคเจ้า
พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เราอนุญาตให้ถมให้สูง ดิน
ที่ถมพังทะลาย ภิกษุทั้งหลายขึ้นลงลำบาก . . .ขึ้นลงพลัดตก. . .ตรัสว่า ดูก่อน
ภิกษุทั้งหลาย เราอนุญาตราวสำหรับยึด.
[๙๕] สมัยนั้น ภิกษุทั้งหลายใช้เถาวัลย์บ้าง ประคดเอวบ้าง ผูก
ภาชนะตักน้ำ . . .ตรัสว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เราอนุญาตเชือกสำหรับบ่อน้ำ
มือเจ็บ ตรัสว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เราอนุญาตคันโพงคล้ายคันชั่ง ระหัด
ชัก ระหัดถีบ ภาชนะแตกเสียมาก . . .ตรัสว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เราอนุญาต
ถังน้ำ ๓ อย่าง คือ ถังน้ำโลหะ ๑ ถังน้ำไม้ ๑ ถังน้ำหนัง ๑.
[๙๖] สมัยต่อมา ภิกษุทั้งหลายตักน้ำในที่แจ้ง ลำบาก ด้วยหนาว
บ้าง ร้อนบ้าง จึงกราบทูลเรื่องนั้นแด่พระผู้มีพระภาคเจ้า พระผู้มีพระภาคเจ้า
ตรัสว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เราอนุญาตศาลาสำหรับบ่อน้ำ ผงหญ้าที่ศาลา

34
หมวด/เล่ม
พระวินัยปิฎก จุลวรรค เล่ม ๗ ภาค ๒ – หน้าที่ 35 (เล่ม 9)

บ่อน้ำหล่นเกลื่อน. . . ตรัสว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เราอนุญาตให้รื้อลงฉาบ
ด้วยดินทั้งข้างบนข้างล่าง ทำให้มีสีขาว สี่ดำ สีเหลือง จำหลักเป็นพวงดอกไม้
เครือไม้ ฟันมังกร ดอกจอกห้ากลีบ ราวจีวร สายระเดียงจีวร.
[๙๗] สมัยนั้น บ่อน้ำยังไม่มีฝาปิด ผงหญ้าบ้าง ฝุ่นบ้าง ตกลง
ตรัสว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เราอนุญาตฝาปิด.
[๙๘] สมัยต่อมา ภาชนะสำหรับขังน้ำยังไม่มี. .ตรัสว่า ดูก่อนภิกษุ
ทั้งหลาย เราอนุญาตรางน้ำ อ่างน้ำ.
[๙๙] สมัยนั้น ภิกษุทั้งหลายสรงน้าในที่นั้น ๆ ในอาราม อาราม
เป็นตม ภิกษุทั้งหลายกราบทูลเรื่องนั้นแด่พระผู้มีพระภาคเจ้า พระผู้มีพระ-
ภาคเจ้าตรัสว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เราอนุญาตลำรางระบายน้ำ ลำราง
โล่งโถง ภิกษุทั้งหลายอายที่จะสรงน้ำ. . .ตรัสว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เรา
อนุญาตให้กั้นกำแพง ๓ ชนิด คือกำแพงอิฐ ๑ กำแพงหิน ๑ กำแพงไม้ ๑
ลำรางระบายน้ำเป็นตม. . .ตรัสว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เราอนุญาตเครื่องลาด
๓ ชนิด คืออิฐ ๑ หิน ๑ ไม้ ๑ น้ำขัง...ตรัสว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย
เราอนุญาตท่อระบายน้ำ
[ ๑๐๐] สมัยนั้น ภิกษุทั้งหลายมีเนื้อตัวตกหนาว จึงกราบทูลเรื่องนั้น
แด่พระผู้มีพระภาคเจ้า พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เรา
อนุญาตให้เอาผ้าชุบน้ำเช็ดตัว.
เรื่องสรงน้ำ
[๑๐๑] สมัยนั้น อุบาสกผู้หนึ่งใคร่จะสร้างสระน้ำถวายสงฆ์ ภิกษุ
ทั้งหลายกราบทูลเรื่องนั้น แด่พระผู้มีพระภาคเจ้า พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เราอนุญาตสระน้ำ ขอบสระน้ำชำรุด.. .ตรัสว่า ดูก่อน

35
หมวด/เล่ม
พระวินัยปิฎก จุลวรรค เล่ม ๗ ภาค ๒ – หน้าที่ 36 (เล่ม 9)

ภิกษุทั้งหลาย เราอนุญาตให้ก่อขอบสระ ๓ อย่าง คือ ก่อด้วยอิฐ ๑ ก่อด้วย
หิน ๑ ก่อด้วยไม้ ๑ ภิกษุทั้งหลายขึ้นลงลำบาก พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เราอนุญาตบันได ๓ อย่าง คือ บันไดอิฐ ๑ บันไดหิน ๑
บันไดไม้ ๑ ขึ้นลงพลัดตก. ..ตรัสว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เราอนุญาตราว
สำหรับยึด น้ำในสระเป็นน้ำเก่า... ตรัสว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เราอนุญาต
รางน้ำ ท่อระบายน้ำ.
[๑๐๒] สมัยต่อมา อุบาสกผู้หนึ่งประสงค์จะสร้างเรือนไฟ มีปั้นลม
ถวายภิกษุสงฆ์ ภิกษุทั้งหลายกราบทูลเรื่องนั้นแด่พระผู้มีพระภาคเจ้า พระผู้มี
พระภาคเจ้าตรัสว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เราอนุญาตเรือนไฟมีปั้นลม
[๑๐๓] สมัยนั้น พระฉัพพัคคีย์อยู่ปราศจากผ้านิสีทนะถึง ๔ เดือน
ภิกษุทั้งหลายกราบทูลเรื่องนั้นแด่พระผู้มีพระภาคเจ้า พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัส
ว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ภิกษุไม่พึงอยู่ปราศจากผ้านิสีทนะถึง ๔ เดือน รูปใด
อยู่ปราศ ต้องอาบัติทุกกฏ.
ทรงห้ามนอนบนที่นอนดอกไม้
[๑๐๔] สมัยต่อมา พระฉัพพัคคีย์นอนบนที่นอนอันเกลื่อนด้วยดอกไม้
ชาวบ้านเดินเที่ยวชมวิหารพบเห็นเข้า จึงเพ่งโทษ ติเตียน โพนทะนาว่า ...
เหมือนพวกคฤหัสถ์ผู้บริโภคกาม ภิกษุทั้งหลายกราบทูลเรื่องนั้นแด่พระผู้มี
พระภาคเจ้า พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ภิกษุไม่พึงนอน
ที่นอนอันเกลื่อนด้วยดอกไม้ รูปใดนอน ต้องอาบัติทุกกฏ.
พุทธานุญาตรับของหอม
[๑๐๕] สมัยนั้น ชาวบ้านถือของหอมบ้าง ดอกไม้บ้างไปวัด ภิกษุ
ทั้งหลายรังเกียจไม่รับประเคน จึงกราบทูลเรื่องนั้นแด่พระผู้มีพระภาคเจ้า

36
หมวด/เล่ม
พระวินัยปิฎก จุลวรรค เล่ม ๗ ภาค ๒ – หน้าที่ 37 (เล่ม 9)

พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เราอนุญาตให้รับของหอมแล้ว
เจิมไว้ที่บานประตูหน้าต่าง ให้รับดอกไม้แล้ววางไว้ในส่วนข้างหนึ่งในวิหาร
[๑๐๖] สมัยนั้น สันถัดขนเจียมหล่อบังเกิดแก่สงฆ์ ภิกษุทั้งหลาย
กราบทูลเรื่องนั้นแด่พระผู้มีพระภาคเจ้า พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า ดูก่อน
ภิกษุทั้งหลาย เราอนุญาตสันถัดขนเจียมหล่อ ครั้งนั้น ภิกษุทั้งหลายคิดกันว่า
สันถัดขนเจียมหล่อจะต้องอธิษฐานหรือวิกัป . . .ตรัสว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย
สันถัดขนเจียมที่หล่อไม่ต้องอธิษฐาน ไม่ต้องวิกัป.
[๑๐๗] สมัยนั้น พระฉัพพัคคีย์ฉันจังหันบนเตียบ ชาวบ้านเพ่งโทษ
ติเตียน โพนทะนาว่า . .. เหมือนพวกคฤหัสถ์ผู้บริโภคกาม ภิกษุทั้งหลาย
กราบทูลเรื่องนั้นแด่พระผู้มีพระภาคเจ้า พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า ดูก่อน
ภิกษุทั้งหลาย ภิกษุไม่พึงฉันอาหารบนเตียบ รูปใดฉัน ต้องอาบัติทุกกฎ.
[๑๐๘] สมัยนั้น ภิกษุรูปหนึ่งอาพาธ เวลาฉันจังหัน เธอไม่สามารถ
จะทรงบาตรไว้ด้วยมือได้ ภิกษุทั้งหลายกราบทูลเรื่องนั้นแด่พระผู้มีพระภาคเจ้า
พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงอนุญาตว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เราอนุญาตโต
ทรงห้ามฉันในภาชนะเดียวกันเป็นต้น
[๑๐๙] สมัยนั้น พระฉัพพัคคีย์ฉันจังหันในภาชนะเดียวกันบ้าง
ดื่มน้ำในขันเดียวกันบ้าง นอนบนเตียงเดียวกันบ้าง นอนบนเครื่องลาดเดียว
กันบ้าง นอนในผ้าห่มผืนเดียวกันบ้าง นอนบนเครื่องลาดและผ้าห่มร่วมผืน
เดียวกันบ้าง ชาวบ้านต่างก็เพ่งโทษ ติเตียน โพนทะนาว่า . ..เหมือนพวก
คฤหัสถ์ผู้บริโภคกาม. . .ภิกษุทั้งหลายกราบทูลเรื่องนั้นแด่พระผู้มีพระภาคเจ้า
. . .ตรัสว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ภิกษุไม่พึงฉันร่วมภาชนะเดียวกัน ไม่พึงดื่ม
ร่วมขันใบเดียวกัน ไม่พึงนอนร่วมเตียงเดียวกัน ไม่พึงนอนร่วมเครื่องลาด

37
หมวด/เล่ม
พระวินัยปิฎก จุลวรรค เล่ม ๗ ภาค ๒ – หน้าที่ 38 (เล่ม 9)

เดียวกัน ไม่พึงนอนร่วมผ้าห่มผืนเดียวกัน ไม่พึงนอนร่วมเครื่องลาดและ
ผ้าห่มผืนเดียวกัน รูปใดนอน ต้องอาบัติทุกกฎ.
เรื่องเจ้าวัฑฒลิจฉวี
[๑๑๐] สมัยนั้น เจ้าวัฑฒลิจฉวีเป็นสหายของพระเมตติยะ และ
พระภุมมชก จึงเจ้าวัฑฒลิจฉวี เข้าไปหาพระเมตติยะและพระภุมมชกะ แล้ว
กล่าวว่า ผมไหว้ขอรับ เมื่อเธอกล่าวอย่างนั้น ภิกษุทั้งสองรูปก็มิได้ทักทาย
ปราศรัย แม้ครั้งที่สอง เจ้าวัฑฒลิจฉวีได้กล่าวว่า ผมไหว้ขอรับ แม้ครั้ง
ที่สอง ภิกษุทั้งสองรูปก็มิได้ทักทายปราศรัย แม้ครั้งที่สาม เจ้าวัฑฒลิจฉวีได้
กล่าวว่า ผมไหว้ขอรับ แม้ครั้งที่สาม ภิกษุทั้งสองรูปก็มิได้ทักทายปราศรัย.
ว. ผมผิดอะไรต่อพระคุณเจ้าอย่างไร ทำไม พระคุณเจ้าจึงไม่ทักทาย
ปราศรัยกับผม.
ภิกษุทั้งสองตอบว่า ก็จริงอย่างนั้นแหละ ท่านวัฑฒะ พวกอาตมา
ถูกท่านพระทัพพมัลลบุตรเบียดเบียนอยู่ ท่านยังเพิกเฉยได้.
ว. ผมจะช่วยเหลืออย่างไร ขอรับ.
ภิ. ท่านวัฑฒะ ถ้าท่านเต็มใจช่วย วันนี้พระผู้มีพระภาคเจ้า ต้อง
ให้พระทัพพมัลลบุตรสึก.
ว. ผมจะทำอย่างไร ผมสามารถจะช่วยได้ด้วยวิธีไหน.
ภิ. มาเถิด ท่านวัฑฒะ ท่านจงเข้าเฝ้าพระผู้มีพระภาคเจ้า แล้ว
กราบทูลอย่างนี้ว่า กรรมนี้ไม่แนบเนียน ไม่สมควร ทิศที่ไม่มีภัย ไม่มีจัญไร
ไม่มีอันตราย บัดนี้กลับมามีภัย มีจัญไร มีอันตราย ณ สถานที่ไม่มีลม บัดนี้
กลับมีลมแรงขึ้น ประชาบดีของหม่อมฉัน ถูกพระทัพพมัลบุตรประทุษร้าย
คล้ายน้ำถูกไฟเผา พระพุทธเจ้าข้า.

38