สร้างเรือน (คืออัตภาพของเรา ไม่ได้อีก
ต่อไป ซี่โครงทั้งหมดของเจ้าเราหักเสียแล้ว
ยอดเรือน (คืออวิชชา) เรารื้อเสียแล้ว จิต
ของเราได้ถึงพระนิพพานมีสังขารไปปราศ
แล้ว เราได้บรรลุความสิ้นไปแห่งตัณหา
ทั้งหลาย๑ แล้ว ดังนี้
นี้ชื่อว่าปฐมพุทธพจน์. อาจารย์บางพวกกล่าวถึงอุทานคาถาในขันธกะ
ว่า เมื่อใดแลธรรมทั้งหลายย่อมปรากฏ ๒ ดังนี้เป็นต้น ชื่อว่าปฐมพุทธพจน์.
ก็คาถานั้นเกิดแก่พระผู้มีพระภาคเจ้าผู้บรรลุความเป็นพระสัพพัญญู ทรง
พิจารณาปัจจยาการ ในพระญาณอันสําเร็จด้วยโสมนัส ในวันปาฏิบท บัณฑิต
พึงทราบว่า อุทานคาถา. อนึ่ง พระพุทธเจ้าได้ตรัสพระดํารัสใด ในคราว
ปรินิพพานว่า ภิกษุทั้งหลายเอาเถิด บัดนี้เราขอเตือนเธอทั้งหลาย สังขาร
ทั้งหลายมีความเสื่อมเป็นธรรมดา เธอทั้งหลายจงยังกิจทั้งปวงให้ถึงพร้อมด้วย
ความไม่ประมาทเถิด ๓ นี้ชื่อว่าปัจฉิมพุทธพจน์.
พระพุทธพจน์ ที่พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสไว้ในระหว่างแห่งกาลทั้ง ๒
นั้น ชื่อว่ามัชฌิมพุทธพจน์. พระพุทธพจน์ชื่อว่ามี ๓ อย่าง ด้วยอํานาจเป็น
ปฐมะ มัชฌิมะ และปัจฉิมะ ด้วยประการฉะนี้.
[ปิฎก ๓]
พระพุทธพจน์ทั้งปวงเป็น ๓ อย่าง ด้วยอํานาจแห่งปิฎกอย่างไร ?
ก็พระพุทธพจน์แม้ทั้งปวงมีอยู่ ๓ ประการเท่านั้น คือพระวินัยปิฎก พระ-
สุตตันตปิฎก พระอภิธรรมปิฎก. ใน ๓ ปิฎกนั้น พระพุทธพจน์นี้คือ
๑. ขุ. ธ. ๒๕/๓๕. ๒. วิ. มหา ๔/๔. ๓. ที. วิ. มหา.๑๐/๑๘๐