No Favorites




หมวด/เล่ม
พระวินัยปิฎก มหาวรรค เล่ม ๕ ภาค ๒ – หน้าที่ 158 (เล่ม 7)

พระพุทธนุญาติผักและแป้ง
ภายหลังพระผู้มีพระภาคเจ้าทรงทำธรรมีกถาแล้ว ในเพราะเหตุเป็น
เค้ามูลนั้น ในเพราะเหตุแรกเกิดนั้น แล้วตรัสอนุญาตแก่ภิกษุทั้งหลายว่า
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เราอนุญาตผักสดทุกชนิด และของขบที่ทำด้วยแป้ง
ทุกชนิด.
เรื่องวุฑฒบรรพชิต
[๘๙] ครั้งนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้า ประทับอยู่ในพระนครกุสินารา
ตามพระพุทธาภิรมย์ แล้วเสด็จพระพุทธดำเนินสู่อาตุมานครพร้อมด้วยภิกษุ
สงฆ์หมู่ใหญ่ ประมาณ ๑,๒๕๐ รูป สมัยนั้นมีภิกษุบวชภายแก่รูปหนึ่ง เคย
เป็นช่างกัลบก อาศัยอยู่ในอาตุมานคร เธอมีบุตรชายสองคน เป็นเด็กพูดจา
อ่อนหวาน มีไหวพริบดี ขยัน แข็งแรง มีฝีมือยอดเยี่ยมในการช่างกัลบก
ของตนดีเท่าอาจารย์ เธอได้ทราบข่าวว่า พระผู้มีพระภาคเจ้ากำลังเสด็จมาสู่
อาตุมานคร พร้อมด้วยภิกษุสงฆ์หมู่ใหญ่ประมาณ ๑,๒๕๐ รูป ครั้นแล้วได้แจ้ง
ความประสงค์อันนั้นแก่บุตรทั้งสองนั้นว่า พ่อทั้งหลาย ข่าวว่า พระผู้มีพระ-
ภาคเจ้ากำลังเสด็จสู่อาตุมานคร พร้อมด้วยภิกษุสงฆ์หมู่ใหญ่ประมาณ ๑,๒๕๐
ไปเถิด พ่อทั้งสอง จงถือเครื่องมือตัดผมและโกนผมกับทะนานและถุง เที่ยว
ไปตัดและโกนผม ตามบ้านเรือนทุกแห่ง แลกเกลือบ้าง น้ำมันบ้าง ข้าวสาร
บ้าง ของขบฉันบ้าง พ่อจักทำยาคูที่ดื่มได้ถวายพระผู้มีพระภาคเจ้าผู้เสด็จมา
ถึงแล้ว.
บุตรชายทั้งสองรับคำสั่งของหลวงพ่อว่า จะปฏิบัติเช่นนั้น แล้วถือ
เครื่องมือตัดผมโกนผมกับทะนานและถุง เที่ยวไปตัดและโกนผมตามบ้านเรือน

158
หมวด/เล่ม
พระวินัยปิฎก มหาวรรค เล่ม ๕ ภาค ๒ – หน้าที่ 159 (เล่ม 7)

ทุกแห่ง แลกเกลือบ้าง น้ำมันบ้าง ข้าวสารบ้าง ของขบฉันบ้าง ชาวบ้าน
เห็นเด็กสองคนนั้น พูดจาอ่อนหวาน มีไหวพริบดี แม้ผู้ที่ไม่ประสงค์จะให้
ตัดและโกนผม ก็ให้ตัดให้โกนผม ถึงให้ตัดให้โกนผมแล้ว ก็ให้ค่าแรงมาก
เป็นอันว่าเด็กทั้งสองคนนั้น เก็บรวบรวมเกลือบ้าง น้ำมันบ้าง ข้าวสารบ้าง
ของขบฉันบ้าง ได้เป็นอันมาก.
ครั้นพระผู้มีพระภาคเจ้าเสด็จจาริกโดยลำดับ เสด็จถึงอาตุมานครแล้ว
ทราบว่า พระองค์ประทับอยู่ที่ภูสาคารเขตอาตุมานครนั้น พระขรัวคานั้น
จึงสั่งให้คนตกแต่งข้าวยาคูเป็นอันมากโดยผ่านราตรีนั้นแล้ว น้อมถวายพระผู้มี-
พระภาคเจ้า กราบทูลว่า พระพุทธเจ้าข้า ขอพระผู้มีพระภาคเจ้าจงโปรดรับ
ข้าวยาคูของข้าพระพุทธเจ้า.
พุทธประเพณี
พระตถาคตทั้งหลายทรงทราบอยู่ ย่อมตรัสถามก็มี ทรงทราบอยู่ย่อม
ไม่ตรัสถามก็มี ทรงทราบกาลแล้วตรัสถาม ทรงทราบกาลแล้วไม่ตรัสถาม
พระตถาคตทั้งหลายย่อมตรัสถามสิ่งที่ประกอบด้วยประโยชน์ ไม่ตรัสถามสิ่งที่
ไม่ประกอบด้วยประโยชน์ในสิ่งที่ไม่ประกอบด้วยประโยชน์ พระองค์ทรงกำจัด
ด้วยข้อปฏิบัติ พระผู้มีพระภาคเจ้าทั้งหลาย ทรงสอบถามภิกษุทั้งหลายด้วย
อาการ ๒ อย่าง คือ จักทรงแสดงธรรมอย่าง ๑ จักทรงบัญญัติสิกขาบทแก่
พระสาวกทั้งหลายอย่าง ๑.
ครั้นนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าได้ตรัสถามพระขรัวตานั้นว่า ดูก่อน
ภิกษุ ข้าวยาคูนี้เธอได้มาจากไหน พระขรัวตาจึงกราบทูลเรื่องนั้นให้ทรงทราบ
ทุกประการ.

159
หมวด/เล่ม
พระวินัยปิฎก มหาวรรค เล่ม ๕ ภาค ๒ – หน้าที่ 160 (เล่ม 7)

ห้ามภิกษุผู้เคยเป็นช่างกัลบกเก็บรักษามีดโกน
พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงติเตียนว่า ดูก่อนโมฆบุรุษ การกระทำของ
เธอนั้นไม่เหมะ ไม่สม ไม่ควร ไม่ใช่กิจของสมณะ ใช้ไม่ได้ ไม่ควรทำ
ไฉนเธอบวชแล้วจึงได้ชักจูงทายกในส่งอันไม่ควรเล่า การกระทำของเธอนั้น
ไม่เป็นไปเพื่อความเลื่อมใสของชุมชนที่ยังไม่เลื่อมใส . . . ครั้นแล้ว ทรงทำ
ธรรมีกถา รับสั่งกะภิกษุทั้งหลายว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย บรรพชิตไม่พึง
ชักจูงทายกในสิ่งอันไม่ควร รูปใดชักจูง ต้องอาบัติทุกกฏ.
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย อนึ่ง ภิกษุผู้เคยเป็นช่างกัลบก ไม่พึงเก็บรักษา
เครื่องตัดโกนผมไว้สำหรับตัว รูปใดเก็บรักษาไว้ ต้องอาบัติทุกกฏ.
พระพุทธานุญาตผลไม้
[ ๙๐] ครั้นพระผู้มีพระภาคเจ้าประทับอยู่ ณ อาตุมานครตามพระ-
พุทธาภิรมย์ แล้วเสด็จพุทธดำเนินไปทางพระนครสาวัตถี เสด็จจาริกโดย
ลำดับ ถึงพระนครสาวัตถีแล้ว ทราบว่าพระองค์ประทับอยู่ที่พระเชตวัน อาราม
ของอนาถบิณฑิกคหบดี เขตพระนครสาวัตถีนั้น เวลานั้น ของขบฉันคือ
ผลไม้ในนครสาวัตถีมีดาษดื่นมาก ภิกษุทั้งหลายจึงได้มีความสงสัยว่า ของขบ
ฉันคือผลไม้ พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงอนุญาตไว้แล้วหรือมีได้ทรงอนุญาต แล้ว
ได้กราบทูลเรื่องนั้นแด่พระผู้มีพระภาคเจ้า.
พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เราอนุญาตผลไม้
ทุกชนิด.

160
หมวด/เล่ม
พระวินัยปิฎก มหาวรรค เล่ม ๕ ภาค ๒ – หน้าที่ 161 (เล่ม 7)

พืชของสงฆ์และของบุคคล
[ ๙๑] ก็โดยสมัยนั้นแล พืชของสงฆ์เขาเพาะปลูกในที่ของบุคคล
พืชของบุคคลเขาเพาะปลูกในที่ของสงฆ์ ภิกษุทั้งหลายจึงกราบทูลเรื่องนั้นแด่
พระผู้มีพระภาคเจ้า.
พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสกะภิกษุทั้งหลายว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย พืช
ของสงฆ์ที่เพาะปลูกในที่ของบุคคล พึงให้ส่วนแบ่ง แล้วบริโภค พืชของ
บุคคลที่เพาะปลูกในที่ของสงฆ์ พึงให้ส่วนแบ่ง แล้วบริโภค.
พระพุทธานุญาตมหาประเทศ ๔
[๙๒] ก็โดยสมัยนั้นแล ภิกษุทั้งหลายเกิดความรังเกียจในพระบัญญัติ
บางสิ่งบางอย่างว่า สิ่งใดหนอ พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงอนุญาตไว้ สิ่งใดไม่
ได้ทรงอนุญาต จึงกราบทูลเรื่องนั้นแด่พระมีพระภาคเจ้า.
วัตถุเป็นกัปปิยะและอกัปปิยะ
พระผู้มีพระภาคเจ้าได้ตรัสประทานสำหรับอ้าง ๘ ข้อ ดังต่อไปนี้.
๑. ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย สิ่งใดที่เราไม่ได้ห้ามไว้ว่า สิ่งนี้ไม่ควร หาก
สิ่งนั้นเข้ากับสิ่งที่ไม่ควร ขัดกับสิ่งที่ควร สิ่งนั้น ไม่ควรแก่เธอทั้งหลาย.
๒. ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย สิ่งใดที่เราไม่ได้ห้ามไว้ว่า สิ่งนี้ไม่ควร
หากสิ่งนั้นเข้ากับสิ่งที่ควร ขัดกับสิ่งที่ไม่ควร สิ่งนั้นควรแก่เธอทั้งหลาย.
๓. ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย สิ่งใดที่เราไม่ได้อนุญาตไว้ว่า สิ่งนี้ควร
หากสิ่งนั้นเข้ากับสิ่งที่ไม่ควร ขัดกับสิ่งที่ควร สิ่งนั้นไม่ควรแก่เธอทั้งหลาย.
๔. ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย สิ่งใดที่เราไม่ได้อนุญาตไว้ว่า สิ่งนี้ควร
หากสิ่งนั้นเข้ากับสิ่งที่ควร ขัดกับสิ่งที่ไม่ควร สิ่งนั้นควรแก่เธอทั้งหลาย.

161
หมวด/เล่ม
พระวินัยปิฎก มหาวรรค เล่ม ๕ ภาค ๒ – หน้าที่ 162 (เล่ม 7)

พระพุทธานุญาตกาลิกระคน
[๙๓] ครั้งนั้น ภิกษุทั้งหลายได้มีความปริวิตกว่า ยามกาลิกระคน
กับยาวกาลิก ควรหรือไม่ควรหนอ สัตตาหกาลิกระคนกับยาวกาลิก ควรหรือ
ไม่ควรหนอ ยาวชีวิกระคนกับยาวกาลิก ควรหรือไม่ควรหนอ สัตตาหกาลิก-
ระคนกับยามกาลิก ควรหรือไม่ควรหนอ ยาวชีวิกระคนกับยามกาลิก ควร
หรือไม่ควรหนอ ยาวชีวิกระคนกับสัตตาหกาลิก ควรหรือไม่ควรหนอ แล้ว
กราบทูลเรื่องนั้นแด่พระผู้มีพระภาคเจ้า.
พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า ดังนี้.
๑. ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ยามกาลิกระคนกับยาวกาลิกที่รับประเคนใน
วันนั้น ควรในกาล ไม่ควรในวิกาล.
๒. สัตตาหกาลิกระคนกับยาวกาลิกที่รับประเคนในวันนั้น ควรใน
กาล ไม่ควรในวิกาล.
๓. ยาวชีวิกระคนกับยาวกาลิกที่รับประเคนในวันนั้น ควรในกาล
ไม่ควรในวิกาล.
๔. สัตตาหกาลิกระคนกับยามกาลิกที่รับประเคนในวันนั้น ควรชั่ว
ยาม ล่วงยามแล้วไม่ควร.
๕. ยาวชีวิกระคนกับยามกาลิกที่รับประเคนในวันนั้น ควรชั่วยาม
ล่วงยามแล้วไม่ควร.
๖. ยาวชีวิกระคนกับสัตตาหกาลิกที่รับประเคนในวันนั้น ควรตลอด
๗ วัน ล่วง ๗ วันแล้วไม่ควร.
เภสัชชขันธกะที่ ๖ จบ
ในขันธกะนี้มี ๑๐๖ เรื่อง

162
หมวด/เล่ม
พระวินัยปิฎก มหาวรรค เล่ม ๕ ภาค ๒ – หน้าที่ 163 (เล่ม 7)

หัวข้อประจำขันธกะ
[๙๓] ๑. เรื่องอาพาธที่เกิดชุมในฤดูสารท ๒. เรื่องฉันเภสัชนอก
กาล ๓. เรื่องน้ำมันเปลวสัตว์เป็นยา ๔. เรื่องรากไม้ที่เป็นตัวยา ๕. เรื่อง
รากไม้ทำยาผง ๖. เรื่องน้ำฝาด ๗. เรื่องใบไม้ ๘. เรื่องผลไม้ ๙. เรื่อง
ยางไม้ ๑๐. เรื่องเกลือ ๑๑. เรื่องมูลโค ๑๒. เรื่องยาผงและวัตถุเครื่อง
ร่อนยา ๑๓. เรื่องเนื้อดิบเลือดสด ๑๔. เรื่องยาตา ๑๕. เรื่องเครื่องยา
ผสมกับยาตา ๑๖. เรื่องกลักยาตาชนิดต่าง ๆ และกลักยาตาไม่มีฝาปิด ๑๗.
เรื่องไม้ป้ายยาตา ๑๘. เรื่องภาชนะเก็บไม้ป้ายยาตา ถุงกลักยาตา และเชือก
ผูกเป็นสายสะพาย ๑๙. เรื่องน้ำมันหุงทาศีรษะ ๒๐. เรื่องการนัตถุ์
๒๑. เรื่องกล้องนัตถุ์ยา ๒๒. เรื่องสูดควัน กล้องสูดควัน ฝาปิดกล้องสูด
ควัน ๒๓. เรื่องถุงเก็บกล้องสูดควัน ๒๔. เรื่องน้ำมันหุง ๒๕. เรื่องน้ำ
เมาที่ผสมในน้ำมันที่หุง ๒๖. เรื่องน้ำมันเจือน้ำเมามาก ๒๗. เรื่องน้ำมัน
เจือน้ำเมามากใช้เป็นยาทา ๒๘. เรื่องลักจั่น ๒๙. เรื่องเข้ากระโจม
๓๐. เรื่องรมด้วยใบไม้ต่าง ๆ ๓๑. เรื่องการรมใหญ่และเอาใบไม้มาต้มรม
๓๒. เรื่องอ่างน้ำ ๓๓. เรื่องระบายเลือดออก ๓๔. เรื่องกอกโลหิตด้วยเขา
๓๕. เรื่องยาทาเท้า ๓๖. เรื่องปรุงน้ำมันทาเท้า ๓๗. เรื่องผ่าฝี ๓๘. เรื่อง
ชะแผลด้วยน้ำฝาด ๓๙. เรื่องงาที่บดแล้ว ๔๐. เรื่องยาพอกแผล ๔๑. เรื่อง
ผ้าพันแผล ๔๒. เรื่องชะแผลด้วยน้ำแป้งพันธุ์ผักกาด ๔๓. เรื่องรมแผล
ด้วยควัน ๔๔. เรื่องตัดเนื้องอกด้วยก้อนเกลือ ๔๕. เรื่องน้ำมันทาแผล
๔๖. เรื่องผ้าปิดกันน้ำมันเยิ้ม ๔๗. เรื่องยามหาวิกัฏ ๔๘. เรื่องรับประเคน
๔๙. เรื่องดื่มน้ำเจือคูถและหยิบคูถเมื่อกำลังถ่าย ๕๐. เรื่องดื่มน้ำที่ละลายจาก
ดินติดผาลไถ ๕๑. เรื่องดื่มน้ำด่างอามิส ๕๒. เรื่องดื่มน้ำสมอดองมูตร

163
หมวด/เล่ม
พระวินัยปิฎก มหาวรรค เล่ม ๕ ภาค ๒ – หน้าที่ 164 (เล่ม 7)

๕๓. เรื่องทาของหอม ๕๔. เรื่องดื่มยาถ่าย ๕๕. เรื่องน้ำข้าวใส ๕๖. เรื่อง
น้ำถั่วเขียวต้มที่ไม่ข้น ๕๗. เรื่องน้ำถั่วเขียวที่ข้นนิดหน่อย ๕๘. เรื่องน้ำต้ม
เนื้อ ๕๙. เรื่องชำระเงื้อมเขา และพระราชทานคนทำการวัด ๖๐. เรื่อง
ฉันเภสัชที่เก็บไว้ ๗ วัน ๖๑. เรื่องน้าอ้อย ๖๒. เรื่องถั่วเขียว ๖๓. เรื่อง
ยาดองโลณโสจิรกะ ๖๔. เรื่องอามิสที่หุงต้มเอง ๖๕. เรื่องภัตตาหารที่ต้อง
อุ่น ๖๖. เรื่องให้เก็บที่หุงต้มอามิสในภายในและหุงต้มเอง เมื่อคราวอัตคัด
อาหารต่อไปอีก ๖๗. เรื่องรับประเคนผลไม้ที่เป็นอุคคหิตได้ ๖๘. เรื่อง
ถวายงา ๖๙. เรื่องของขบฉันที่รับประเคนไว้ตอนเช้า ๗๐. เรื่องเป็นไข้
ตัวร้อน ๗๑. เรื่องฉัน ผลไม้ที่ปล้อนเมล็ดออก ๗๒. เรื่องริดสีดวงทวาร
๗๓. เรื่องสัคถกรรมและวัตถิกรรม ๗๔. เรื่องอุบาสิกาสุปปิยา ๗๕. เรื่อง
ทรงห้ามฉันเนื้อมนุษย์ ๗๖. เรื่องทรงห้ามฉันเนื้อช้าง ๗๗. เรื่องทรงห้าม
ฉันเนื้อม้า ๗๘. เรื่องทรงห้ามฉันเนื้อสุนัข ๗๙. เรื่องทรงห้ามฉันเนื้องู
๘๐. เรื่องทรงห้ามฉันเนื้อราชสีห์ ๘๑. เรื่องทรงห้ามฉันเนื้อเสือโคร่ง
๘๒. เรื่องทรงห้ามฉันเนื้อเสือเหลือง ๘๓. เรื่องทรงห้ามฉันเนื้อหมี ๘๔. เรื่อง
ทรงห้ามฉันเนื้อเสือดาว ๘๕. เรื่องคอยโอกาสถวายภัตร และข้าวยาคู
๘๖. เรื่องมหาอำมาตย์เริ่มเลื่อมใส เป็นต้น เหตุให้ทรงห้ามภิกษุรับนิมนต์ไว้
แห่งหนึ่งแล้วไปฉันในที่อื่น ๘๗. เรื่องถวายงา น้ำอ้อย ๘๘. เรื่องทรงรับ
อาคารพักแรม ๘๙. เรื่องมหาอำมาตย์สุนีธะและวัสสการะ ๙๐. เรื่องแม่น้ำ
คงคา ๙๑. เรื่องเสด็จตำบลบ้านโกฏิ ทรงแสดงอริยสัจจกถา ๙๒. เรื่อง
นางอัมพปาลีคณิกา ๙๓. เรื่องเจ้าลิจฉวี ๙๔. เรื่องอุทิสมังสะ ๙๕. เรื่อง
พระนครเวสาลีหาอาหารได้ง่าย ๙๖. เรื่องทรงห้ามอามิสที่เป็นอันโตวุตถะ
เป็นต้นใหม่ ๙๗. เรื่องฝนทั้งเค้า ๙๘. เรื่องพระยโสชะอาพาธ ๙๙. เรื่อง

164
หมวด/เล่ม
พระวินัยปิฎก มหาวรรค เล่ม ๕ ภาค ๒ – หน้าที่ 165 (เล่ม 7)

เมณฑกะคหบดี ถวายปัญจโครสกับเสบียงเดินทาง ๑๐๐. เรื่องเกณิยชฏิลถวาย
น้ำอัฏฐบาน คือ น้ำผลมะม่วง น้ำผลหว้า น้ำกล้วยมีเมล็ด น้ำกล้วยไม่มี
เมล็ด น้ำผลมะชาง น้ำผลจันทน์ น้ำเง่าบัว น้ำผลมะปราง ๑๐๑. เรื่อง
โรชะมัลลกษัตริย์ถวายผักสดและของขบฉันที่สำเร็จด้วยแป้ง ๑๐๒. เรื่องภิกษุ
ช่างกัลบกในเมืองอาตุมา ๑๐๓ เรื่องผลไม้ดาษดื่นในพระนครสาวัตถี
๑๐๔. เรื่องพืช ๑๐๕. เรื่องเกิดสงสัยในพระบัญญัติบางสิ่งบางอย่าง ๑๐๖. เรื่อง
กาลิกระคน.
หัวข้อประจำขันธกะ จบ
อรรถกถาเภสัชชขันธกะ
ว่าด้วยเภสัช
วินิจฉัยในเภสัชชขันธกะ พึงทราบดังนี้:-
สองบทว่า สารทิเกน อาพาเธน ได้แก่ อาพาธมีดีเป็นสมุฏฐาน
เกิดขึ้นในสารทกาล๑ จริงอยู่ ในกาลนั้น ภิกษุทั้งหลายย่อมเปียกด้วยน้ำฝนบ้าง
ย่อมเหยียบย่ำโคลนบ้าง แดดย่อมกล้าในระหว่าง ๆ บ้าง เพราะเหตุนั้น ดีของ
ภิกษุเหล่านั้นย่อมเป็นของซึมเข้าไปในลำใส้.
สองบทว่า อาหารตฺถญฺจ ผเรยฺย มีความว่า วัตถุพึงยังประโยชน์
ด้วยอาหารให้สำเร็จ.
๑ กล่าวตามฤดู ๖ ในตำราแพทย์ ไท, สารทฤต ได้แก่ เดือนสิบเอ็ดกับเดือนสิบสอง
และว่า
เป็นไข้เพื่อลม.

165
หมวด/เล่ม
พระวินัยปิฎก มหาวรรค เล่ม ๕ ภาค ๒ – หน้าที่ 166 (เล่ม 7)

บทว่า นจฺฉาเทนฺติ มีความว่า ย่อมไม่ยอมไป, คือไม่สามารถจะ
ระงับโรคลมได้
บทว่า สิเนสิกานิ ได้แก่ โภชนะที่สนิท.
บทว่า ภตฺตจฺฉาทเกน คือ ความไม่ย่อมแห่งอาหาร.
ในคำว่า กาเล ปฏิคฺคหิตํ เป็นต้น มีความว่า รับประเคน เจียว
กรอง ในเมื่อเวลาเที่ยงยังไม่ล่วงเลยไป.
สองบทว่า เตลปริโภเคน ปริภุญฺชิตุ มีความว่า เพื่อบริโภค
อย่างบริโภคน้ำมัน ซึ่งเป็นสัตตาหกาลิก.
บทว่า วจตฺถํ ได้แก่ ว่านที่เหลือ.
สองบทว่า นิสทํ นิสทโปตํ ได้แก่ ตัวหินบดและลุกหินบด.
ชื่อว่า ปัคควะ นั้น เป็นชาติไม้เถา (ได้แก่บอระเพ็ด).
บทว่า นตฺตมาลํ ได้แก่ กระถินพิมาน.
วินิจฉัยในบทว่า อจฺฉวสํ เป็นอาทิ พึงทราบโดยนัยที่กล่าวใน
อรรถกถาแห่งนิสสัคคิยกัณฑ์๑ นั่นแล.
แม้วินิจฉัยในมูลเภสัชเเป็นต้น ก็ได้กล่าวแล้วในขุททกวรรณน๒
เหมือนกัน เพราะเหตุนั้น คำใด ๆ ที่ไม่ได้กล่าวแล้วในก่อน ข้าพเจ้าจัก
พรรณนาเฉพาะคำนั้น ๆ ในที่นี้. หิงคุ หิงคุชตุ และหิงคุสิปาฏิกา ก็คือ
ชาตแห่งหิงคุนั่งเอง. ตกะ ตกปัตติ และตกปัณณิยะ ก็คือชาติครั่งนั่นเอง.
เกลือสมุทรนั้น ได้แก่ เกลือที่เกิดตามฝั่งทะเลเหมือนทราย.
ชื่อว่า กาฬโลณะ นั้น ได้แก่ เกลือตามปกติ.
เกลือสินเธาว์นั้น ได้แก่ เกลือมีสีชาว เกิดตามภูเขา.
๑. สมนฺต. ทุติย. ๒๕๕. ๒. สมนฺต. ทุติย. ๔๑๓.

166
หมวด/เล่ม
พระวินัยปิฎก มหาวรรค เล่ม ๕ ภาค ๒ – หน้าที่ 167 (เล่ม 7)

ชื่อว่า อุพภิทะ นั้น ได้แก่ เกลือที่เป็นหน่อขึ้นจากแผ่นดิน.
ชื่อว่า พิละ นั้น ได้แก่ เกลือที่เขาหุงกับเครื่องปรุงทุกอย่าง เกลือ
นั้นแดง.
บทว่า ฉกนํ ได้แก่ โคมัย.
สองบทว่า กาโย วา ทุคฺคนฺโธ มีความว่า กลิ่นตัวของภิกษุ
บางรูป เหมือนกลิ่นตัวแห่งสัตว์มีม้าเป็นต้น จุรณแห่งไม้ซึกและดอกดำเป็น
ต้น หรือจุรณแห่งเครื่องหอมทุก ๆ อย่าง ควรแก่ภิกษุแม้นั้น
บทว่า รชนนิปกฺกํ ได้แก่ กากเครื่องย้อม. ภิกษุจะตำแม้ซึ่งจุรณ
ตามปกติแล้วแช่น้ำอาบ ก็ควร. แม้จุรณตามปกตินั้น ย่อมถึงความนับว่า
กากเครื่องย้อมเหมือนกัน.
อมนุษย์เคี้ยวกินเนื้อดิบและดื่มเลือดสด เพราะเหตุนั้น ภิกษุจึงชื่อว่า
ไม่ได้เคี้ยวกินเนื้อดิบและดื่มเลือดสดนั้น. อมนุษย์ ครั้นเคี้ยวกินและดื่มแล้ว
ได้ออกไป เพราะเหตุนั้น พระธรรมสังคาหกาจารย์ จึงกล่าวว่า อาพาธเกิด
แต่อมนุษย์นั้นของเธอย่อมระงับ.
คำว่า อญฺชนํ นี้ เป็นคำกล่าวครอบยาตาทั้งหมด.
บทว่า กาฬญฺชนํ ได้แก่ ชาติแห่งยาตาชนิดหนึ่ง หรือยาตาที่หุงด้วย
เครื่องปรุงทุกอย่าง.
บทว่า รสญฺชนํ ได้แก่ ยาตาที่ทำด้วยเครื่องปรุงต่าง ๆ.
บทว่า โสตญฺชนํ ได้แก่ ยาตาที่เกิดในกระแสน้ำเป็นต้น.
หรดาล กลีบทอง ชื่อเครุกะ.
ชื่อว่า กปัลละ นั้น ได้แก่ เขม่าที่เอามาจากเปลวประทีป.

167