No Favorites


หมวด/เล่ม
พระวินัยปิฎก มหาวรรค เล่ม ๔ ภาค ๑ – หน้าที่ 284 (เล่ม 6)

ทรงบัญญัติไม่ให้ภิกษุรูปเดียวรับสามเณร ๒ รูปไว้อุปัฏฐาก ก็เรามีสามาเณร
ราหุลนี้อยู่แล้ว ทีนี้เราจะปฏิบัติอย่างไร ดังนี้ จึงกราบทูลเรื่องนั้น แด่พระผู้มี-
พระภาคเจ้า.
พระผู้ทีพระภาคเจ้ารับสั่งกะภิกษุทั้งหลายว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เรา
อนุญาตให้ภิกษุผู้ฉลาด ผู้สามารถรูปเดียว รับสามเณรสองรูปไว้อุปัฏฐากได้
ก็หรือเธออาจจะโอวาทอนุศาสน์สามเณรมีจำนวนเท่าใดก็ให้รับไว้อุปัฏฐาก มี
จำนวนเท่านั้น.
สิกขาบทของสามเณร
[๑๒๐] ครั้งนั้น สามเณรทั้งหลาย ได้มีความดำริว่า สิกขาบทของ
พวกเรามีเท่าไรหนอแล และพวกเราจะต้องศึกษาในอะไร ภิกษุทั้งหลาย
กราบทูลเรื่องนั้นแด่พระผู้มีพระภาคเจ้า.
พระผู้มีพระภาคเจ้ารับสั่งกะภิกษุทั้งหลายว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เรา
อนุญาตสิกขาบท ๑๐ แก่สามเณรทั้งหลาย และให้สามเณรทั้งหลายศึกษาใน
สิกขาบท ๑๐ นั้น คือ:-
๑. เว้นจากการทำสัตว์ที่มีชีวิตให้ตกล่วงไป.
๒. เว้นจากถือเอาพัสดุอันเจ้าของมิได้ให้.
๓. เว้นจากกรรมอันเป็นข้าศึกแก่พรหมจรรย์.
๔. เว้นจากการกล่าวเท็จ.
๕. เว้นจากการดื่มน้ำเมา คือ สุราและเมรัย อันเป็นที่ตั้งแห่งความ
ประมาท.
๖. เว้นจากบริโภคอาหารในเวลาวิกาล.

284
หมวด/เล่ม
พระวินัยปิฎก มหาวรรค เล่ม ๔ ภาค ๑ – หน้าที่ 285 (เล่ม 6)

๗. เว้นจากฟ้อนรำ ขับร้อง ประโคมดนตรี และดูการเล่นที่เป็น
ข้าศึก.
๘ เว้นจากการทัดทรงตกแต่งด้วยดอกไม้ของหอม และเครื่องลูบไล้
อันเป็นฐานแห่งการแต่งตัว.
๙. เว้นจากที่นั่งและที่นอนอันสูงและใหญ่.
๑๐. เว้นจากการรับทองและเงิน.
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เราอนุญาตสิกขาบท ๑๐ นี้ แก่สามเณรทั้งหลาย
และให้สามเณรทั้งหลายศึกษาในสิกขาบท ๑๐ นี้.
อรรถกถาราหุลวัตถุกถา
ในคำว่า เยน กปิลวตฺถุ เตน จาริกํ ปกฺกามิ นี้ พึงทราบ
อนุปุพพีกถา ดังต่อไปนี้:-
ได้ยินว่า จำเดิมแต่วันที่พระโพธิสัตว์เสด็จออกอภิเนษกรมณ์พระเจ้า
สุทโธทนมหาราชทรงเงี่ยพระโสตคอยสดับข่าวอยู่เที่ยวว่า ลูกเราออกไปด้วย
หมายใจว่า จักเป็นพระพุทธเจ้า เป็นพระพุทธเจ้าแล้วหรือยังหนอ ? ท้าวเธอ
ทรงสดับการบำเพ็ญเพียร ความตรัสรู้เองและ พุทธกิจทั้งหลายมียังธรรมจักร
ให้เป็นไปเป็นต้น ของพระผู้มีพระภาคเจ้า ได้ทรงสดับว่า ได้ยินว่าบัดนี้ ลูก
เราอาศัยกรุงราชคฤห์อยู่ จึงดำรัสสั่งอำมาตย์คนหนึ่งว่า เราแก่เฒ่าแล้วนะพ่อ
ดีละ เจ้าจงแสดงบุตรแก่เราทั้งที่ยังเป็นอยู่ เขารับสาธุแล้ว มีบุรุษพันคนเป็น
บริวาร ไปสู่กรุงราชคฤห์ ถวายบังคมพระบาทพระผู้มีพระภาคเจ้าแล้วนั่ง.
ลำดับนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสธรรมกถาแก่เขา เขาเลื่อมใสทูลขอบรรพชา

285
หมวด/เล่ม
พระวินัยปิฎก มหาวรรค เล่ม ๔ ภาค ๑ – หน้าที่ 286 (เล่ม 6)

และอุปสมบทที่นั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าให้เขาอุปสมบทด้วยเอหิภิกขุอุปสัมปทา
ภิกษุนั้นกับทั้งบริษัทบรรลุพระอรหัตแล้ว ได้อยู่เสวยสุขเกิดแก่ผลาสมาบัติในที่
นั้นเอง. พระราชาทรงส่งทูตแม้อื่นไปอีก ๘ คนโดยอุบายนั้นแล. แม้ทูตเหล่า
นั้นทั้งหมดกับทั้งบริษัท ได้เสด็จออกจากกรุงราชคฤห์หลีกจาริก ไปอย่างไม่
รีบเร่ง ด้วยทรงทำในพระหฤทัยว่า เราเมื่อเดินทางวันละโยชน์ ๒ เดือนจักถึง
กรุงกบิลพัสดุ์ ซึ่งมีระยะทาง ๖๐ โยชน์จากกรุงราชคฤห์.
เพราะเหตุนั้น พระธรรมสังคาหกาจารย์จึงกล่าวว่า เยน กปิลวตฺถุ
เตน จาริกํ ปกฺกามิ ดังนี้. ก็แลครั้นเมื่อพระผู้มีพระภาคเจ้าเสด็จหลีกไป
แล้วอย่างนั้น พระอุทายีเถระกระทำภัตกิจในพระนิเวศน์ของพระเจ้าสุทโธทน-
มหาราช จำเดิมแต่วันพระผู้มีพระภาคเจ้าเสด็จออก. พระราชาทรงอังคาสพระ
เถระแล้วทรงเจิมบาตรด้วยกระแจะบรรจุพระกระยาหารอย่างสูงสุดจนเต็ม มอบ
ถวายในมือพระเถระว่า ท่านจักถวายแด่พระผู้มีพระภาคเจ้า แม้พระเถระย่อม
ทำตามรับสั่งทั้งนั้น. พระผู้มีพระภาคเจ้าเสวยบิณฑบาตของพระราชาเท่านั้น
ในระหว่างมรรคา ด้วยประการฉะนี้.
ฝ่ายพระเถระในเวลาเสร็จภัตกิจทุกวัน ได้ทูลพระราชาว่าวันนี้พระผู้มี
พระภาคเจ้าเสด็จมาเท่านี้ และได้ปลูกความเชื่อในพระผู้มีพระภาคเจ้าให้เกิดขึ้น
แก่เจ้าศากยะทั้งหลาย ด้วยกถาปฏิสังยุตด้วยพุทธคุณ.
เพราะเหตุนั้นแล พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงตั้งท่านไว้ในเอตทัคคสถาน
ว่า ภิกษุทั้งหลาย บรรดาภิกษุทั้งหลายผู้ยังสกุลให้เลื่อมใส ซึ่งเป็นสาวกของ
เรา กาฬุทายีเป็นเยี่ยม ดังนี้๑
ฝ่ายเจ้าศากยะเล่า เมื่อพระผู้มีพระภาคเจ้ายังไม่เสด็จถึง จึงมุ่งพระ-
หฤทัยว่า เราทั้งหลายจักเฝ้าพระญาติอันประเสริฐของพวกเรา จึงประชุมกัน
๑. องฺ. เอก. ๒๐/๑๔๙.

286
หมวด/เล่ม
พระวินัยปิฎก มหาวรรค เล่ม ๔ ภาค ๑ – หน้าที่ 287 (เล่ม 6)

เมื่อเลือกหาที่เสด็จอยู่สำหรับพระผู้มีพระภาคเจ้าทรงกำหนดว่า อารามของสักกะ
ชื่อนี้โครธ น่ารื่นรมย์ จึงให้ทำปฏิชัคคนวิธีทั้งปวงในอารามนั้น มีของหอม
และดอกไม้ในมือ เมื่อจะทำการต้อนรับ ได้ส่งเด็กชายและเด็กหญิงชาว
พระนครรุ่นหนุ่มรุ่นสาว ประดับด้วยอลังการทุกอย่างไปก่อน ถัดจากนั้น ส่ง
ราชกุมารและราชกุมารีทั้งหลายไป แล้วไปเองในลำดับแห่งเหล่าราชกุมารและ
ราชกุมารีเหล่านั้น บูชาด้วยสักการะมีดอกไม้และจุณเป็นต้น ได้เชิญเสด็จ
พระผู้มีพระภาคเจ้าไปสู่นิโครธารามทีเดียว.
พระผู้มีพระภาคเจ้ามีพระขีณาสพ ๒ หมื่นแวดล้อม ประทับบนบวร
พุทธอาสน์ที่เขาทั้งเตรียมไว้ในนิโครธารามนั้น. พวกศากยราชเป็นคนเจ้ามานะ
ถือตัวจัดนัก. พวกศากยราชเหล่านั้น ทรงดำริว่าสิทธัตถกุมาร ยังหนุ่มเด็ก
กว่าพวกเรา เป็นพระกนิฏฐะ เป็นพระภาคิไนย เป็นพระโอรส เป็นพระ
นัดดาแห่งพวกเรา จึงรับสั่งกะราชกุมารหนุ่ม ๆ ว่า พวกเธอจงบังคับ พวก
ฉันจักนั่งข้างหลังพวกเธอ. ครั้นเมื่อศากยราชเหล่านั้น ประทับนั่งอย่างนั้นแล้ว
พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงเล็งดูอัธยาศัยของพวกเธอ แล้วทรงคำนึงว่า พวกพระ
ญาติไม่ยอมไหว้เรา เอาเถิดบัดนี้ เราจักให้พระญาติเหล่านั้นไหว้ ดังนี้แล้ว
ทรงเข้าจตุตถฌานเป็นบาทแห่งอภิญญา ออกแล้วเหาะขึ้นสู่อากาศด้วยพระฤทธิ์
ได้ทรงทำปาฏิหาริย์คล้ายยมกปาฏิหาริย์ที่ควงแห่งคัณฑามพฤกษ์ ราวกะว่าทรง
โปรยธุลีที่พระบาทลงบนเศียรแห่งพระญาติเหล่านั้น.
พระราชาทรงเห็นอัศจรรย์นั้น จึงตรัสว่า ข้าแต่พระผู้มีพระภาคเจ้า
เมือพระองค์ซึ่งพระพี่เลี้ยงนำเข้าไปเพื่อไหว้พราหมณ์ในวันมงคล หม่อมฉัน
แม้ได้เห็นพระบาทของพระองค์ ไพล่ไปประดิษฐานบนกระหม่อมของพราหมณ์
จึงบังคมพระองค์ นี้เป็นปฐมวันทนาของหม่อมฉัน. ในวันวัปมงคล เมื่อ

287
หมวด/เล่ม
พระวินัยปิฎก มหาวรรค เล่ม ๔ ภาค ๑ – หน้าที่ 288 (เล่ม 6)

พระองค์บรรทมบนพระที่อันมีสิริที่เงาไม้หว้า หม่อมฉันเห็นเงาไม้หว้ามิได้
คล้อยตามไป จึงบังคมพระบาท นี้เป็นทุติยวันทนาของหม่อมฉัน บัดนี้ หม่อม
ฉัน แม้ได้เห็นปาฏิหาริย์ซึ่งยังไม่เคยเห็นนี้ ขอถวายบังคมพระบาทของพระองค์
นี้เป็นตติยวันทนาของหม่อมฉัน.
ก็แลเมื่อพระผู้มีพระภาคเจ้าอันพระเจ้าสุทโธทนมหาราช ถวายบังคม
แล้ว แม้ศากยะองค์หนึ่ง ซึ่งชื่อไม่ถวายบังคม มิได้มี, ได้ถวายบังคมหมด
ทั้งนั้น.
พระผู้มีพระภาคเจ้า ทรงยังพระญาติทั้งหลายให้ถวายบังคมแล้วเสด็จ
ลงจากอากาศ ประทับบนพระอาสน์ที่เขาแต่งตั้งไว้. ครั้นพระผู้มีพระภาคเจ้า
ประทับนั่งแล้ว พระญาติสมาคม ได้เป็นผู้ถึงที่สุด คือหมดมานะ พระญาติ
ทั้งปวงมีพระหฤทัยแน่วแน่ นั่งประชุมกันแล้ว.
ลำดับนั้น มหาเมฆหลั่งฝนโบกขรพรรษให้ตกลงมา. น้ำมีสีแดง
หลั่ง๑ไหลไปภายใต้ น้ำแม้หยาดหนึ่งจะตกลงบนสรีระของใคร ๆ ก็หาไม่. พระ
ญาติทั้งปวงทรงเห็นเหตุนั้นแล้ว ได้เป็นผู้เกิดความอัศจรรย์หลากใจ.
พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า ฝนโบกขรพรรษตกในญาติสมาคมของเรา
ในกาลนี้เท่านั้นหามิได้ ถึงในอดีตกาล ก็ได้ตกแล้วดังนี้ แล้วตรัสเวสสันตร-
ชาดก๒ เพราะเกิดเหตุนี้ขึ้น.
พระญาติทั้งปวง สดับพระธรรมเทศนาแล้ว เสด็จลุกขึ้นถวายบังคม
ทำประทักษิณแล้วหลีกไป. แม้บุคคลผู้หนึ่ง คือ พระราชาหรือราชมหาอำมาตย์
ที่จะทูลว่า พรุ่งนี้ ขอพระองค์ทรงรับภิกษาของข้าพเจ้า แล้วจึงไป มิได้มี.
๑. วิรวนฺตํ คจฺฉติ.
๑. ขุ. ชา. ๒๘/๑๐๔๕

288
หมวด/เล่ม
พระวินัยปิฎก มหาวรรค เล่ม ๔ ภาค ๑ – หน้าที่ 289 (เล่ม 6)

ในวันที่ ๒ พระผู้มีพระภาคเจ้ามีภิกษุ ๒ หมื่นเป็นบริวาร เสด็จ
เข้าไปบิณฑบาตยังกรุงกบิลพัสดุ์. ใคร ๆ จะลุกรับแล้วนิมนต์ หรือได้รับบาตร
หามิได้. พระผู้มีพระภาคเจ้าประทับยืนอยู่ที่เสาอินทขีล๒ ทรงนึกว่า พระพุทธ
เจ้าทั้งหลายในกาลก่อน เสด็จเที่ยวบิณฑบาตในนครแห่งสกุลอย่างไรหนอ ?
ได้เสด็จไปสู่เรือนของเหล่าอิสรชนโดยผิดลำดับหรือ หรือว่าเสด็จเที่ยวจาริกไป
ตามลำดับตรอก.
ลำดับนั้น ไม่ได้ทรงเห็นการไปผิดลำดับแม้แห่งพระพุทธเจ้าองค์หนึ่ง
จึงทรงรำพึงว่า บัดนี้ วงศ์นี้และประเพณีนี้ แม้เราก็ควรยกย่อง และต่อไป
ถึงสาวกทั้งหลายของเรา เมื่อสำเหนียกตามเราจักยังบิณฑจาริยวัตรให้เต็มได้
แล้วเสด็จเที่ยวบิณฑบาตตามลำดับตรอกจำเติมแต่เรือนที่เสด็จเข้าไปครั้ง
สุดท้าย.
มหาชนได้ฟังข่าวว่า ได้ยินว่า พระเจ้าสิทธัตถกุมาร เสด็จเที่ยว
บิณฑบาต จึงเปิดหน้าต่างในปราสาทสี่ชั้นเป็นต้น ได้เป็นผู้กุลีกุจอเพื่อจะเห็น.
ฝ่ายพระเทวี ผู้มารดาพระราหุล ทรงจินตนาว่า ได้ยินว่า พระลูกเจ้า
เสด็จเที่ยวไปด้วยพระยานมีสุวรรณสีวิกาเป็นต้น ด้วยพระราชานุภาพใหญ่ ใน
พระนครนนี้นี่แล บัดนี้ ทรงปลงพระเกสา และพระมัสสุเสีย ทรงผ้ากาสาวพัสตร์
มีกระเบื้องในพระหัตถ์ เสด็จเที่ยวบิณฑบาต. พระองค์จะทรงงดงามไหมหนอ
หรือว่าไม่ทรงงดงาม. จึงทรงเปิดพระสีหบัญชรทอดพระเนตร ทรงเห็นพระผู้
มีพระภาคเจ้า ซึ่งงามสง่าด้วยพระพุทธสิริ ทรงยังนครวิถีทั้งหลายให้โอภาส
ด้วยพระสรีระรัศมีอันรุ่งเรื่องด้วยรัศมีนานา จึงทรงชมพระโฉม จำเดิมแต่
พระอุณหิสจนถึงฝ่าพระบาทด้วย ๘ คาถา อันมีนามว่า นรสีหคาถา แล้ว
๒. หลักที่ปักไว้กลางประตู สำหรับกันบานประทั้งสองข้างในเวลาปิด.

289
หมวด/เล่ม
พระวินัยปิฎก มหาวรรค เล่ม ๔ ภาค ๑ – หน้าที่ 290 (เล่ม 6)

เสด็จไปเฝ้าพระราชา กราบบังคมทูลแด่พระราชาว่า พระลูกเจ้าของฝ่าพระบาท
เสด็จเที่ยวบิณฑบาต. พระราชาทรงสดับข่าวนั้น ทรงสลดพระหฤทัย พลาง
ทรงจัดพระภูษาให้รัดกุมด้วยพระหัตถ์ รีบด่วนเสด็จออกไปโดยเร็ว ประทับ
เบื้องพระพักตร์พระผู้มีพระภาคเจ้า ทูลว่า พระเจ้าข้า ทำไมจึงทรงยังหม่อมฉัน
ให้ได้อายเล่า พระองค์เสด็จเที่ยวบิณฑบาตเพื่อประโยชน์อะไร ? พระองค์ได้
เป็นผู้มีความสำคัญอย่างนี้ว่า ภิกษุมีประมาณเท่านี้ ไม่อาจได้ภัตหรือ ?
พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า มหาบพิตร การเที่ยวบิณฑบาตนี้เป็น
จารีตสำหรับวงศ์ของอาตมภาพ.
พระราชาทูลถามว่า พระเจ้าข้า ขึ้นชื่อว่ามหาสมมติขัตติยวงศ์ เป็น
วงศ์ของพวกเรามิใช่หรือ ? ก็แลในขัตติยวงศ์นั้น แม้กษัตริย์องค์หนึ่ง ชื่อผู้
เที่ยวภิกษาย่อมไม่มี.
พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสสนองว่า มหาบพิตร ชื่อว่าราชวงศ์ เป็นวงศ์
ของมหาบพิตร แต่ขึ้นชื่อว่าพุทธวงศ์ เป็นวงศ์ของอาตมภาพ พระพุทธเจ้า
ทุก ๆ พระองค์เทียว ได้เป็นผู้เสด็จเที่ยวบิณฑบาตดังนี้ คงประทับยืนในท้อง
ถนนเทียว ได้ตรัสพระคาถานี้ว่า:-
บุคคลไม่พึงประมาทในบิณฑบาต
อันคนพึงลุกยืนรับ พึงประพฤติธรรมให้เป็น
สุจริต ด้วยว่า ผู้มีปกติประพฤติธรรม ย่อม
อยู่เป็นสุข ตั้งในโลกนี้และโลกอื่น.๑
พระราชาได้ทรงทำให้แจ้งซึ่งโสดาปัตติผล ในกาลที่จบแห่งพระคาถาและได้
ทรงสดับพระคาถานี้ว่า:-
๑. ขุ. ธ. ๒๕/๒๓.

290
หมวด/เล่ม
พระวินัยปิฎก มหาวรรค เล่ม ๔ ภาค ๑ – หน้าที่ 291 (เล่ม 6)

บุคคลพึงประพฤติธรรมให้เป็นสุจริต
ไม่พึงประพฤติธรรมนั้นให้เป็นทุจริต ด้วยว่า
ผู้ประพฤติธรรม ย่อมอยู่เป็นสุข ทั้งในโลก
นี้และโลกอื่น.๑
ดังนี้แล้ว ทรงประดิษฐานในสกทาคามิผล ได้ทรงสดับธรรมปาลชาดก๒ แล้ว
ทรงประดิษฐานในอนาคามิผล ในมรณสมัย เสด็จบรรทมบนพระที่อันมีสิริ
ภายใต้แห่งเศวตฉัตรนั่นแล จึงทรงบรรลุพระอรหัต. กิจที่จะต้องหมั่นประกอบ
ความเพียรในอรัญวาสมิได้มีแก่พระราชา. ก็แลท้าวเธอทรงทำให้แจ้งซึ่งโสดา
ปัตติผลนั่นแล จึงทรงรับบาตรของพระผู้มีพระภาคเจ้าแล้ว เชิญเสด็จพระผู้มี
พระภาคเจ้ากับทั้งบริษัทขึ้นสู่พระมหาปราสาท ทรงอังคาสด้วยขาทนียโภชนียะ
อันประณีต.
ในเวลาเสร็จภัตกิจ นางสนมกำนัลทั้งปวง เว้นพระมารดาพระราหุล
ได้มาถวายบังคมพระผู้มีพระภาคเจ้า ส่วนพระนางนั้น แม้อันชนบริวารทูลว่า
ขอพระแม่เจ้าจงเสด็จไปถวายบังคมพระลูกเจ้า ได้รับสั่งว่า ถ้าความดีของเรา
มีอยู่ พระลูกเจ้าจักเสด็จมาเองทีเดียว เราจักถวายบังคมพระองค์ผู้เสด็จมาแล้ว
ดังนี้ มิได้เสด็จไป.
พระผู้มีพระภาคเจ้า ทรงยังพระราชาให้ถือบาตรแล้ว พร้อมด้วยพระ
อัคคสาวกทั้ง ๒ เสด็จไปสู่ห้องอันมีสิริของพระราชธิดา ตรัสว่า พระราชธิดา
จงไหว้ตามชอบ อย่าพึงว่ากล่าวอย่างไรเลย แล้วประทับบนพระที่นั่งอันเขา
แต่งตั้งไว้. พระนางเสด็จมาโดยเร็ว ทรงจับที่ข้อพระบาทกลิ้งเกลือกพระเศียร
บนหลังพระบาทถวายบังคมตามพระอัธยาศัย.
๑. ขุ. ธ. ๒๕/๒๓. ๒. ขุ. ชา. ทสก. ๒๗/๑๔๑๐.

291
หมวด/เล่ม
พระวินัยปิฎก มหาวรรค เล่ม ๔ ภาค ๑ – หน้าที่ 292 (เล่ม 6)

พระราชาทูลถึงคุณสมบัติ มีพระสิเนหาและความนับถือมากในพระผู้มี
พระภาคเจ้า ของพระราชธิดา.
พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า มหาบพิตร ยังไม่อัศจรรย์ ข้อที่พระ
ราชธิดาซึ่งพระบรมบพิตรทรงปกครองอยู่ จึงรักษาพระองค์ไว้ได้ในเมื่อพระ
ญาณแก่กล้าแล้วในบัดนี้ แต่ก่อน เธอหาผู้ปกครองมิได้ เที่ยวไปแทบเชิง
บรรพต รักษาพระองค์ไว้ได้ในเมื่อพระญาณยังไม่แก่กล้า ดังนี้แล้ว ตรัส
จันทกินรีชาดก๑.
วันนั้นเอง พระนันทราชกุมาร มีมหามงคล ๕ อย่าง คือ แก้พระ
เกศา๒ ผูกพระสุพรรณบัฏ๓ ฆรมงคล๔ อาวาหมงคล ฉัทรมงคล.
พระผู้มีพระภาคเจ้า ทรงยังพระนันทกุมารให้ถือบาตรแล้วตรัส มงคล
เสด็จลุกจากพระที่นั่งหลีกไป.
ครั้งนั้น นางชนบทกัลยาณี เห็นพระกุมารกำลังเสด็จไป จึงทูลว่า
ข้าแต่พระลูกเจ้า พระองค์รีบเร่งเสด็จกลับมา แล้วชะเง้อคอแลดู. แม้พระ-
นันทกุมารนั้น เมื่อไม่อาจทูลพระผู้มีพระภาคเจ้าว่า ขอพระองค์ทรงรับบาตร
เถิด จึงต้องเสด็จไปถึงวัดที่อยู่ทีเดียว.
พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงยังพระนันทกุมารนั้น ผู้ไม่ทรงปรารถนาเลย
ให้ผนวช. พระผู้มีพระภาคเจ้าเสด็จมาสู่กบิลบุรี ยังพระนันทกุมารให้ผนวชใน
วันที่ ๒ ด้วยประการฉะนี้.
๑. ขุ. ชา. ๒๗/๑๘๘๓. ในที่อื่นเรียกว่าจันทกินนรชาดก.
๒. เกสวิสชฺชนนฺติ กุลมริยาทวเสน เกโสโรปนนฺติ สารตฺถทีปนี. ราชโมลิพนฺธนตฺถํกุมาร
กาเล
พนฺธิตสิขาเวณิโมจนํ ตํ กิร กโรนฺตา มงฺคลํ กโรนฺตีติ วิมติวิโนทนี. ๓.
ปฏฺฏพนฺโธติ
ยุวราชปฏฺฏพนฺโธติ สารตฺถ. อสุกราชาติ นลาเฎ สุวณฺณปฏฺฎพนฺธนนฺติ. วิมติ ๔. อภินวฆรป
เวสนมโห ฆรมงฺคลนฺติ สารตฺถ. อภินวปาสาทปฺปเวสมงฺคลํ ฆรมงฺคลนฺติ วิมติ.

292
หมวด/เล่ม
พระวินัยปิฎก มหาวรรค เล่ม ๔ ภาค ๑ – หน้าที่ 293 (เล่ม 6)

ในวันที่ ๗ พระราหุลมารดา ทรงแต่งพระกุมารส่งไปสู่สำนัก พระผู้มี
พระภาคเจ้าด้วยทรงสั่งว่า นี่แน่ะพ่อ เจ้าจงเห็นสมณะนั่น ผู้มีพรรณดั่งทองคำ
มีพระรูปพรรณคั่งพรหม มีสมณะสองหมื่นแวดล้อม พระสมณะนี้ เป็นพระ-
บิดาของเจ้า พระสมณะนั้นได้มีขุมทรัพย์ใหญ่ จำเดิมแต่เวลาที่ท่านเสด็จออก
ไปแม่มิได้เห็น ไปเถิดเจ้าจงทูลขอเป็นทายาทกับท่านว่า ข้าแด่พระบิดาเจ้า
หม่อมฉันเป็นกุมาร จักยกฉัตรแล้ว เป็นพระเจ้าจักรพรรดิ. หม่อมฉันต้อง
การทรัพย์ โปรดประทานทรัพย์แก่หม่อมฉันเถิด เพราะว่าบุตรย่อมเป็นเจ้า
ของทรัพย์ของบิดา.
พระกุมารพอเสด็จไปสู่สำนักพระผู้มีพระภาคเจ้า ก็กลับได้ความรัก
พระบิดา มีพระหฤทัยรื่นเริงยินดีทูลว่า พระสมณเจ้า พระฉายาของพระองค์
นำสุขมา แล้วได้ยืนรับสั่งถ้อยคำซึ่งสมควรแก่ตนเป็นอันมาก แม้อื่น.
พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงเสร็จภัตกิจแล้ว กระทำอนุโมทนา เสด็จลุก
จากพระที่นั่งหลีกไป.
ฝ่ายพระกุมารได้ทรงติดตามทูลพระผู้มีพระภาคเจ้าว่า พระสมณเจ้า
ขอพระองค์ประทานทรัพย์มฤดกแก่หม่อมฉันเถิด, พระสมณเจ้า ขอพระองค์
ประทานทรัพย์มฤดกแก่หม่อมฉันเถิด.
เพราะเหตุนั้น พระธรรมสังคาหกาจารย์จึงกล่าวคำว่า อนุปุพฺเพน
จาริกญฺจรมาโน เยน กปิลวตฺถุ ฯ เป ฯ ทายชฺชํ เม สมณ เทหิ
ดังนี้.
ข้อว่า อถโข ภควา อายสฺมนตํ สารีปุตฺตํ อามนฺเตสิ มีความ
ว่า พระผู้มีพระภาคเจ้าไม่ทรงยังพระกุมารให้กลับแล้ว ทั้งบริวารชนก็ไม่
สามารถเพื่อจะยังพระกุมารผู้เสด็จไปกับพระผู้มีพระภาคเจ้าให้เสด็จกลับได้.

293