No Favorites




หมวด/เล่ม
พระวินัยปิฎก มหาวรรค เล่ม ๔ ภาค ๑ – หน้าที่ 294 (เล่ม 6)

ครั้งนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าเสด็จไปพระอาราม แล้วทรงดำริว่า
ราหุลนี้ปรารถนาทรัพย์ของบิดาอันใด ทรัพย์อันนั้นเนื่องด้วยวัฏฎะเป็นไปกับ
ด้วยความคับแค้น เอาเถิด เราจะให้อริยทรัพย์ ๗ ประการซึ่งเราได้แล้วที่
โพธิมัณฑ์แก่เธอ จักทำเธอให้เป็นเจ้าของมฤดก อันเป็นโลกุตตระ ดังนี้แล้ว
รับสั่งหาท่านพระสารีบุตรมา.
ก็แลครั้นรับสั่งหาแล้วตรัสว่า สารีบุตร ถ้ากระนั้น ท่านจงยังราหุล
กุมารให้บวชเถิด. อธิบายว่า ราหุลกุมารนี้ขอทรัพย์มฤดก เพราะเหตุนั้น
ท่านจงยังราหุลกุมารนั้นให้บวช เพื่อได้เฉพาะซึ่งทรัพย์มฤดกอันเป็นโลกุต-
ตระ. บรรพชาและอุปสมบทด้วยไตรสรณคมน์นั้นใด อันพระผู้มีพระภาคเจ้า
ทรงอนุญาตที่กรุงพาราณสี บรรดาบรรพชาและอุปสมบทด้วยไตรสรณคมน์นั้น
ทรงห้ามอุปสมบท ทรงยกไว้ในความเป็นของหนัก คือเป็นกิจสลักสำคัญ แล้ว
จึงทรงอนุญาตอุปสมบทด้วยญัตติจตุตถกรรม. ส่วนบรรพชามิได้ทรงห้ามเลย
แต่ก็มิได้ทรงอนุญาตอีก เพราะเหตุนั้น ความสงสัยจักเกิดขึ้นแก่ภิกษุทั้งหลาย
ในอนาคตว่า ชื่อว่าบรรพชานี้ เช่นกับด้วยอุปสมบทในกาลก่อน. แม้ในบัดนี้
บรรพชาอันเราทั้งหลายพึงกระทำด้วยกรรมวาจานั่นเอง เหมือนอุปสมบทหรือ
หนอแล หรือว่า พึงทำด้วยไตรสรณคมน์ ดังนี้. ก็แลพระผู้มีพระภาคเจ้า
ทรงทราบความนี้แล้วใคร่จะทรงอนุญาตสามเณรบรรพชาด้วยไตรสรณคมน์อีก
เพราะเหตุนั้นพระธรรมเสนาบดีทราบพระอัธยาศัยของพระผู้มีพระภาคเจ้า ใคร่
จะยังพระผู้มีพระภาคเจ้าให้ทรงอนุญาตบรรพชาอีก จึงทูลว่า ข้าพระองค์จะ
ยังพระราหุลกุมารให้ผนวชอย่างไร พระเจ้าข้า ?
ข้อว่า อถโข อายสฺมา สารปุตฺโต ราหุลกุมาร. ปพฺพาเชสิ มี
ความว่า พระมหาโมคคัลลานเถระปลงพระเกศาของพระกุมารแล้วถวายผ้า
กาสายะ พระสารีบุตรได้ถวายสรณะ. พระมหากัสสปเถระได้เป็นโอวาทาจารย์

294
หมวด/เล่ม
พระวินัยปิฎก มหาวรรค เล่ม ๔ ภาค ๑ – หน้าที่ 295 (เล่ม 6)

ก็บรรพชาและอุปสมบทมีอุปัชฌาย์เป็นมูล อุปัชฌาย์เท่านั้นเป็นใหญ่ ใน
บรรพชาและอุปสมบทนั้น อาจารย์ไม่เป็นใหญ่ เพราะเหตุนั้น พระธรรม
สังคาหกาจารย์จึงกล่าวว่า ครั้งนั้นแล พระสารีบุตรผู้มีอายุ ยังพระราหุล
กุมารให้ผนวชแล้ว ดังนี้. ด้วยประการอย่างนี้ คำทั้งปวงอันผู้ศึกษาพึงกล่าวว่า
ครั้งนั้นแล พระเจ้าสุทโธทนผู้ศากยราช ทรงเกิดความสลดพระหฤทัย เพราะ
ทรงสดับว่า พระกุมารผนวชแล้ว ในเมื่อเขากล่าวว่า ข้าพเจ้าขอพร ดังนี้
โดยไม่ระบุอย่าง คำว่า จงขอ เป็นคำไม่สมควรแก่บรรพชิตผู้เลี้ยงชีวิตด้วย
อุญฉาจริยา๑ ทั้งพระพุทธเจ้าทั้งหลายก็ไม่ทรงประพฤติ เพราะเหตุนั้น พระ
ผู้มีพระภาคเจ้าจึงตรัสไว้ในพระบาลีนั้นว่า มหาบพิตรผู้โคตมะ พระตถาคต
ทั้งหลาย ทรงเลิกพรเสียแล้วแล.
ข้อว่า ยญฺจ ภนฺเต กปฺปติ ยญฺจ อนวชฺชํ มีความว่าพรใด
สมควรที่พระองค์จะประทานได้ด้วย เป็นพรหาโทษมิได้ด้วย คือเป็นพรอัน
วิญญูชนทั้งหลายไม่พึงครหา เพราะกิริยาที่รับของหม่อมฉัน เป็นปัจจัยด้วย
หม่อมฉันขอพรนั้น.
ข้อว่า ตถา นนฺเท อธิมตฺตํ ราทุเล มีความว่า ได้ยินว่าโหรทั้ง
หลายได้ทำนายพระโพธิสัตว์ในวันมงคลว่า จักเป็นพระเจ้าจักรพรรดิ ฉันใด
เล่า ได้ทำนายทั้งพระนันทะทั้งพระราหุลในวันมงคลว่า จักเป็นพระเจ้าจักร-
พรรดิ ฉันนั้น. ครั้งนั้นพระราชาทรงเกิดพระอุตสาหะว่า เราจักชมจักรพรรดิ-
สิริของบุตร ได้ทรงถึงความหมดหวังอย่างใหญ่หลวง เพราะพระผู้มีพระภาค-
เจ้าทรงผนวชเสีย. จึงทรงยังพระอุตสาหะให้เกิดว่า เราจักชมจักรพรรดิติสิริ
ของพ่อนันทะ. พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงยังพระนันทะแม้นั้นให้ผนวชแล้ว. ท้าว
เธอทรงอดกลั้นทุกข์แม้นั้น เสียได้ ทรงยังพระอุตสาหะให้เกิดว่า บัดนี้เราจัก
ได้ชมจักรพรรดิสิริของพ่อราหุล ด้วยประการฉะนี้ พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงยัง
๑. ขอทานเลี้ยงชีพ

295
หมวด/เล่ม
พระวินัยปิฎก มหาวรรค เล่ม ๔ ภาค ๑ – หน้าที่ 296 (เล่ม 6)

พระราหุลนั้นให้ผนวชเสียอีก. เพราะฉะนั้น ความทุกข์จึงได้เกิดแก่ท้าวเธอ
ยิ่งนักว่า บัดนี้แม้กุลวงศ์ขาดสายเสียแล้ว จักรพรรดิสิริจักมีมาแต่ไหนเล่า.
เพราะเหตุนั้น พระเจ้าสุทโธทนผู้ศากยราชจึงทูลว่า ตถา นนฺเท อธมตฺตํ รา-
หุเล ดังนี้. ส่วนการบรรลุอนาคามิผลของพระราชาผู้ศึกษาพึงทราบว่า ภายหลัง
แต่กาลที่พระราหุลผนวชนี้. เหตุไร พระราชาจึงตรัสคำนี้ว่า สาธุ ภนฺเต อยฺยา
เป็นต้น. ได้ยินว่า ท้าวเธอทรงดำริว่า แม้ว่าเราเป็นพุทธมามกะ ธัมมมามกะ
สังฆมามกะ ก็จริงหรอก แต่เมื่อบุตรซึ่งบิดาของตนให้บวชเสีย ก็ไม่สามารถจะ
อดกลั้นญาติวิโยคทุกข์ได้. ชนเหล่าอื่น จักอดกลั้นได้อย่างไร ในเมื่อบุตรและ
นัดดาทั้งหลายของตนบวช เพราะเหตุนั้น ท้าวเธอจึงตรัสคำนี้ด้วยทรงทำพระ-
หฤทัยว่า ทุกข์เห็นปานนี้ก่อน อย่าได้มีแม้แก่ชนเหล่าอื่นเลย. พระผู้มีพระ-
ภาคเจ้าทรงกระทำธรรมกถาว่า พระราชาตรัสเหตุเป็นเครื่องนำออกในศาสนา
แล้วทรงบัญญัติสิกขาบทว่า ภิกษุทั้งหลาย บุตรที่มารดาบิดาไม่อนุญาต ไม่
ควรให้บวช ดังนี้.
บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า มาตาปิตูหิ พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัส
หมายเอาชนนีและชนก. ถ้ามีทั้ง ๒ ต้องลาทั้ง ๒. ถ้าบิดาหรือมารดาตายเสีย
แล้ว ผู้ใดยังเป็นอยู่ ต้องลาผู้นั้น. มารดาบิดาแม้บวชแล้ว ก็ควรลาแท้.
ภิกษุเมื่อจะบอกลา ตนพึงไปบอกลาเองก็ได้ ส่งคนอื่นไปแทนก็ได้ ส่งกุลบุตร
นั้นแหละไปว่า ท่านจงไปลามารดาบิดาแล้ว จงมา ดังนี้ก็ได้. ถ้ากุลบุตร
นั้นบอกว่า ผมเป็นผู้อันมารดาบิดาอนุญาตแล้ว เมื่อเชื่อพึงให้บวช บิดาบวช
เองแล้ว เป็นผู้ใคร่จะให้บุตรบวชบ้าง จงบอกเล่ามารดาแล้วจึงให้บวช. หรือ
ว่ามารดาใคร่จะให้ธิดาบวช จงบอกเล่าบิดาก่อนแล้ว จึงให้บวช. บิดาไม่มี
ความใยดีด้วยบุตรภริยา หนีไปเสีย มารดามอบบุตรแก่ภิกษุทั้งหลายว่า ขอท่าน
ทั้งหลายให้บุรุษนี้บวชเถิด เมื่อภิกษุกล่าวว่า บิดาของเขาไปไหน ? เขาบอก

296
หมวด/เล่ม
พระวินัยปิฎก มหาวรรค เล่ม ๔ ภาค ๑ – หน้าที่ 297 (เล่ม 6)

ว่า หนีไปเพื่อเล่นในจิตตเกลี๑ เสียแล้ว สมควรให้บุรุษนั้นบวชได้ มารดา
หนีไปกับชายบางคนเสีย. ฝ่ายบิดานอบให้ว่า ขอท่านทั้งหลายจงให้บวชเถิด.
แม้ในบุตรนี้ ก็นัยนั้น. ในอรรถกถาชื่อกุรุนทีแก้ว่า บิดาหย่าร้างไปแล้ว
มารดาอนุญาตว่า ท่านจงบวชลูกของดิฉันเถิด เมื่อภิกษุกล่าวว่า บิดาของเขา
ไปไหน ? เขากล่าวว่า ท่านจะต้องการอะไรด้วยบิดาเล่า ดิฉันจักทราบ ดังนี้;
ควรให้บวชได้. มารดาบิดาตาย ทารกเจริญในสำนักญาติทั้งหลายมีน้าหญิง
เป็นต้น ครั้นเมื่อทารกนั้นอันภิกษุให้บวช ญาติทั้งหลายอาศัยทารกนั้นแล้ว
จะก่อการทะเลาะหรือพากันติเตียน; เพราะเหตุนั้น เพื่อตัดการวิวาทเสีย ภิกษุ
พึงบอกเล่าเสียก่อน จึงให้บวช. แต่เมื่อไม่บอกเล่าก่อนให้บวช ก็ไม่มีอาบัติ.
ชนผู้รับมาเลี้ยงในเวลาที่ยังเป็นเด็กย่อม ก็จัดเป็นมารดาบิดาได้. แม้ในมารดา
บิดาชนิดนั้น ก็มีนัยเหมือนกัน. บุตรอาศัยตน คือภิกษุ เป็นอยู่ ไม่ได้อาศัย
มารดาบิดา. ถ้าแม้บุตรนั้นเป็นพระราชา ภิกษุก็ต้องบอกเล่ามารดาบิดาก่อน
จึงให้บวช. บุตรทีมารดาบิดาอนุญาตบวชแล้วกลับสึก. ถ้าแม้เขาบวชแล้วสึก
ตั้ง ๗ ครั้ง ภิกษุควรถามแล้วถามอีกในเวลาที่เขามาแล้ว ๆ จึงให้บวช. ถ้า
มารดาบิดากล่าวอย่างนี้ว่า ลูกคนนี้สึกแล้วมาเรือน ไม่ทำการงานของเรา เขา
บวชแล้ว จะไม่ยังวัตรของท่านทั้งหลายให้เต็ม กิจที่จะต้องบอกลาสำหรับลูกคน
นี้ ไม่มี ท่านทั้งหลายพึงยังเขาซึ่งมาแล้วให้บวชเถิด ดังนี้ แม้จะไม่ลาอีกยัง
กุลบุตรที่มารดาบิดาทอดทิ้งแล้ว อย่างนี้ให้บวช ก็ควร. แม้บุตรใดอันมารดา
บิดามอบให้ในเวลาที่ยังเด็กทีเดียวอย่างนี้ว่า เด็กนี้ข้าพเจ้าถวายท่าน ท่านพึง
ให้บวชในเวลาที่ท่านปรารถนาเถิด ดังนี้ แม้บุตรนั้น มาแล้ว ๆ ภิกษุพึง
บอกเล่าอีกเทียว จึงให้บวช. ส่วนบุตรใดมารดาบิดาอนุญาตในเวลาที่ตนยัง
เด็กอยู่ทีเดียวว่า ท่านเจ้าข้า ท่านพึงยังเด็กนี้ให้บวชเถิด ภายหลังในเวลาที่
๑. การเล่นต่าง ๆ ซึ่งทำให้ใจเพลิดเพลิน.

297
หมวด/เล่ม
พระวินัยปิฎก มหาวรรค เล่ม ๔ ภาค ๑ – หน้าที่ 298 (เล่ม 6)

เด็กถึงความเจริญ กลับไม่อนุญาต. บุตรนี้นั้นภิกษุยังไม่ได้บอกเล่ามารดา-
บิดาไม่พึงให้บวช. บุตรคนเดียวเทียวไปกับมารดาบิดามากล่าวว่า ขอท่านจง
ให้ข้าพเจ้าบวชเถิด. และเขาอันภิกษุกล่าวว่า ท่านจงบอกลาแล้วจงมา จึง
กล่าวว่า ข้าพเจ้าไม่ไป ถ้าท่านไม่ไห้ข้าพเจ้าบวช ข้าพเจ้าจะเผาวิหารเสีย
หรือจะประหารพวกท่านด้วยศัสตรา; หรือจะก่อความฉิบทาย ด้วยผลาญสวน
เป็นต้น ของญาติและอุปัฏฐากทั้งหลายของพวกท่าน; หรือว่าข้าพเจ้าจะตก
ต้นไม้ตาย; หรือจะเข้าไปยังท่ามกลางโจร; หรือจะไปประเทศอื่น ดังนี้.
สมควรให้เขาบวช เพื่อต้องการรักษาชีวิตไว้เท่านั้น. และถ้ามารดาบิดาของเขา
มาพูดว่า เหตุไรจึงให้บุตรของเราบวช ? ภิกษุพึงบอกเนื้อความนั้นแก่เขา
ทั้งหลายแล้วพึงกล่าวว่า ฉันให้เขาบวชก็เพื่อจะป้องกันไว้ ท่านทั้งหลายจง
สอบสวนบุตรดูเถิด. อนึ่งสมควรแท้ที่จะบวชให้คนซึ่งคิดว่า เราจะตกต้นไม้
แล้ว ขึ้นไปปล่อยมือและเท้าเสีย บุตรคนเดียวไปต่างประเทศแล้วขอบวช. ถ้า
เขาลาแล้ว จึงไปพึงให้บวชได้. ถ้าไม่ได้ลา พึงส่งภิกษุหนุ่มไปให้บอกลาแล้ว
จึงให้บวช. ถ้าต่างประเทศนั้นเป็นที่ไกลยิ่งนัก. แม้จะไห้บวชแล้วส่งไปแสดง
พร้อมกับภิกษุทั้งหลายก็ควร. แต่ในอรรถกถาชื่อกุรุนทีแก้ว่า ถ้าต่างประเทศ
เป็นสถานไกลด้วย ทางกันดารมาด้วยจะให้บวชด้วยผูกใจว่า เราจักไปบอกเล่า
ดังนี้ ก็ควร. แต่ถ้ามารดาบิดามีบุตรมาก และเขากล่าวอย่างนี้ว่า ท่านเจ้าข้า
บรรดาเด็กเหล่านี้ ท่านปรารถนาจะให้คนใดบวช พึงให้คนนั้นบวชเถิด ภิกษุ
พึงตรวจดูเด็กทั้งหลายแล้วปรารถนาคนใด พึงให้คนนั้นบวช ถ้าแม้สกุลหรือ
บ้านทั้งสิ้นอนุญาตไว้ว่า ท่านเจ้าข้า ในสกุลหรือในบ้านนี้ ท่านปรารถนาจะ
ให้ผู้ใดบวช พึงให้ผู้นั้นบวชเถิด ดังนี้. ภิกษุปรารถนาผู้ใด พึงให้ผู้นั้น
บวชได้.
อรรถกถาราหุลวัตถุกถา จบ

298
หมวด/เล่ม
พระวินัยปิฎก มหาวรรค เล่ม ๔ ภาค ๑ – หน้าที่ 299 (เล่ม 6)

เรื่องลงทัณฑกรรมแก่สามเณร
[๑๒๑] ก็โดยสมัยนั้นแล พวกสามเณรไม่มีความเคารพ ไม่มีความ
ยำเกรง มีความพระพฤติไม่เหมาะสม ในภิกษุทั้งหลายอยู่ ภิกษุทั้งหลายจึง
เพ่งโทษ ติเตียน โพนทะนาว่า ไฉนพวกสามเณรจึงได้ไม่มีความเคารพ ไม่
มีความยำเกรง มีความประพฤติไม่เหมาะสมในภิกษุทั้งหลายอยู่เล่า แล้ว
กราบทูลเรื่องนั้นแด่พระผู้มีพระภาคเจ้า.
พระผู้มีพระภาคเจ้ารับสั่งกะภิกษุทั้งหลายว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เรา
อนุญาตให้ลงทัณฑกรรมแก่สามเณรผู้ประกอบด้วยองค์ ๕ คือ:-
๑. พยายามเพื่อความเสื่อมลาภแห่งภิกษุทั้งหลาย.
๒. พยายามเพื่อความพินาศแห่งภิกษุทั้งหลาย.
๓. พยายามเพื่อความอยู่ไม่ได้แห่งภิกษุทั้งหลาย.
๔. ด่า บริภาษ ภิกษุทั้งหลาย
๕. ยุยงภิกษุต่อภิกษุให้แตกกัน.
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เราอนุญาตให้ลงทัณฑกรรมแก่สามเณรผู้ประ-
กอบด้วยองค์ ๕ นี้แล.
ครั้งนั้น ภิกษุทั้งหลายได้มีความดำริว่า จะพึงลงทัณฑกรรมอย่างไร
หนอแล ? แล้วกราบทูลเรื่องนั้นแด่พระผู้มีพระภาคเจ้า พระผู้มีพระภาคเจ้า
รับสั่งกะภิกษุทั้งหลายว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เราอนุญาตให้ลงทัณฑกรรม คือ
ห้ามปราม.
ก็โดยสมัยนั้นแล ภิกษุทั้งหลายลงทัณฑกรรมคือห้ามสังฆารามทุกแห่ง
แก่พวกสามเณร สามเณรเขาอารามไม่ได้ จึงหลีกไปเสียบ้าง สึกเสียบ้าง ไป
เข้ารีตเดียรถีย์บ้าง ภิกษุทั้งหลายกราบทูลเรื่องนั้นแด่พระผู้มีพระภาคเจ้า.

299
หมวด/เล่ม
พระวินัยปิฎก มหาวรรค เล่ม ๔ ภาค ๑ – หน้าที่ 300 (เล่ม 6)

พระผู้มีพระภาคเจ้ารับสั่งกะภิกษุทั้งหลายว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ภิกษุ
ไม่พึงลงทัณฑกรรมคือห้ามสังฆารามทุกแห่ง รูปใดลง ต้องอาบัติทุกกฏ ดูก่อน
ภิกษุทั้งหลาย เราอนุญาตให้ลงทัณฑกรรม คือ ห้ามเฉพาะสถานที่ที่สามเณร
จะอยู่หรือจะเข้าไปได้.
ก็โดยสมัยนั้นแล ภิกษุทั้งหลายลงทัณฑกรรมคือ ห้ามอาหารซึ่งจะกลืน
เข้าไปทางปากแก่พวกสามเณร คนทั้งหลายทำปานะคือยาคูบ้าง สังฆภัตบ้าง
จึงกล่าวนิมนต์พวกสามเณรอย่างนี้ว่า นิมนต์ท่านทั้งหลายมาดื่มยาคู นิมนต์
ท่านทั้งหลายมาฉัน ภัตตาหาร พวกสามเณรจึงกล่าวอย่างนี้ว่า อาวุโสทั้งหลาย
พวกอาตมาทำอย่างนั้น ไม่ได้ เพราะภิกษุทั้งหลายลงทัณฑกรรมคือห้ามไว้. 
ประชาชนจึงเพ่งโทษ ติเตียน โพนทะนาว่า ไฉนพระผู้เป็นเจ้าผู้
เจริญทั้งหลาย จึงได้ห้ามอาหาร ซึ่งจะกลืนเข้าไปทางช่องปากแก่พวกสามเณร
เหล่าภิกษุทั้งหลายกราบทูลเรื่องนั้นแด่พระผู้มีพระภาคเจ้า พระผู้มีพระภาคเจ้า
รับสั่งกะภิกษุทั้งหลายว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ภิกษุไม่พึงลงทัณฑกรรมคือ
ห้ามอาหารที่จะกลืนเข้าไปทางช่องปาก รูปใดลง ต้องอาบัติทุกกฏ.
เรื่องลงทัณฑกรรมแก่สามสามเณร จบ
เรื่องกักกันสามเณรต้องขออนุญาตก่อน
[๑๒๒] ก็โดยสมัยนั้นแล พระฉัพพัคคีย์ไม่อาปุจฉาพระอุปัชฌาย์
ก่อนแล้วทำการกักกันสามเณรทั้งหลายไว้ พระอุปัชฌาย์ทั้งหลายเที่ยวตามหา
ด้วยนึกสงสัยว่า ทำไมหนอสามเณรของพวกเราจึ้งหายไป.
ภิกษุทั้งหลายได้แจ้งให้ทราบอย่างนี้ว่า อาวุโสทั้งหลาย พระฉัพพัคดีย์
ได้กักกันไว้.

300
หมวด/เล่ม
พระวินัยปิฎก มหาวรรค เล่ม ๔ ภาค ๑ – หน้าที่ 301 (เล่ม 6)

พระอุปัชฌาย์ทั้งหลาย จึงเพ่งโทษ ติเตียน โพนทะนาว่า ไฉน
พระฉัพพัคคีย์จึงไม่อาปุจฉาพวกเราก่อน แล้วทำการกักกันสามเณรของพวก
เราเล่าแล้วกราบทูลเรื่องนั้นแด่พระผู้มีพระภาคเจ้า พระผู้มีพระภาคเจ้ารับสั่ง
กะภิกษุทั้งหลายว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ภิกษุไม่อาปุจฉาอุปัชฌาย์ก่อนแล้ว
ไม่พึงทำการกักกันสามเณรไว้ รูปใดทำ ต้องอาบัติทุกกฏ.
เรื่องทรงห้ามเกลี้ยกล่อมสามเณร
[๑๒๓] ก็โดยสมัยนั้นแล พระฉัพพัคคีย์พากันเกลี้ยกล่อมพวกสาม-
เณรของพระเถระทั้งหลาย พระเถระทั้งหลายต้องหยิบไม้ชำระฟันบ้าง ทักน้ำ
ล้างหน้าบ้าง ด้วยตนเอง ย่อมลำบาก จึงกราบทูลเรื่องนั้น แด่พระผู้มีพระภาค-
เจ้า พระผู้มีพระภาคเจ้า รับสั่งกะภิกษุทั้งหลายว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย บริษัท
ของภิกษุอื่น ภิกษุไม่พึงเกลี้ยกล่อม รูปใดเกลี้ยกล่อม ต้องอาบัติทุกกฏ.
องค์แห่งนาสนะ ๑๐ ของสามเณร
[๑๒๔า ก็โดยสมัยนั้นแล สามเณรของท่านพระอุปนันทศากยบุตรชื่อ
กัณฏกะ ได้ประทุษร้ายภิกษุณีกัณฏกี ภิกษุทั้งหลายจึงเพ่งโทษ ติเตียน โพน-
ทะนาว่า ไฉนสามเณรจึงได้ประพฤติอนาจารเห็นปานนี้เล่า แล้วกราบทูลเรื่อง
นั้นแด่พระผู้มีพระภาคเจ้า.
พระผู้มีพระภาคเจ้ารับสั่งกะภิกษุทั้งหลายว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เรา
อนุญาตให้นาสนะสามเณรผู้ประกอบด้วยองค์ ๑๐ คือ.
๑. ทำสัตว์ที่มีชีวิตให้ตกล่วงไป.
๒. ถือเอาพัสดุอันเจ้าของมิได้ให้.
๓. ประพฤติกรรมอันเป็นข้าศึกแก่พรหมจรรย์.

301
หมวด/เล่ม
พระวินัยปิฎก มหาวรรค เล่ม ๔ ภาค ๑ – หน้าที่ 302 (เล่ม 6)

๔. กล่าววาจาเท็จ.
๕. ดื่มน้ำเมา.
๖. กล่าวติพระพุทธเจ้า.
๗. กล่าวติพระธรรม.
๘. กล่าวติพระสงฆ์.
๙. มีความเห็นผิด.
๑๐. ประทุษร้ายภิกษุณี.
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เราอนุญาตให้นาสนะสามเณรผู้ประกอบด้วยองค์
๑๐ นี้.
เรื่องกักกันสามเณรต้องขออนุญาตก่อน จบ
อรรถกถานาสนังคทัณฑกรรมวัตถุ
หลายบทว่า ยาวตเก วา ปน อุสฺสหติ มีความว่า ย่อมอาจเพื่อ
จะตักเตือนพร่ำสอนสามเณรมีประมาณเท่าใด. ในสิกขาบท ๑๐ ความละเมิด
๕ สิกขาบทเบื้องต้น เป็นวัตถุแห่งนาสนา, ความละเมิด ๕ สิกขาบทเบื้อง
ปลาย เป็นวัตถุแห่งทัณฑกรรม.
บทว่า อปฺปฏิสฺสา มีความว่า ไม่ตั้งภิกษุไว้ในฐานะผู้เจริญ คือ
ในตำแหน่งแห่งผู้เป็นใหญ่.
บทว่า อสภาควุตฺติกา มีความว่า ไม่เป็นผู้เป็นอยู่เสมอกัน
อธิบายว่าเป็นผู้เป็นอยู่ไม่สมส่วนกัน.

302
หมวด/เล่ม
พระวินัยปิฎก มหาวรรค เล่ม ๔ ภาค ๑ – หน้าที่ 303 (เล่ม 6)

ข้อว่า อลาภาย ปริสกฺกติ มีความว่า ภิกษุทั้งหลายจะไม่ได้ลาภ
ด้วยประการใด เธอย่อมพยายามด้วยประการนั้น.
บทว่า อนตฺถาย ได้แก่ เพื่ออุปัทวะ.
บทว่า อนาวาสาย มีความว่า เธอย่อมพยายามว่า ทำไฉนหนอ
ภิกษุเหล่านั้นไม่พึงอยู่ในอาวาสนี้.
สองบทว่า อกฺโกสติ ปริภาสติ มีความว่า เธอย่อมด่าและย่อม
ขู่เข็ญด้วยแสดงภัย.
บทว่า เภเทติ มีความว่า เธอย่อมหาเรื่องส่อเสียดให้แตกกัน.
สองบทว่า อาวรณํ กาตุํ มีความว่า เพื่อทำกาห้ามว่า เธออย่า
เข้ามาในที่นี้.
หลายบทว่า ยตฺถ วา วสติ ยตฺถ วา ปฏิกฺถมติ มีความว่า
เธออยู่ก็ดี เข้าไปก็ดี ในที่ใด. บริเวณของตน และเสนาสนะที่ถึงตามลำดับ
พรรษา พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสแล้วแม้ด้วยบททั้ง ๒.
หลายบทว่า มุขทฺวาริกํ อาหารํ อาวรณํ กโรนฺติ มีความว่า
ภิกษุทั้งหลายย่อมห้ามอย่างนี้ว่า วันนี้เธอทั้งหลาย อยู่ขบเคี้ยว อย่าฉัน.
พึงทราบวินิจฉัยข้อนี้ว่า น ภิกฺขเว มุขทฺวาริโก อาทาโร อาวรณํ
กาตพฺโพ นี้ ดังนี้:-
เมื่อภิกษุกล่าวว่า เธออย่าขบเคี้ยว อย่าฉัน ดังนี้ก็ดี เก็บบาตรจีวร
ไว้ข้างใน ด้วยตั้งใจว่า เราจักห้ามอาหาร ดังนี้ก็ดี ต้องทุกกฏทุก ๆ ประโยค.
แต่จะทำทัณฑกรรมแก่สามเณรผู้ว่ายากไม่มีอาจาระ จะแสดงยาคูหรือภัต หรือ
บาตรและจีวรกล่าวว่า ครั้นเมื่อทัณฑกรรมชื่อมีประมาณเท่านี้ อันเธอยอมรับ
เธอจักได้สิ่งนี้ ดังนี้ สมควรอยู่.

303