No Favorites




หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ปฏิสัมภิทามรรค เล่ม ๗ ภาค ๑ – หน้าที่ 655 (เล่ม 68)

ฉะนี้แล ความจริงแท้แน่นอน ไม่เป็นอย่างอื่น
ชื่อว่า ความที่สิ่งนี้เป็นปัจจัยของสิ่งนี้. ดูก่อน
ภิกษุทั้งหลายนี้ ชื่อว่า ปฏิจจสมุปบาท.
พระผู้มีพระภาคเจ้า เมื่อทรงแสดงปฏิจจสมุปบาทอย่างนี้ จึง
ตรัสว่า ธรรมเป็นปัจจัยนั่นแล ชื่อว่า ปฏิจจสมุปบาท โดยไวพจน์
มีคำว่า ตถาคตความเป็นของจริงแท้เป็นต้น. เพราะฉะนั้น ปฏิจจ-
สมุปบาท๑ จึงมีการเป็นปัจจัยแก่ธรรมทั้งหลายมีชราและมรณะเป็นต้น
เป็นลักษณะ, มีการผูกพันอยู่กับทุกข์เป็นรส, มีการเห็นผิดทางเป็นต้น
อาการปรากฏ, มีปัจจัยพิเศษของตนเป็นปทัฏฐาน เพราะแม้ตนเองก็มี
ปัจจัย.
บทว่า อุปฺปาทา วา อนุปฺปาทา วา ได้แก่ เมื่ออุบัติก็ตาม
เมื่อไม่อุบัติก็ตาม อธิบายว่า เมื่อพระตถาคต แม้อุบัติแล้ว แม้ยังไม่
อุบัติแล้ว ดังนี้.
๑. มีลักขณาทิตจุตกะ ดังนี้.
๑. ชรามรณาทีนํ ปจฺจยลกฺขโณ
๒. ทุกฺขานุพนฺธนรโส
๓. กุมฺมคฺคปจฺจุปฏฺฐาโน
๔. สยมฺปิ สปจฺจยตฺตา อตฺตโน วิเสสปฺปจฺจยปาฏฺฐาโน.

655
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ปฏิสัมภิทามรรค เล่ม ๗ ภาค ๑ – หน้าที่ 656 (เล่ม 68)

บทว่า  ิตา ว สา ธาตุ ได้แก่ สภาพของปัจจัยนั้นยังตั้งอยู่.
อธิบายว่า ในกาลไหน ๆ จะไม่มีปัจจัยของชาติชราและมรณะหามิได้
เลย.
บทว่า ธมฺมฏฺฐิตตา ธมฺมนิยามตา อิทปฺปจฺจยตา - มีชาติเป็น
ปัจจัยนั่นเอง. ธรรมเกิดขึ้นเพราะปัจจัย กล่าวคือ ชราและมรณะ
ย่อมตั้งอยู่ได้ เพราะอาศัยธรรมนั้น เพราะชาติเป็นปัจจัย, ชาติเป็น
ปัจจัย ย่อมกำหนดธรรมคือชราและมรณะ, เพราะฉะนั้น ชาติ ท่าน
กล่าวว่า ธมฺมฏฺฐิตตา ธมฺมนิยามตา ดังนี้. ชาตินั่นแล เป็นปัจจัย
ของชราและมรณะนี้ เพราะฉะนั้น จึงชื่อว่า อิทปฺปจฺจโย, อิทปฺ-
ปจฺจโย นั่นแล ชื่อว่า อิทปฺปจฺจยตา.
บทว่า ตํ คือ ปัจจัยนั้น. บทว่า อภิสมฺพุชฺฌติ คือ ย่อม
ตรัสรู้ด้วยญาณ. บทว่า อภิสเมติ คือ ย่อมบรรลุด้วยญาณ. บทว่า
อาจิกฺขติ คือ ย่อมกล่าว. บทว่า เทเสติ คือ ย่อมแสดง. บทว่า
ปญฺญาเปติ คือ ย่อมให้รู้. บทว่า ปฏิฐเปติ คือ ย่อมตั้งอยู่ในหัวข้อ
คือญาณ. บทว่า วิวรติ คือ ย่อมทรงเปิดเผยแสดง. บทว่า วิภชติ
คือ ย่อมทรงจำแนก. บทว่า อุตฺตานีกโรติ คือ ย่อมทำให้ปรากฏ.
บทว่า อิติ โข คือ ด้วยประการฉะนี้แล. บทว่า ยา ตตฺรุ ได้แก่
ความเป็นของจริงแท้แน่นอนไม่แปรผัน ในบทมีอาทิว่า ชาติปจฺจยา
ชรามรณํ. เพราะชาติเป็นปัจจัย จึงมีชรามรณะ.

656
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ปฏิสัมภิทามรรค เล่ม ๗ ภาค ๑ – หน้าที่ 657 (เล่ม 68)

ปฏิจจสมุปบาทนี้นั้น ท่านกล่าวว่า ตถตา - ความจริงแท้ เพราะ
ธรรมนั้น ๆ เกิดโดยไม่หย่อนไม่ยิ่งด้วยปัจจัยนั้น ๆ, ท่านกล่าว อวิต-
ถตา - ความแน่นอน เพราะไม่มี ความไม่เกิดแห่งธรรมที่เกิดจากธรรม
นั้น แม้ครู่เดียวในปัจจัยที่เข้าถึงความพร้อมเพรียง, ท่านกล่าวว่า
อนญฺญถตา - ความไม่เป็นอย่างอื่น เพราะไม่มีธรรมอื่นเกิดขึ้นด้วย
ปัจจัยแห่งธรรมอื่น, ท่านกล่าวว่า อิทปฺปจฺจยตา - ความเป็นปัจจัย
แห่งธรรมนี้ เพราะเป็นปัจจัยแก่ชราและมรณะเป็นต้นเหล่านั้น หรือ
เพราะเป็นที่รวมปัจจัย.
ในบทนั้นมีอธิบายดังต่อไปนี้ ปัจจัยแห่งธรรมเหล่านั้น ชื่อว่า
อิทปฺปจฺจยา, อิทปฺปจฺจยานั้นแล ชื่อว่า อิทปฺปจฺจยตา, อีกอย่าง
หนึ่ง การรวม อิทปฺปจฺจยา ทั้งหลายชื่อว่า อิทปฺปจฺจยตา. แต่
ในที่นี้ พึงทราบลักษณะโดยอรรถแห่งศัพท์.
จบ อรรถกถาธรรมฐิติญาณนิทเทส
สัมมสนญาณนิทเทส
[๙๙] ปัญญาในการย่อธรรมทั้งหลายทั้งอดีต อนาคตและ
ปัจจุบันแล้วกำหนดไว้ เป็นสัมมสนญาณอย่างไร ?

657
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ปฏิสัมภิทามรรค เล่ม ๗ ภาค ๑ – หน้าที่ 658 (เล่ม 68)

พระโยคาวจรย่อมกำหนดรูปอย่างใดอย่างหนึ่ง ทั้งที่เป็นอดีต
อนาคตและปัจจุบัน เป็นภายในก็ตาม ภายนอกก็ตาม หยาบก็ตาม
ละเอียดก็ตาม เลวก็ตาม ประณีตก็ตาม มีในที่ไกลก็ตาม ในที่ใกล้
ก็ตาม โดยความเป็นของไม่เที่ยง การกำหนดนี้เป็นสัมมสนญาณอย่าง
หนึ่ง กำหนดโดยความเป็นทุกข์ การกำหนดนี้เป็นสัมมสนญาณอย่าง
หนึ่ง กำหนดโดยความเป็นอนัตตา การกำหนดนี้เป็นสัมมสนญาณอย่าง
หนึ่ง พระโยคาวจรย่อมกำหนดเวทนา... สัญญา...สังขาร...วิญญาณอย่าง
ใดอย่างหนึ่ง ทั้งที่เป็นอดีต อนาคตและปัจจุบัน เป็นภายในก็ตาม เป็น
ภายนอกก็ตาม หยาบก็ตาม ละเอียดก็ตาม เลวก็ตาม ประณีตก็ตาม
มีในที่ไกลก็ตาม ในที่ใกล้ก็ตาม โดยความเป็นของไม่เที่ยง การ
กำหนดนี้เป็นสัมมสนญาณอย่างหนึ่ง กำหนดโดยความเป็นทุกข์ การ
กำหนดนี้เป็นสัมมสนญาณหนึ่ง กำหนดโดยความเป็นอนัตตา การ
กำหนดนี้เป็นสัมมสนญาณอย่างหนึ่ง พระโยคาวจรย่อมกำหนดจักษุ
ฯลฯ ชราและมรณะ ทั้งที่เป็นอดีตอนาคตและปัจจุบัน โดยความ
เป็นของไม่เที่ยง การกำหนดนี้เป็นสัมมสนญาณอย่างหนึ่ง กำหนด
โดยความเป็นทุกข์ การกำหนดนี้เป็นสัมมญาณอย่างหนึ่ง กำหนด
โดยความเป็นอนัตตา การกำหนดนี้เป็นสัมมสนญาณอย่างหนึ่ง.
[๑๐๐] ปัญญาในการย่อแล้วกำหนดว่า รูปทั้งที่เป็นอดีต
อนาคตและปัจจุบัน ไม่เที่ยงเพราะอรรถว่าสิ้นไป เป็นทุกข์เพราะอรรถ

658
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ปฏิสัมภิทามรรค เล่ม ๗ ภาค ๑ – หน้าที่ 659 (เล่ม 68)

ว่าน่ากลัว เป็นอนัตตาเพราะอรรถว่าหาแก่นสารมิได้ เป็นสัมมสนญาณ
ปัญญาในการย่อแล้วกำหนดว่า เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ
จักษุ ฯลฯ ชราและมรณะ ทั้งที่เป็นอดีตอนาคตและปัจจุบัน ไม่เที่ยง
เพราะอรรถว่าสิ้นไป เป็นทุกข์เพราะอรรถว่าน่ากลัว เป็นอนัตตา
เพราะอรรถว่าหาแก่นสารมิได้ เป็นสัมมสนญาณ.
[๑๐๑] ปัญญาในการย่อแล้วกำหนดว่า รูปทั้งที่เป็นอดีต
อนาคตและปัจจุบัน ไม่เที่ยง อันปัจจัยปรุงแต่ง อาศัยกันเกิดขึ้น
มีความสิ้นไป เสื่อมไป คลายไป ดับไปเป็นธรรมดา เป็นสัมมสน-
ญาณ ปัญญาในการย่อแล้วกำหนดว่า เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ
จักษุ ฯลฯ ชราและมรณะ ทั้งที่เป็นอดีต อนาคตและปัจจุบัน ไม่
เที่ยง อันปัจจัยปรุงแต่ง อาศัยกันเกิดขึ้น มีความสิ้นไป เสื่อมไป
คลายไป ดับไปเป็นธรรมดา เป็นสัมมสนญาณ.
[๑๐๒] ปัญญาในการย่อแล้วกำหนดว่า เพราะชาติเป็นปัจจัย
จึงมีชราและมรณะ เมื่อชาติไม่มี ชราและมรณะก็ไม่มี เป็นสัมมสน-
ญาณ ปัญญาในการย่อแล้วกำหนดว่า ในอดีตกาลก็ดี ในอนาคตกาล
ก็ดี เพราะชาติเป็นปัจจัย จึงมีชราและมรณะ เมื่อชาติไม่มี ชราและ
มรณะก็ไม่มี เป็นสัมมสนญาณ ปัญญาในการย่อแล้วกำหนดว่า เพราะ
ภพเป็นปัจจัย จึงมีชาติ เมื่อภพไม่มี ชาติก็ไม่มี ฯ ล ฯ เพราะอุปาทาน

659
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ปฏิสัมภิทามรรค เล่ม ๗ ภาค ๑ – หน้าที่ 660 (เล่ม 68)

เป็นปัจจัย จึงมีภพ เมื่ออุปาทานไม่มี ภพก็ไม่มี เพราะตัณหาเป็น
ปัจจัย จึงมีอุปาทาน เมื่อตัณหาไม่มี อุปาทานก็ไม่มี เพราะเวทนา
เป็นปัจจัย จึงมีตัณหา เมื่อเวทนาไม่มี ตัณหาก็ไม่มี เพราะผัสสะ
เป็นปัจจัย จึงมีเวทนา เมื่อผัสสะไม่มี เวทนาก็ไม่มี เพราะสฬายตนะ
เป็นปัจจัย จึงมีผัสสะ เมื่อสฬายตนะไม่มี ผัสสะก็ไม่มี เพราะนาม
รูปเป็นปัจจัย จึงมีสฬายตนะ เมื่อนามรูปไม่มี สฬายตนะก็ไม่มี
เพราะวิญญาณเป็นปัจจัย จึงมีนามรูป เมื่อวิญญาณไม่มี นามรูปก็ไม่มี
เพราะสังขารเป็นปัจจัย จึงมีวิญญาณ เมื่อสังขารไม่มี วิญญาณก็ไม่มี
เพราะอวิชชาเป็นปัจจัย จึงมีสังขาร เมื่ออวิชชาไม่มี สังขารก็ไม่มี
เป็นสัมมสนญาณ ปัญญาในการย่อแล้วกำหนดว่า ในอดีตกาลก็ดี ใน
อนาคตกาลก็ดี เพราะอวิชชาเป็นปัจจัย จึงมีสังขาร เมื่ออวิชชาไม่มี
สังขารก็ไม่มี เป็นสัมมสนญาณ.
ชื่อว่าญาณ เพราะอรรถว่ารู้ธรรมนั้น ชื่อว่าปัญญา เพราะ
อรรถว่ารู้ชัด เพราะเหตุนั้นท่านจึงกล่าวว่า ปัญญาในการย่อธรรม
ทั้งที่เป็นอดีต อนาคตและปัจจุบันแล้วกำหนด เป็นสัมมสนญาณ.
อรรถกถาสัมมสนญาณนิทเทส
๙๙] พึงทราบวินิจฉัย ในสัมมสนญาณนิทเทส ดังต่อไปนี้
บทว่า ยงฺกิญฺจิ คือ กำหนดถือเอาไม่มีเหลือ. บทว่า รูปํ ได้แก่

660
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ปฏิสัมภิทามรรค เล่ม ๗ ภาค ๑ – หน้าที่ 661 (เล่ม 68)

กำหนดโดยความประสงค์ยิ่ง. เป็นอันท่านทำความกำหนดไม่มีเหลือ
แห่งรูป แม้ด้วยบททั้งสองอย่างนี้. เมื่อเป็นเช่นนั้น พระโยคาวจร
ย่อมปรารภการจำแนกด้วยบทมีอาทิว่า อดีต แห่งรูปนั้น. รูปนั้น
บางรูปเป็นอดีต บางรูปมีประเภทเป็นอนาคตเป็นต้น. แม้ในเวทนา
เป็นต้นก็มีนัยนี้. รูป ในบทนั้น ชื่อว่า เป็นอดีต ๔ อย่างด้วยสามารถ
แห่ง กาล การสืบต่อ สมัย และ ขณะ, รูปอนาคตปัจจุบัน
ก็อย่างนั้น.
ในรูปเหล่านั้นพึงทราบด้วยสามารถ กาล ก่อน ได้แก่ รูป
ในอดีตก่อนจากปฏิสนธิ ในภพหนึ่งของรูปหนึ่ง, รูปอนาคต เหนือ
จากจุติ, รูปปัจจุบัน ในระหว่าง รูปอดีต และ อนาคต ทั้งสอง.
พึงทราบรูปด้วยสามารถ สันตติ ได้แก่ รูปปัจจุบันแม้เป็นไปอยู่
ได้ ด้วยการสืบต่อกันมาก่อนมีสมุฏฐานจากอุตุอย่างเดียวกัน เป็นสภาคะ-
กันและมีสมุฏฐานจากอาหารอย่างเดียวกัน. รูปอดีต มีสมุฏฐานจาก
อุตุ และ อาหาร ไม่เป็นสภาคะกันก่อนจากนั้น, รูปอนาคต มีในภาย
หลัง. รูปปัจจุบัน มีสมุฏฐานจากวิถีจิตดวงเดียวกัน ชวนจิตดวงเดียวกัน
และสมาบัติอย่างเดียวกันอันเกิดแต่จิต, รูปอดีต ก่อนจากนั้น, รูป
อนาคต มีในภายหลัง. ประเภทแห่งรูปมีรูปอดีตเป็นต้น ย่อมไม่มี
ด้วยสามารถสันตติ เฉพาะอย่างแห่งกรรมสมุฏฐาน. พึงทราบความที่รูป

661
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ปฏิสัมภิทามรรค เล่ม ๗ ภาค ๑ – หน้าที่ 662 (เล่ม 68)

นั้น มีรูปอดีตเป็นต้น ด้วยสามารถการอุปถัมภ์แห่งสมุฏฐานจากอุตุอา-
หารและจิต เหล่านั้น.
พึงทราบด้วยสามารถ สมัย ได้แก่ รูป อันมีสมัยนั้น ๆ เป็น
ไปด้วยสามารถการสืบต่อกันในสมัยทั้งหลายมีครู่หนึ่งเวลาเช้าเวลาเย็น
กลางคืนและกลางวันเป็นต้น ชื่อว่า รูปปัจจุบัน. ก่อนจากนั้นเป็น
อดีต, หลังจากนั้นเป็นอนาคต.
พึงทราบด้วยสามารถ ขณะ รูปปัจจุบันเนื่องด้วย ๓ ขณะ
มีอุปาทะเป็นต้น, ต่อจากนั้นเป็นอนาคต, หลังจากนั้นเป็นอดีต.
อีกอย่างหนึ่ง รูปอดีตมีกิจอันเป็นเหตุปัจจัยล่วงไปแล้ว, รูปปัจจุบัน
มีกิจอันเป็นเหตุจบแล้ว และมีกิจอันเป็นปัจจัยจบแล้ว, รูปอนาคตถึง
พร้อมด้วยกิจทั้งสอง. หรือว่า รูปปัจจุบันเกิดในขณะกิจของตน, รูป
อนาคต ต่อจากนั้น, รูปอดีตหลังจากนั้น. อนึ่ง ในบทนี้ กถามีขณะ
เป็นต้น เป็นกถาตรง ที่เหลือเป็นกถาอ้อม.
บทว่า อชฺฌตฺตํ ได้แก่ ในขันธ์แม้ ๕ อย่าง ในที่นี้ท่าน
ประสงค์รูปภายในของตนเอง, เพราะฉะนั้น พึงทราบว่า รูปเฉพาะ
บุคคลเป็นไปในสันดานของตน ๆ ชื่อว่า อชฺฌตฺตํ.
รูปภายนอกจากนั้นอันเนื่องด้วยอินทรีย์ก็ตาม ไม่เนื่องด้วย
อินทรีย์ก็ตาม ชื่อว่า พหิทฺธา.

662
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ปฏิสัมภิทามรรค เล่ม ๗ ภาค ๑ – หน้าที่ 663 (เล่ม 68)

บทว่า โอฬาริกํ ได้แก่ รูป ๑๒ อย่าง คือ จักขุ โสตะ
ฆานะ ชิวหา กาย รูป เสียง กลิ่น รสและโผฏฐัพพะ ได้แก่
ปฐวีธาตุ เตโชธาตุ วาโยธาตุ ชื่อว่า โอฬาริก เพราะควรถือเอาด้วย
สามารถการสืบต่อกัน. ส่วนรูปที่เหลือ ๑๖ อย่าง คือ อาโปธาตุ อิตถิน-
ทรีย์ ปุริสินทรีย์ ชีวิตินทรีย์ หทยวัตถุ โอชา อากาสธาตุ กายวิญญัตติ
วจีวิญญัตติ รูปัสสลหุตา มุทุตา กัมมัญญตา อุปจยะ สันตติ ชรดา
อนิจจตา ชื่อว่า สุขุม เพราะไม่ควรถือเอาด้วยสามารถการสืบต่อ.
พึงทราบความทรามและความประณีต ในบทนี้ว่า หีนํ วา ปณีตํ
วา โดยอ้อมหรือโดยตรง. ในบทนั้น รูปของพรหมชั้นสุทัสสี เป็นรูป
ทรามกว่ารูปของพรหมชั้นอกนิษฏฐ์ รูปพรหมชั้นสุทัสสีนั้นนั่น
แหละประณีตกว่ารูปของพรหมชั้นสุทัสสา พึงทราบความทรามและ
ความประณีต โดยปริยายตลอดถึงรูปของสัตว์นรก. รูปที่เป็นอกุศลวิบาก
เกิดขึ้นเป็นรูปทราม, รูปที่เป็นกุศลวิบากเกิดขึ้นเป็นรูปประณีต.
พึงทราบความในบทว่า ยํ ทูเร สนฺติเก วา นี้ รูปใด สุขุม
รูปนั้นแล ชื่อว่า ทูเร เพราะมีสภาวะที่แทงตลอดได้ยาก. รูปใด
หยาบ รูปนั้นชื่อว่า สนฺติเก เพราะมีสภาวะที่แทงตลอดได้ง่าย.
พึงทราบความในบทนี้ว่า สพฺพํ รูปํ อนิจฺจโต ววตฺเถติ เอกํ
สมฺมสนํ, ทุกฺขโต ววตฺเถติ เอกํ สมฺมสนํ, อนตฺตโต ววตฺเถติ
เอกํ สมฺมสนํ - ภิกษุกำหนดรูปทั้งปวงโดยความเป็นของไม่เที่ยง การ

663
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ปฏิสัมภิทามรรค เล่ม ๗ ภาค ๑ – หน้าที่ 664 (เล่ม 68)

กำหนดนี้เป็นสัมมสนญาณอย่างหนึ่ง, กำหนดโดยความเป็นทุกข์เป็น.
สัมมสนญาณอย่างหนึ่ง, กำหนดโดยความเป็นอนัตตา เป็นสัมมสน-
ญาณอย่างหนึ่ง ความว่า ภิกษุนี้ กำหนดุรูปแม้ทั้งหมดที่ท่านชี้แจง
ไว้โดยมิได้กำหนดแน่นอนอย่างนี้ว่า ยงฺกิญฺจิ รูปํ - รูปอย่างใดอย่าง
หนึ่งโดยการปรากฏ ๑๑ อย่าง คือด้วยรูปอตีตติกะ - ติกะในอดีต และ
ด้วยทุกะมีอัชฌัตตะเป็นต้น ๔ แล้วกำหนดรูปทั้งปวงโดยความเป็นของ
ไม่เที่ยงย่อมพิจารณาว่า อนิจฺจํ ดังนี้. พิจารณาอย่างไร ? พิจารณาโดยนัย
ดังกล่าวแล้วข้างหน้า.
๑๐๐] ดังที่พระสารีบุตรได้กล่าวไว้ว่า รูปํ อตีตานาคต-
ปจฺจุปฺปนฺนํ อนิจฺจํ ขยฏฺเฐน๑ - รูปที่เป็นอดีต อนาคต ปัจจุบัน ชื่อว่า
ไม่เที่ยง เพราะอรรถว่าสิ้นไป. เพราะฉะนั้น ภิกษุนั้นย่อมพิจารณาว่า
รูปที่เป็นอดีตสิ้นไปในอดีตนั่นแล, รูปนั้นยังไม่มาถึงภพนี้ เพราะเหตุ
นั้น จึงชื่อว่า อนิจฺจํ เพราะอรรถว่าสิ้นไป, รูปที่เป็นอนาคตจักเถิด
ในภพเป็นลำดับไป, แม้รูปนั้นก็จักในรูปในภพนั้น จักไม่ไปสู่ภพอื่น
จากภพนั้น เพราะเหตุนั้น จึงชื่อว่า อนิจฺจํ เพราะอรรถว่าสิ้นไป,
รูปที่เป็นปัจจุบันย่อมสิ้นไปในปัจจุบันนั่นเอง, ย่อมไม่ไปจากนี้ เพราะ
เหตุนั้น จึงชื่อว่า อนิจฺจํ เพราะอรรถว่าสิ้นไป, รูปที่เป็นภายในก็
๑. ขุ. ป. ๓๑/๑๐๐.

664