No Favorites




หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ปฏิสัมภิทามรรค เล่ม ๗ ภาค ๑ – หน้าที่ 9 (เล่ม 68)

อรรถกถาปฏิสัมภิทามรรค
ชื่อสัทธรรมปกาสินี ในขุททกนิกาย
ภาคที่ ๑
คันถารัมภกถา
พระผู้มีพระภาคเจ้าพระองค์ใด ทรงพระ-
คุณครบถ้วนล้วนแล้วด้วยความงามทุกสิ่งล่วงเสีย
ซึ่งความงามของโลกทั้งปวง ทรงพ้นจากกิเลส
มลทินเป็นเครื่องประทุษร้ายพร้อมทั้งวาสนา ทรง
ประทานวิมุตติธรรมอันล้ำเลิศ.
พระองค์ทรงมีพระทัยเยือกเย็นดุจความ
เย็นแห่งไม้จันทน์ กล่าวคือพระกรุณาอยู่เป็นนิจ
ทรงพระปัญญาโชติช่วงดังดวงระวี มีธรรมเป็น
เครื่องแนะนำสัตว์ ข้าพเจ้า*ขอน้อมอภิวาทพระผู้-
มีพระภาคเจ้าพระองค์นั้น ซึ่งเป็นผู้เลิศในหมู่สัตว์
ผู้เป็นที่พึ่งในประโยชน์แก่ปวงสัตว์ด้วยเศียรเกล้า
๑. พระมหานามเถระ.

9
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ปฏิสัมภิทามรรค เล่ม ๗ ภาค ๑ – หน้าที่ 10 (เล่ม 68)

บรรดาพระมหาเถระผู้พุทธชิโนรสมีจำนวน
เป็นอนันต์, พระมหาเถระองค์ใดเป็นประดุจดัง
พระมุนีผู้เลิศในหมู่สัตว์ทั้งปวง ได้เป็นผู้กระทำ
ตามลีลาแห่งพระศาสดา ในการบำเพ็ญประโยชน์
เกื้อกูลแก่ชุมชนด้วยคุณกล่าวคือกรุณาและปัญญา
ญาณ.
ข้าพเจ้าขอนมัสการพระเถระองค์นั้น ผู้มี
นามว่า สารีบุตร ผู้มุนีราชบุตร ผู้ยินดียิ่งใน
เสถียรคุณเป็นอเนก ผู้รุ่งเรืองด้วยแสงสว่างแห่ง
ปัญญามีเกียรติงามฟุ้งขจรไป และมีจริยาวัตสงบ
งาม.
วิศิษฐปาฐะคือพระบาลีอันใดอันพระสาวก
ผู้สัทธรรมเสนาบดีผู้ประกาศพระสัทธรรมจักรผู้เข้า
ถึงความแจ่มแจ้ง ในอรรถะตามความเป็นจริงใน
พระสูตรทั้งหลาย ที่พระตถาคตเจ้าได้ตรัสไว้แล้ว
ผู้นำในการยังธรรมประทีปให้โชติช่วง กล่าว
วิศิษฐปาฐะนั้นไว้ โดยนามอันวิเศษว่า ปฏิสมฺ-
ภิทานํ มคฺโค แปลว่า แห่งปฏิสัมภิทาทั้ง-
หลาย.

10
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ปฏิสัมภิทามรรค เล่ม ๗ ภาค ๑ – หน้าที่ 11 (เล่ม 68)

ปฏิสัมภิทามรรคนั้น เป็นปกรณ์อัน
ละเมียดละมัยด้วยอรรถะและนยะต่าง ๆ อย่างวิจิตร
อันบัณฑิตผู้มุ่งบำเพ็ญอัตตัตถะประโยชน์ตนและ
โลกัตถะประโยชน์แก่ชาวโลก มีปัญญาลึกซึ้งจะ
พึงหยั่งรู้ได้ในกาลทุกเมื่อ และสาธุชนทั้งหลายจะ
พึงซ่องเสพอยู่เป็นนิจ.
ข้าพเจ้าจะพรรณนาเนื้อความที่ไม่ซ้ำกันไป
ตามลำดับ ไม่ก้าวล่วงสุตตะและยุตติแห่งปฏิสัม-
ภิทามรรคปกรณ์นั้น อันนำมาซึ่งประเภทแห่งญาณ
อันพระโยคาวจรทั้งหลายเป็นอเนกซ่องเสพแล้ว
โดยไม่เหลือ.
อนึ่งนั้นเล่าก็จะไม่ก้าวล่วงลัทธิของตนและ
จะไม่ก้าวก่ายลัทธิของผู้อื่น แต่จะรวบรวมเอา
อุปเทสและนยะแห่งอรรถกถาแต่ปางก่อนมาแสดง
ตามสมควร.
ข้าพเจ้าจะกล่าวอรรถกถาชื่อสัทธรรมปกาสินี
นั้นโดยเคารพ เพื่อประโยชน์เกื้อกูลแก่ชุมชน
เพื่อความดำรงมั่นแห่งพระสัทธรรมตลอดกาลนาน
ขอสาธุชนสัตบุรุษจงตั้งใจสดับทรงจำไว้เถิด.

11
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ปฏิสัมภิทามรรค เล่ม ๗ ภาค ๑ – หน้าที่ 12 (เล่ม 68)

ความที่ปฏิสัมภิทามรรคเป็นมรรคาแห่งปฏิสัมภิทา ข้าพเจ้าต้อง
กล่าวก่อน เพราะได้กล่าวไว้แล้วในคันถารัมภกถาว่า ปฏิสมฺภิทานํ
มคฺโคติ ตนฺนามวิเสสิโต จ แปลว่า ซึ่งวิศิษฐปาฐะนั้น โดยนาม
อันวิเศษว่า ปฏิสัมภิทามรรค.
ก็ปฏิสัมภิทามี ๔ คือ
๑. อรรถปฏิสัมภิทา ปัญญาแตกฉานในอรรถ,
๒. ธรรมปฏิสัมภิทา ปัญญาแตกฉานในธรรม,
๓. นิรุตติปฏิสัมภิทา ปัญญาแตกฉานในนิรุตติ,
๔. ปฏิภาณปฏิสัมภิทา ปัญญาแตกฉานในปฏิภาณ.
ทางคืออุบายเป็นเครื่องบรรลุปฏิสัมภิทาเหล่านั้น ฉะนั้นจึงชื่อ
ว่า ปฏิสัมภิทามรรค, มีคำอธิบายท่านกล่าวไว้ว่า เป็นเหตุแห่งการ
ได้เฉพาะซึ่งปฏิสัมภิทา.
หากจะมีปุจฉาว่า ทางนี้เป็นทางแห่งปฏิสัมภิทาได้ เพราะ
เหตุไร ? ก็พึงมีวิสัชนาว่า เพราะเป็นเทสนาที่พระผู้มีพระภาคเจ้า
ทรงแสดงโดยประเภท เป็นเทสนาอันนำมาซึ่งปฏิสัมภิทาญาณ
จริงอยู่ ธรรมทั้งหลายมีประเภทต่าง ๆ เทสนาก็มีประเภทต่าง ๆ
ย่อมให้เกิดประเภทแห่งปฏิสัมภิทาญาณ แก่พระอริยบุคคลทั้งหลายผู้
สดับฟัง และเป็นปัจจัยแก่การแตกฉานในปฏิสัมภิทาญาณแก่ปุถุชน
ต่อไปในอนาคต ก็ท่านกล่าวคำนี้ไว้ว่า เทสนาโดยประเภทย่อมนำมา

12
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ปฏิสัมภิทามรรค เล่ม ๗ ภาค ๑ – หน้าที่ 13 (เล่ม 68)

ซึ่งปฏิสัมภิทาญาณเป็นเครื่องทำลายฆนสัญญาเสียได้ ดังนี้. ก็เทสนา
ประเภทต่าง ๆ นี้มีอยู่, เพราะเหตุนั้น เทสนานั้น จึงเป็นเทสนาให้
สำเร็จความเป็นบรรดาแห่งปฏิสัมภิทาทั้งหลาย.
บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า จตสฺโส เป็นบทกำหนดจำนวน.
บทว่า ปฏิสมฺภิทา ได้แก่ ปัญญาเป็นเครื่องแตกฉาน. เป็น
ปัญญาเครื่องแตกฉานของญาณเท่านั้น หาใช่เป็นความแตกฉานของ
ใคร ๆ อื่นไม่ เพราะท่านได้กล่าวไว้ว่า ความรู้ในอรรถ ชื่อว่าอรรถ
ปฏิสัมภิทา, ความรู้ในธรรมชื่อว่า ธรรมปฏิสัมภิทา, ความรู้ในโวหาร
แห่งภาษาอันกล่าวถึงอรรถและธรรมะ ชื่อว่า นิรุตติปฏิสัมภิทา, ความ
รู้ในญาณทั้งหลาย๑ ชื่อว่าปฏิภาณปฏิสัมภิทา. เพราะฉะนั้น คำว่า
จตสฺโส ปฏิสมุภิทา จึงมีความว่า ประเภทแห่งญาณ ๔ ประการ.
ญาณอันถึงความแตกฉานในอรรถ สามารถทำการกำหนด
สัลลักขณะและวิภาวนะของประเภทแห่งผล ชื่อว่า อรรถปฏิสัมภิทา.
ญาณอันถึงความแตกฉานในธรรม สามารถทำการกำหนด
สัลลักขณะและวิภาวนะของประเภทแห่งเหตุ ชื่อว่า ธรรมปฏิสัมภิทา.
ญาณอันถึงความแตกฉานในนิรุตติ สามารถทำการกำหนด
สัลลักขณะและวิภาวนะของประเภทแห่งนิรุตติ ชื่อว่า นิรุตติปฏิสัมภิทา.
๑. ญาณทั้ง ๓ เบื้องต้น คือ อรรถะ, ธรรมะ และนิรุตติ.

13
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ปฏิสัมภิทามรรค เล่ม ๗ ภาค ๑ – หน้าที่ 14 (เล่ม 68)

ญาณอันถึงความแตกฉานในปฏิภาณ สามารถทำการกำหนด
สัลลักษณะและวิภาวนะของประเภทแห่งปฏิภาณ ชื่อว่า ปฏิภาณปฏิ-
สัมภิทา.
บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า อตฺโถ ว่าโดยสังเขป ได้แก่ผล
อันเกิดแต่เหตุ. จริงอยู่ ผลอันเกิดแต่เหตุนั้น ย่อมเกิด คือบรรลุถึง
ตามครรลองแห่งเหตุ ฉะนั้นท่านจึงเรียกว่าอรรถะ. แต่เมื่อว่าโดย
ประเภทแล้ว ธรรม ๕ ประการเหล่านี้คือ ธรรมอันเกิดแต่ปัจจัย
( ปจฺจยสมุปฺปนฺนํ ) อย่างใดอย่างหนึ่ง ๑. นิพพาน ๑. อรรถกถา
แห่งพระบาลีอันพระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสแล้ว ๑. วิปากจิต ๑. กิริยาจิต
๑. บัณฑิตพึงทราบว่า อรรถะ. ญาณอันถึงความแตกฉานในอรรถะนั้น
ของพระอริยบุคคลผู้พิจารณาอรรถะนั้นอยู่ ชื่อว่า อรรถปฏิสัมภทา.
บทว่า ธมฺโม ว่าโดยสังเขป ได้แก่ ปัจจัย. จริงอยู่ปัจจัยนั้น
ย่อมให้ คือย่อมให้เป็นไปและย่อมให้ถึงซึ่งผลนั้น ๆ จะนั้นท่านจึงเรียก
ว่า ธรรมะ. แต่เมื่อว่าโดยประเภทแล้ว ธรรม ๕ ประการเหล่านี้คือ
เหตุให้เกิดผลอย่างใดอย่างหนึ่ง ๑. อริยมรรค ๑. พระบาลีอันพระผู้มี
พระภาคเจ้าตรัสแล้ว ๑. กุศลจิต ๑. อกุศลจิต ๑. บัณฑิตพึงทราบว่า
ธรรม. ญาณอันถึงความแตกฉานในธรรมนั้นของพระอริยบุคคลผู้
พิจารณาธรรมนั้นอยู่ ชื่อว่า ธรรมปฏิสัมภิทา.

14
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ปฏิสัมภิทามรรค เล่ม ๗ ภาค ๑ – หน้าที่ 15 (เล่ม 68)

จริงอยู่ เนื้อความดังต่อไปนี้มาในพระอภิธรรมปิฎกท่านแสดง
จำแนกไว้โดยนัยเป็นต้นว่า :-
ความรู้แตกฉานในทุกข์ ชื่อว่า อรรถปฏิ-
สัมภิทา, ความรู้แตกฉานในทุกขสมุทัย ชื่อว่า
ธรรมปฏิสัมภิทา, ความรู้แตกฉานในทุกขนิโรธ
ชื่อว่า อรรถปฏิสัมภิทา, ความรู้แตกฉานในทุกข-
นิโรขคามินีปฏิปทา ชื่อว่า ธรรมปฏิสัมภิทา, ความ
รู้แตกฉานในเหตุ ชื่อว่า ธรรมปฏิสัมภิทา, ความรู้
แตกฉานในผลอันเกิดแต่เหตุ ชื่อว่า อรรถปฏิ-
สัมภิทา.
ธรรมเหล่าใด เกิดแล้ว มาแล้ว เกิดพร้อม
แล้ว บังเกิดแล้ว บังเกิดเฉพาะแล้ว ปรากฏแล้ว,
ความรู้แตกฉานในธรรมเหล่านี้ ชื่อว่า อรรถปฏิ-
สัมภิทา, ธรรมเหล่านั้น เกิดแล้ว มีแล้ว เกิด
พร้อมแล้ว บังเกิดแล้ว บังเกิดเฉพาะแล้ว ปรากฏ
แล้ว จากธรรมเหล่าใด ความรู้แตกฉานในธรรม
เหล่านั้น ชื่อว่า ธรรมปฏิสัมภิทา.

15
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ปฏิสัมภิทามรรค เล่ม ๗ ภาค ๑ – หน้าที่ 16 (เล่ม 68)

ความรู้แตกฉานในชรามรณะ ชื่อ อรรถ-
ปฏิสัมภิทา, ความรู้แตกฉานในเหตุเกิดแห่งชรา-
มรณะ ชื่อว่า ธรรมปฏิสัมภิทา, ความรู้แตกฉาน
ในความดับแห่งชรามรณะ ชื่อว่า อรรถปฏิสัมภิทา,
ความรู้แตกฉานในปฏิปทาอันเป็นเหตุให้ถึงความ
ดับแห่งชรามรณะ ชื่อว่า ธรรมปฏิสัมภิทา.
ความรู้แตกฉานในชาติ ฯลฯ ความรู้แตก
ฉานในภพ ฯลฯ ความรู้แตกฉานในอุปาทาน ฯลฯ
ความรู้แตกฉานในตัณหา ฯลฯ ความรู้แตกฉาน
ในเวทนา ฯลฯ ความรู้แตกฉานในผัสสะ ฯลฯ
ความรู้แตกฉานในสฬายตนะ ฯลฯ ความรู้แตก
ฉานในนามรูป ฯลฯ ความรู้แตกฉานในวิญญาณ
ฯลฯ ความรู้แตกฉานในสังขารทั้งหลาย ชื่อว่า
อรรถปฏิสัมภิทา. ความรู้แตกฉานในเหตุเกิดแห่ง
สังขาร ชื่อว่า ธรรมปฏิสัมภิทา, ความรู้แตกฉาน
ในความดับแห่งสังขาร ชื่อว่า อรรถปฏิสัมภิทา,
ความรู้แตกฉานในปฏิปทาอันเป็นเหตุให้ถึงความ
ดับแห่งสังขาร ชื่อว่า ธรรมปฏิสัมภิทา.

16
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ปฏิสัมภิทามรรค เล่ม ๗ ภาค ๑ – หน้าที่ 17 (เล่ม 68)

ภิกษุในธรรมวินัยนี้ ย่อมรู้แตกฉานซึ่ง
ธรรม คือ สุตตะ เคยยะ เวยยากรณะ คาถา
อุทาน อิติวุตตกะ ชาตกะ อัพภูตธรรมะ เวทัลละ
นี้เรียกว่า ธรรมปฏิสัมภิทา, ภิกษุนั้นย่อมรู้แตก
ฉานในอรรถแห่งภาษิตนั้น ๆ ว่า นี้เป็นอรรถแห่ง
ภาษิตนี้, นี้เป็นอรรถแห่งภาษิตนั้น นี้เรียกว่า
อรรถปฏิสัมภิทา.
สภาวธรรมทั้งหลายที่เป็นกุศลเป็นไฉน ?
กามาวจรกุศลจิต เกิดพร้อมด้วยโสมนัส
ประกอบด้วยปัญญา มีรูปเป็นอารมณ์ ฯลฯ มี
ธรรมเป็นอารมณ์ หรือปรารภอารมณ์ใด ๆ เกิดขึ้น
ในสมัยใด ผัสสะ ฯลฯ อวิกเขปะ มีในสมัยนั้น
ธรรมเหล่านี้ ชื่อว่า สภาวธรรมทั้งหลายที่เป็นกุศล.
ความรู้แตกฉานในธรรมเหล่านี้ ชื่อว่า ธรรมปฏิ-
สัมภิทา, ความรู้แตกฉานในวิบากแห่งธรรมเหล่า
นั้น ชื่อว่า อรรถปฏิสัมภิทา.
คำว่า ตตฺร ธมฺมนิรุตฺตาภิลาเป ญาณํ ความว่า ความรู้
แตกฉานในคำพูด คำกล่าว คำที่เปล่งถึงสภาวนิรุตติอันเป็นโวหารที่ไม่

17
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ปฏิสัมภิทามรรค เล่ม ๗ ภาค ๑ – หน้าที่ 18 (เล่ม 68)

ผิดเพี้ยนทั้งในอรรถและในธรรมนั้น, ในคำพูดอันเป็นสภาวนิรุตติ
ของพระอริยบุคคลผู้ทำสภาวนิรุตติศัพท์ที่เขาพูดแล้ว กล่าวแล้ว เปล่ง
ออกแล้ว ให้เป็นอารมณ์แล้ว พิจารณาอยู่. ในมาคธีมูลภาษาของสัตว์
ทั้งหลายอันเป็นสภาวนิรุตติ เพราะสภาวนิรุตตินั้นบัณฑิตรับรองว่า
เป็นธรรมนิรุตติอย่างนี้ว่า นี้เป็นสภาวนิรุตติ, นี้มิใช่สภาวนิรุตติ
ชื่อว่า นิรุตติปฏิสัมภิทา.
ด้วยประการฉะนี้ นิรุตติปฏิสัมภิทานี้ ชื่อว่า มีสัททะคือ เสียง
เป็นอารมณ์ มิได้มีบัญญัติเป็นอารมณ์. เพราะเหตุไร ? เพราะพระ-
อริยบุคคลได้ยินเสียงแล้วย่อมรู้ว่า นี้เป็นสภาวนิรุตติ, นี้มิใช่สภาว-
นิรุตติ. จริงอยู่ พระอริยบุคคลผู้บรรลุนิรุตติปฏิสัมภิทา ครั้นเขาพูด
ว่า ผัสโส ก็ย่อมรู้ว่า นี้เป็นสภาวนิรุตติ, ครั้นเขาพูดว่า
ผสฺสา หรือ ผสฺสํ ก็ย่อมรู้ว่า นี้มิใช่สภาวนิรุตติ แม้ใน
สภาวธรรมทั้งหลายมีเวทนาเป็นต้น ก็นัยนี้เหมือนกัน.
ถามว่า ก็พระอริยบุคคลผู้บรรลุนิรุตติปฏิสัมภิทานี้จะรู้หรือไม่
รู้คำอื่น คือเสียงแหงพยัญชนะอันกล่าวถึงนาม, อาขยาต, อุปสัค,
และนิบาต.
ตอบว่า พระอริยบุคคลผู้บรรลุนิรุตติปฏิสัมภิทานั้น ครั้นได้
ยินเสียงแล้วก็รู้ว่า นี้เป็นสภาวนิรุตติ, นี้มิใช่สภาวนิรุตติ ด้วย
เหตุสำคัญอันใด, ก็จักรู้คำนั้นด้วยเหตุสำคัญอันนั้น, แต่ข้อนี้มีผู้กล่าว

18