No Favorites




หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ชาดก เล่ม ๔ ภาค ๓ – หน้าที่ 548 (เล่ม 64)

นำสองพระกุมารไปเป็นทาสรับใช้ของนางพราหมณี.
พระศาสดาตรัสว่า
[๑๑๖๙] ลำดับนั้น พระกุมารทั้งสอง คือ พระ
ชาลี และพระกัณหาชินาได้สดับคำของชูชก ผู้หยาบ
ช้า ตกพระทัยกลัว จึงพากันเสด็จวิ่งหนีไปในที่นั้น ๆ
พระมหาสัตว์ตรัสว่า
[๑๑๗๐] ดูก่อนพ่อชาลีลูกรัก มานี่เถิด ลูกทั้ง
สองจงยังบารมีของพ่อให้เต็ม จงช่วยโสรจสรงหทัย
ของพ่อให้เย็นฉ่ำ จงทำตามคำของพ่อ ขอเจ้าทั้งสอง
จงเป็นดังยานนาวาของพ่อ อันไม่หวั่นไหวในสาคร
คือภพ พ่อจักข้ามซึ่งฝั่งคือชาติ จักยังสัตว์โลกพร้อม
ทั้งทวยเทพให้ข้ามด้วย ดูก่อนลูกกัณหามานี่เถิด เจ้า
เป็นธิดาที่รัก ทานบารมีก็เป็นที่รักของพ่อ จงช่วย
โสรจสรงหทัยของพ่อให้เย็นฉ่ำ ขอจงทำตามคำของ
พ่อ ขอเจ้าทั้งสองจงเป็นยานนาวาของพ่อ อันไม่
หวั่นไหวในสาครคือภพ พ่อจักข้ามซึ่งฝั่ง คือชาติ
จักช่วยสัตวโลกพร้อมทั้งทวยเทพให้ข้ามด้วย.
พระศาสดาตรัสว่า
[๑๑๗๑] ลำดับนั้น พระเวสสันดรผู้ผดุงสีพีรัฐ
ให้เจริญ ทรงพาพระกุมารทั้งสอง คือ พระชาลีและ
พระกัณหาชินา มาพระราชทานให้เป็นปุตตกทานแก่
พราหมณ์ ลำดับนั้น พระเวสสันดรผู้ผดุงสีพีรัฐให้

548
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ชาดก เล่ม ๔ ภาค ๓ – หน้าที่ 549 (เล่ม 64)

เจริญ ทรงพาพระกุมารทั้งสอง คือ พระชาลีและ
พระกัณหาชินา มาพระราชทานให้แก่พราหมณ์ มี
พระหฤทัยชื่นบานในปุตตกทานอันอุดม ในครั้งนั้น
เมื่อพระเวสสันดรราชฤาษี พระราชทานพระกุมารทั้ง
สอง ก็บังเกิดมีความบันลือลั่นน่าสะพึงกลัว ขนพอง
สยองเกล้า เมทนีดลก็หวั่นไหว พระเวสสันดรเจ้าผู้
ผดุงสีพีรัฐให้เจริญ ทรงประคองอัญชลี พระราชทาน
สองพระกุมารผู้เจริญด้วยความสุขให้เป็นทานแก่
พราหมณ์ ก็บังเกิดมีความบันลือลั่น น่าสะพึงกลัวขน
พองสยองเกล้า.
[ ๑๑๗๒] ลำดับนั้น พราหมณ์ผู้หยาบช้านั้น เอา
ฟันกัดเถาวัลย์ให้ขาดแล้ว เอามาผูกพระหัตถ์ พระ-
กุมารทั้งสอง ฉุดกระชากลากมา แต่นั้นพราหมณ์นั้น
จับเถาวัลย์ถือไม้เท้าทุบตีพระกุมารทั้งสองนำไป เมื่อ
พระเวสสันดรสีพีราช กำลังทอดพระเนตรอยู่.
[๑๑๗๓] ลำดับนั้น สองพระกุมารพอหลุดพ้น
จากพราหมณ์ก็รีบวิ่งหนีไป พระเนตรทั้งสองนองไป
ด้วยน้ำอัสสุชล พระชาลีชะเง้อมองดูพระบิดา ทรง
ถวายบังคมพระยุคลบาทของพระบิดา พระวรกายสั่น
ระริกดังใบโพธิ์ ทรงถวายบังคมพระยุคลบาทพระบิดา
แล้วได้กราบทูลว่า ข้าแต่พระชนกนาถ ก็พระมารดา
เสด็จออกไปป่า และพระบิดาทอดพระเนตรเห็นแต่

549
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ชาดก เล่ม ๔ ภาค ๓ – หน้าที่ 550 (เล่ม 64)

กระหม่อมฉัน ข้าแต่พระชนกนาถ ขอพระองค์ทรง
ทอดพระเนตรเกล้ากระหม่อมฉันทั้งสองอยู่ก่อน จน
กว่าเกล้ากระหม่อมฉันทั้งสองได้เห็นพระมารดา ข้าแต่
พระชนกนาถ พระมารดาเสด็จออกไปป่า ขอพระ-
บิดาทอดพระเนตรกระหม่อมฉันทั้งสองอยู่ก่อน ข้าแต่
พระชนกนาถ ขอพระองค์อย่าเพิ่งพระราชทานเกล้า
กระหม่อมฉันทั้งสอง จนกว่าพระชนนีของเกล้ากระ-
หม่อมฉันจะเสด็จกลับมา เมื่อนั้น พราหมณ์นี้จักขาย
หรือจักฆ่าก็ตามปรารถนา พราหมณ์ผู้หยาบช้านี้
ประกอบด้วยบุรุษโทษ ประการ คือ มีเท้าคดทู่
ตะแคง ๑ เล็บเน่า ๑ ปลีน่องย่อยยาน ๑ ริมฝีปาก
บนยาว ๑ น้ำลายไหลยืด ๑ เขี้ยวงอกออกเหมือน
เขี้ยวหมู ๑ จมูกหักฟุบ ๑ ท้องพลุ้ยดังหม้อ ๑ หลัง
ค่อม ๑ ตาข้างหนึ่งเล็กข้างหนึ่งใหญ่ ๑ หนวดแดง ๑
ผมบางเหลือง ๑ หนังย่นเป็นเกลียวตัวตกกระ ๑ ตา
เหลือง ๑ คดสามแห่ง คือ ที่สะเอวหลังและคอ ๑
ขากาง ๑ เดินดังกฏะกฏะ ๑ ขนตามตัวยาวและหยาบ
๑ นุ่งห่มหนังเสือเป็นอมนุษย์น่ากลัวเหลือเกินเป็น
มนุษย์หรือยักษ์มีเนื้อและเลือดเป็นเครื่องบริโภค ออก
จากบ้านมาสู่ป่า มาขอทรัพย์คือบุตรกะพระองค์ ลูก
ทั้งสองกำลังถูกพราหมณ์ปีศาจนำไป ข้าแต่พระชนก-
นาถ กระไรหนอฝ่าพระบาททรงนิ่งเฉยอยู่ได้ พระ

550
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ชาดก เล่ม ๔ ภาค ๓ – หน้าที่ 551 (เล่ม 64)

หฤทัยของพระชนกนาถปานดังหนึ่งหิน หรือดังว่า
ยึดมั่นด้วยพืดเหล็ก พระองค์ช่างไม่ทรงรู้สึกถึงลูกทั้ง
สอง ซึ่งถูกพราหมณ์ผู้แสวงหาทรัพย์หยาบคาย ผูก
มัด แกเฆี่ยนตีลูกทั้งสอง เหมือนนายโคบาลตีโค
ฉะนั้น ขอให้น้องกัณหาจงอยู่ ณ ที่นี้แหละ เธอไม่รู้
จักความทุกข์อะไรๆ เมื่อเธอไม่เห็นพระมารดาก็จะ
คร่ำครวญหาเหมือนลูกเนื้อที่ยังดื่มนมพลัดจากฝูง ไม่
เห็นแม่ก็จะร่ำไห้คร่ำครวญ ฉะนั้น.
[๑๑๗๔] ทุกข์นี้ไม่ใช่ทุกข์ที่แท้จริงของลูก
เพราะทุกข์เช่นนี้อันลูกชายพึงได้รับ ส่วนทุกข์อันใด
ที่ลูกจักไม่ได้เห็นพระมารดา ทุกข์นั้นของลูกเป็นทุกข์
ยิ่งกว่าทุกข์ ที่ถูกตาพราหมณีเฆี่ยนตี ทุกข์นี้ไม่ใช่
ทุกข์ที่แท้จริงของลูก เพราะทุกข์เช่นนี้อันลูกชายพึง
ได้รับ ส่วนทุกข์อันใดที่ลูกจักไม่ได้เห็นพระบิดา
ทุกข์นั้นของลูกเป็นทุกข์ยิ่งกว่า ทุกข์ที่ถูกตาพราหมณ์
เฆี่ยนตี พระมารดาจักเป็นกำพร้าเสียแน่แท้ เมื่อไม่
ได้ทรงเห็นกัณหาชินากุมารีผู้มีดวงตางาม ก็จักทรง
กรรแสงไห้หาตลอดราตรีนาน พระบิดาจักเป็นกำพร้า
เสียเป็นแน่แท้เมื่อไม่ได้ทรงเห็นกัณหาชินากุนารีผู้มี
ดวงตางาม ก็จักทรงกรรแสงไห้หาตลอดราตรีนาน
พระมารดาจักเป็นกำพร้าเสียแน่แท้ เมื่อไม่ได้ทรงเห็น
กัณหาชินากุมารี ผู้มีดวงตางาม ก็จักทรงกรรแสงไห้

551
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ชาดก เล่ม ๔ ภาค ๓ – หน้าที่ 552 (เล่ม 64)

อยู่ในอาศรมช้านาน พระบิดาจักเป็นกำพร้าเสียแน่แท้
เมื่อไม่ได้เห็นกัณหาชินากุมาร ผู้มีดวงตางาม ก็จักทรง
กรรแสงไห้อยู่ในอาศรมช้านาน พระมารดาจักเป็น
กำพร้าเสียแน่แท้ จักทรงกรรแสงไห้อยู่ตลอดราตรี
นาน ทรงระลึกถึงเราทั้งสองตลอดครึ่งคืนหรือตลอด
คืน จักทรงซูบซีดเหี่ยวแห้งไป เหมือนแม่น้ำน้อยใน
ฤดูแล้งเหือดแห้งไป ฉะนั้น พระบิดาจักเป็นกำพร้า
เสียแน่แท้ ทรงกรรแสงไห้อยู่ตลอดราตรีนาน ทรง
ระลึกถึงเราทั้งสองตลอดครั้งคืนหรือตลอดคืนก็จัก
ทรงซูบซีดเหี่ยวแห้งไป เหมือนแม่น้ำน้อยในฤดูแล้ง
เหือดแห้งไป ฉะนั้น รุกขชาติเหล่านี้มีต่าง ๆ พันธุ์
คือ ต้นหว้า ต้นยางทราย กิ่งห้อยย้อย เราเคยเล่น
มาแต่กาลก่อน วันนี้เราทั้งสองจะต้องละรุกขชาติ
เหล่านั้น ซึ่งเราเคยเก็บดอกและผลเล่นมาช้านาน
รุกขชาติที่มีผลต่าง ๆ ชนิด คือ โพธิ์ใบ ขนุน ไทร
และมะขวิด ที่เราเคยเล่นมาในกาลก่อน วันนี้เราทั้ง
สองจะต้องละรุกขชาติที่เราเคยเก็บผลกินมาช้านาน นี้
สวน นี่สระน้ำเย็นใส เราเคยเที่ยวเป็นเคยลงสรง
สนานมาแต่กาลก่อน วันนี้เราทั้งสองจะต้องละสวน
และสระนั่นไป บุปผชาติต่าง ๆ ชนิดบนภูเขาโน้น เรา
เคยเก็บมาทัดทรงในกาลก่อน วันนี้เราจะต้องละบุปผ-
ชาติเหล่านั้นไป นี่ตุ๊กตาช้าง ตุ๊กตาม้า ตุ๊กตาวัว

552
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ชาดก เล่ม ๔ ภาค ๓ – หน้าที่ 553 (เล่ม 64)

พระบิดาทรงปั้นเพื่อให้เราทั้งสองเล่น เราเคยเล่นมา
ในกาลก่อน วันนี้เราทั้งสองจะต้องละตุ๊กตาเหล่านั้น.
พระศาสดาตรัสว่า
[๑๑๗๕] สองพระกุมารอันชูชกกำลังพาไป ได้
กราบทูลสั่งพระบิดาดังนี้ว่า ข้าแต่พระชนกนาถ ขอ
พระองค์ได้ทรงพระกรุณาตรัสบอกพระมารดาว่าลูกทั้ง
สองไม่มีโรค และขอพระองค์จงทรงพระสำราญ ตุ๊กตา
ช้าง ตุ๊กตาม้า ตุ๊กตาวัว เหล่านี้ของกระหม่อมฉันขอ
พระองค์โปรดประทานแก่พระเจ้าแม่ ความโศกเศร้า
จะพินาศเพราะตุ๊กตาเหล่านั้น และพระมารดาได้ทอด
พระเนตรเห็นตุ๊กตาช้าง ตุ๊กตาม้า และตุ๊กตาวัวของ
ลูกเหล่านั้น จักห้ำหั่นความโศกให้เสื่อมหาย.
[๑๑๗๖] ลำดับนั้น พระเวสสันดรขัตติยราช
ครั้นทรงบำเพ็ญทานแล้ว เสด็จเข้าบรรณศาลาทรง
กรรแสงพิลาปว่า วันนี้ลูกน้อยทั้งสองจะหิวข้าวอยาก
น้ำอย่างไรหนอ จะต้องเดินทางไกล ร้องไห้สะอึก
สะอื้น เวลาเย็นบริโภคอาหาร ใครจะให้อาหารแก่
ลูกทั้งสองนั้น วันนี้ลูกน้อยทั้งสองจะหิวข้าวอยากน้ำ
อย่างไรหนอ จะต้องเดินทางไกลร้องไห้สะอึกสะอื้น
เวลาเย็นเป็นเวลาบริโภคอาหาร ลูกทั้งสองเคยอ้อน
กะมัทรีผู้มารดาว่า ข้าแต่พระเจ้าแม่ ลูกทั้งสองหิว
แล้ว ขอพระเจ้าแม่จงประทานแก่ลูกทั้งสอง ลูกทั้ง
สองไม่มีรองเท้า จะเดินทางเท้าเปล่าอย่างไรได้ ลูก

553
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ชาดก เล่ม ๔ ภาค ๓ – หน้าที่ 554 (เล่ม 64)

ทั้งสองจะเมื่อยล้า มีบาทาฟกบวมใครจะจูงมือลูกทั้ง
สองเดินทาง อย่างไรหนอพราหมณ์นั้นช่างร้ายกาจไม่
ละอาย เฆี่ยนตีลูกทั้งสองผู้ไม่ประทุษร้ายต่อหน้าเรา
แม้ตกเป็นทาสีเป็นทาสของเรา หรือคนรับใช้ใครที่มี
ความละอายจักเฆี่ยนตีคนที่ต่ำทรามแม้เช่นนั้นได้
พราหมณ์ช่างด่าช่างตีลูกรักทั้งสองของเราผู้มองเห็น
อยู่ซึ่งเป็นเหมือนดังปลาติดอยู่ที่ปากลอบปากไซ
ฉะนั้น.
พระเวสสันดรทรงพระปริวิตกว่า
[๑๑๗๗] เราจักถือธนูด้วยมือขวา หรือจักเหน็บ
พระขรรค์ไว้ข้างซ้ายไปนำเอาลูกทั้งสองของเรามา
เพราะลูกทั้งสองถูกเฆี่ยนตีเป็นทุกข์หนัก การที่ลูกน้อย
ทั้งสองต้องเดือดร้อนเป็นทุกข์แสนสาหัสไม่ใช่ฐานะ
ก็ใคร่เล่ารู้ธรรมของสัตบุรุษแล้วให้ทานย่อมเดือดร้อน
ในภายหลัง.
พระชาลีกุมารทรงรำพันว่า
[๑๑๗๘] ได้ยินว่า นรชนบางพวกในโลกนี้ พูด
ความจริงไว้อย่างนี้ว่า ลูกคนใดไม่มีมารดาของตน
ลูกคนนั้นเป็นเหมือนไม่มีบิดา น้องกัณหามานี่เถิด เรา
ทั้งสองจัดตายด้วยกัน เราทั้งสองจะเป็นอยู่ทำไมไม่มี
ประโยชน์ พระบิดาผู้เป็นจอมประชานิกรประทาน

554
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ชาดก เล่ม ๔ ภาค ๓ – หน้าที่ 555 (เล่ม 64)

เราทั้งสองแก่พราหมณ์ ผู้แสวงหาทรัพย์ เป็นคนร้าย
กาจเหลือเกิน แกเฆี่ยนตีเราทั้งสอง เสมือนนายโคบาล
ประหารโค ฉะนั้น รุกขชาติเหล่านี้มีต่าง ๆ พันธุ์คือ
ต้นหว้า ต้นยางทราย กิ่งห้อยย้อย เราเคยเล่นมาแต่
กาลก่อน วันนี้เราทั้งสองจะต้องละรุกขชาติเหล่านั้น
ซึ่งเคยเก็บดอกและผลเล่นมาช้านาน รุกขชาติที่มีผล
ต่าง ๆ ชนิด คือ โพธิ์ใบ ขนุน ไทร และมะขวิด ที่เรา
เคยเล่นในกาลก่อน วันนี้เราทั้งสองจะต้องละรุกข-
ชาติที่เราเคยเก็บผลกันมาช้านาน นี่สวน นี่สระน้ำ
เย็นใส เราเคยเที่ยวเล่นเคยลงสรงสนานมาแต่กาลก่อน
วันนี้เราทั้งสองจะต้องละสวนและสระเหล่านั้นไป
บุปผชาติต่าง ๆ ชนิด บนภูเขาโน่น เราเคยเก็บมาทัด
ทรงในกาลก่อน วันนี้เราต้องละบุปผชาติเหล่านั้นไป
นี้ตุ๊กตาช้าง ตุ๊กตาม้า ตุ๊กตาวัว พระบิดาทรงปั้น
เพื่อให้เราทั้งสองเล่น เราเคยเล่นในกาลก่อน วันนี้
เราทั้งสองจะต้องละตุ๊กตาเหล่านั้นไป.
พระศาสดาตรัสว่า
[๑๑๗๙] พระกุมารทั้งสอง คือ พระชาลีและ
กัณหาชินา อันชูชกพราหมณ์นำไป พอหลุดพ้นจาก
มือพราหมณ์ ต่างก็วิ่งหนีไปในสถานที่นั้น ๆ.
[๑๑๘๐] ลำดับนั้น พราหมณ์นั้นจับเถาวัลย์ถือ
ไม้เท้า ทุบตีพระกุมารทั้งสองนำไป เมื่อพระเวสสันดร
สีพีราชกำลังทอดพระเนตรเห็นอยู่.

555
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ชาดก เล่ม ๔ ภาค ๓ – หน้าที่ 556 (เล่ม 64)

[๑๑๘๑] พระกัณหาชินาได้กราบทูลพระบิดาว่า
ข้าแต่พระบิดาพราหมณ์นี้ทุบตีลูกด้วยไม้เท้า ดังว่าทุบ
ตีทาสผู้เกิดในเรือนเบี้ย ข้าแต่พระบิดา ก็พราหมณ์
นี้คงไม่ใช่พราหมณ์ทั้งหลาย ผู้ตั้งอยู่ในธรรม คงเป็น
ยักษ์แปลงเพศเป็นพราหมณ์ นำเอาลูกทั้งสองไปเพื่อ
จะกินเป็นอาหาร ลูกทั้งสองถูกพราหมณ์ปีศาจกำลัง
นำไป ข้าแต่พระบิดา ช่างกระไรเลย
นิ่งเฉยอยู่ได้.
พระกัณหากุมารีทรงรำพันว่า
[๑๑๘๒] เท้าของเราทั้งสองนี้เล็กเป็นทุกข์ ทั้ง
หนทางก็ไกลยากที่จะเดินไปได้ เมื่อพระอาทิตย์คล้อย
ต่ำลง พราหมณ์เล่าก็เร่งเราทั้งสองให้รีบเดิน ข้าพเจ้า
ทั้งสอง ขอคร่ำครวญกราบไหว้เทพเจ้าทั้งหลายผู้สิง
สถิตอยู่ ณ ภูเขาลำเนาไพร ในสระน้ำและบ่อน้ำอันมี
ท่าราบเรียบด้วยเศียรเกล้า ขอเทพเจ้าผู้สถิตอยู่ ณ ป่า
หญ้าลดาวัลย์ และต้นไม้ที่เป็นโอสถ บนภูเขาที่ป่าไม้
จงช่วยกันกราบทูลพระชนนีว่า ข้าน้อยทั้งสองนี้ไม่มี
โรค พราหมณ์นี้นำเอาข้าทั้งสองไป อนึ่ง ขอท่านทั้ง
หลายจงกราบทูลพระเจ้าแม่มัทรีราชชนนีของข้าน้อย
ทั้งสองว่า ถ้าพระแม่เจ้าปรารถนาจะเสด็จติดตามมา
ก็พึงรีบเสด็จติดตามข้าน้อยทั้งสองมาเร็วพลัน ทางนี้
เป็นทางเดินคนเดียวตัดตรงไปยังอาศรม พระมารดา
พึงเสด็จไปตามทางนั้นก็จะทันได้เห็นลูกทั้งสอง โดย

556
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ชาดก เล่ม ๔ ภาค ๓ – หน้าที่ 557 (เล่ม 64)

เร็วพลัน โอ้หนอ พระเจ้าแม่ผู้ทรงเพศดาบสินี ทรง
นำมูลผลาหารมาจากป่า ได้ทรงเห็นอาศรมอันว่าง
เปล่า ก็จักทรงมีทุกข์ พระมารดาเที่ยวแสวงหามูล-
ผลาหารจนล่วงเวลา คงได้มาไม่น้อย คงไม่ทรงทราบ
ว่าลูกทั้งสองถูกพราหมณ์ ผู้แสวงหาทรัพย์หยาบช้า
ร้ายกาจผูกมัดเฆี่ยนตีดังหนึ่งนายโคบาลทุกตีโคฉะนั้น
เออก็วันนี้ ลูกทั้งสองพึงได้เห็นพระมารดาเสด็จกลับมา
จากการแสวงหามูลผลาหารในเวลาเย็น พระมารดาพึง
ประทานผลไม้อันเจือด้วยน้ำผึ้งแก่พราหมณ์ ในกาล-
นั้น พราหมณ์นี้หิวกระหายไม่พึงเร่งให้เราทั้งสองเดิน
นัก เท้าทั้งสองของเราฟกบวมหนอ พราหมณ์ก็เร่งให้
เรารีบเดิน พระกุมารทั้งสองทรงรักใคร่ ในพระ
มารดา ทรงกรรแสงพิลาปอยู่ ณ ที่นั้นด้วยประการ
ดังนี้.
จบกุมารบรรพ
พระศาสดาตรัสว่า
[๑๑๘๓] เทวดาเหล่านั้นได้ฟังสองพระกุมารทรง
พิลาปร่ำรำพันแล้ว จึงได้กล่าวกะเทพบุตรทั้ง ๓ ว่า
ท่านทั้ง ๓ จงแปลงเพศเป็นสัตว์ดุร้ายในป่า คือ เป็น
ราชสีห์ ๑ เสือโคร่ง เสือเหลือง ๑ อย่าให้พระราช
บุตรีเสด็จกลับจากการแสวงหามูลผลาหารในเวลาเย็น
ได้ ท่านทั้งหลายอย่าให้สัตว์ร้ายในป่าอันเป็นแว่น

557