No Favorites




หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ชาดก เล่ม ๔ ภาค ๓ – หน้าที่ 448 (เล่ม 64)

จงยกข้าพเจ้าขึ้นโดยเร็ว ถ้าท่านมีกิจที่ต้องทำ
ด้วยหทัยของข้าพเจ้า ข้าพเจ้าจะแสดงสาธุนรธรรมทั้ง
ปวงนี้แก่ท่านในวันนี้.
ปุณณกยักษ์ได้ฟังดังนั้น จึงดำริว่า ได้ยินว่า ธรรมนี้จักเป็นธรรมที่
บัณฑิตยังมิเคยแสดงแก่เทวดาและมนุษย์ทั้งหลาย เอาเถอะเราจักยกบัณฑิตขึ้น
ฟังสาธุนรธรรมเสียก่อน ดังนี้แล้วจึงยกพระมหาสัตว์ขึ้นเชิญให้นั่งบนยอดเขา
บรรพต
พระศาสดาเมื่อจะประกาศเนื้อความนั้นจึงตรัสพระคาถาว่า
ปุณณกยักษ์นั้น รีบยกวิธุรบัณฑิตอำมาตย์ผู้
ประเสริฐที่สุดของชาวกุรุรัฐวางลงบนยอดเขา เห็น
วิธุรบัณฑิตผู้มีปัญญาไม่ทรามนั่งอยู่ จึงถามว่าท่านอัน
ข้าพเจ้ายกขึ้นจากเหวแล้ว วันนี้ข้าพเจ้ามีกิจที่จะต้อง
ทำด้วยหทัยของท่าน ท่านจงแสดงสาธุนรธรรมทั้งหมด
นั้นให้ปรากฏแก่ข้าพเจ้าในวันนี้.
บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า อสฺสฎฺฐํ แปลว่า เป็นผู้ได้ความโล่งใจ.
บทว่า สเมกฺขิยาน แปลว่า เห็นแล้ว. บทว่า สาธุ นรสฺส ธมฺมา
ได้แก่ ธรรมดีของนรชน คือ ธรรมงาม.
พระมหาสัตว์จึงกล่าวว่า
ข้าพเจ้าอันท่านยกขึ้นจากเหวแล้ว ถ้าท่านมีกิจที่
จะต้องทำด้วยหทัยของข้าพเจ้า ข้าพเจ้าจะแสดงสาธุ-
นรธรรมทั้งหมดนี้แก่ท่านในวันนี้.
บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า สมุฏฺฐิโต๑ ตฺยสฺมิ ความว่า ข้าพเจ้า
เป็นผู้อันท่านยกขึ้นแล้ว.
๑. บาลีว่า สมุทฺธโต.

448
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ชาดก เล่ม ๔ ภาค ๓ – หน้าที่ 449 (เล่ม 64)

ลำดับนั้นพระมหาสัตว์พูดกับปุณณกยักษ์นั้นว่า ข้าพเจ้าเป็นผู้มีสรีระ
อันเศร้าหมอง จะขออาบน้ำชำระกายเสียก่อน ปุณณกยักษ์รับคำว่า ดีละ แล้วไป
นำน้ำสำหรับอาบมา ในเวลาพระมหาสัตว์อาบน้ำเสร็จ ได้ให้ผ้าทิพย์ของหอม
และดอกไม้ทิพย์ แก่พระมหาสัตว์ พระมหาสัตว์บริโภคโภชนาหารแล้วให้
ประดับยอดกาฬาคีรีบรรพตและตกแต่งอาสนะแล้ว จึงนั่งบนอาสนะที่ปุณณก-
ยักษ์ประดับแล้ว เมื่อจะแสดงสาธุนรธรรมจึงได้กล่าวคาถาว่า
ดูก่อนมาณพ ท่านจงเดินไปตามทางที่ท่านเดิน
ไปแล้ว ๑ จงอย่าเผาฝ่ามืออันชุ่ม ๑ อย่าประทุษร้ายใน
หมู่มิตร ในกาลไหน ๆ ๑ อย่าตกอยู่ในอำนาจของ
หญิงอสติ ๑.
บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า อลฺลญฺจ ปาณึ ปริวชฺชยสฺสุ ความ
ว่า ท่านจงอย่าเผาฝ่ามือที่ชุ่มเสีย.
ปุณณกยักษ์ไม่อาจหยั่งรู้สาธุนรธรรม ๔ ข้อที่พระมหาสัตว์แสดงโดย
ย่อได้จึงถามโดยพิศดารว่า
บุคคลผู้ชื่อว่า เป็นผู้เดินไปตามทางที่ท่านเดินไป
แล้วอย่างไร บุคคลผู้ชื่อว่าเผาฝ่ามืออันชุ่มอย่างไร
บุคคลเช่นไร ชื่อว่าประทุษร้ายมิตร หญิงเช่นไรชื่อ
ว่าอสติ ข้าพเจ้าถามแล้ว ขอท่านจงบอกเนื้อความนั้น.
ฝ่ายพระมหาสัตว์ได้แสดงสาธุนรธรรมแก่ปุณณกยักษ์ว่า
ผู้ใดพึงเชื้อเชิญคนที่ไม่คุ้นเคยกัน ไม่เคยพบเห็น
กันด้วยอาสนะ บุรุษพึงกระทำประโยชน์แก่บุคคลนั้น
โดยแท้ บัณฑิตทั้งหลายกล่าวบุรุษนั้นว่า ผู้เดินไป
ตามทางที่ท่านเดินแล้ว บุคคลพึงอยู่ในเรือนของผู้ใด

449
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ชาดก เล่ม ๔ ภาค ๓ – หน้าที่ 450 (เล่ม 64)

แม้คืนเดียว ได้ข้าวน้ำด้วย ไม่ควรคิดร้ายแก่ผู้นั้นแม้
ด้วยใจ ผู้คิดร้ายต่อบุคคลเช่นนั้น ชื่อว่าเผาฝ่ามืออัน
ชุ่มและชื่อว่าประทุษร้ายมิตร บุคคลนั่งหรือนอนที่ร่ม
เงาของต้นไม้ใด ไม่ควรหักรานกิ่งของต้นไม้นั้น เพราะ
ผู้ประทุษร้ายมิตรเป็นคนชั่วช้า หญิงที่สามียกย่องอย่าง
ดี ถึงแก่ให้แผ่นดินนี้อันบริบูรณ์ด้วยทรัพย์ ได้โอกาส
แล้วพึงดูหมิ่นสามีนั้นได้ บุคคลไม่ควรตกอยู่ในอำนาจ
ของหญิงเหล่านั้น ผู้ชื่อว่าอสติ บุคคลชื่อว่าเดินไป
ตามทางที่ท่านเดินแล้วอย่างนี้ ชื่อว่าเผาฝ่ามืออันชุ่ม
อย่างนี้ ชื่อว่าตกอยู่ในอำนาจของหญิงผู้ชื่อว่าอสติ
อย่างนี้ ชื่อว่าประทุษร้ายมิตรอย่างนี้ ท่านจงเป็นผู้ตั้ง
อยู่ในธรรม จงละอธรรมเสีย.
บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า อสณฺฐตํ ความว่า ไม่เคยอยู่ร่วมกัน
แม้เพียงหนึ่งหรือสองวัน . บทว่า โย อาสเนนาปิ ความว่า ผู้ใดไม่พึงเชื้อเชิญ
ผู้ไม่คุ้นเคยกันเห็นปานนี้ แม้ด้วยอาสนะ จะป่วยกล่าวไปใยถึงการเชื้อเชิญด้วย
ข้าวและน้ำเล่า. บทว่า ตสฺเสว ความว่า เป็นบุรุษย่อมทำประโยชน์ตอบแทน
แก่ปุพพการีบุคคลนั้นโดยแท้. บทว่า ยาตานุยายี ความว่า บัณฑิตทั้งหลาย
ย่อมกล่าวอย่างนี้ว่า เป็นผู้เดินตามทางที่ปุพพการีบุคคลเดินไปแล้ว ก็ผู้กระทำ
ก่อนชื่อว่าผู้เดินทาง ส่วนผู้กระทำภายหลังชื่อว่าผู้เดินตาม ดูก่อนเทวราชเจ้า
นี้ชื่อว่า สาธุนธรรมที่ ๑. บทว่า อลฺลญฺจ ปาณึ ความว่า จริงอยู่ บุคคล
เผาเฉพาะมือเครื่องใช้สอยของตนที่นำภัตตาหารมาแต่ไกล ชื่อว่าเป็นผู้ประทุษ-
ร้ายมิตร. ชื่อว่าการไม่เผามืออันชุ่ม นี้ชื่อว่าสาธุนรธรรมที่ ๒ ด้วยประการ
ฉะนี้. บทว่า น ตสฺส ความว่า ไม่พึงทำลายกิ่ง ใบ หน่อของต้นไม้นั้น

450
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ชาดก เล่ม ๔ ภาค ๓ – หน้าที่ 451 (เล่ม 64)

เพราะเหตุไร เพราะผู้ประทุษร้ายต่อมิตรเป็นผู้ลามก ดังนั้นผู้ทำชั่วแม้ต่อ
ต้นไม้ที่ไม่มีเจตนา ที่ได้บริโภคและอาศัยร่มเงา ชื่อว่า เป็นผู้ประทุษร้ายต่อ
มิตร จะป่วยกล่าวไปไยถึงผู้เป็นมนุษย์. การไม่ประทุษร้ายต่อมิตรอย่างนี้
ชื่อว่า สาธุนรธรรมที่ ๓. บทว่า ทชฺชิตฺถิยา ความว่า พึงให้แก่หญิง.
บทว่า สมฺมตาย ความว่า หญิงที่สามียกย่องด้วยดีอย่างนี้ว่า เราเท่านั้นจะให้
ความสุขแม้แก่หญิงนี้ ชายอื่นไม่เป็นเหมือนเราเลย หญิงนั้นย่อมปรารถนา
แต่เราเท่านั้น. บทว่า ลทฺธา ขณํ ความว่า ได้โอกาสแห่งการล่วงเกิน. บทว่า
อสตีนํ ได้แก่ หญิงผู้ประกอบด้วยอสัทธรรม ดังนั้นการอาศัยมาตุคามแล้ว
ไม่กระทำความชั่ว นี้ชื่อว่า สาธุนรธรรมที่ ๔. บทว่า โส ธมฺมิโก โหหิ
ความว่า ดูก่อนเทวราชเจ้า ท่านนั้นเป็นผู้ประกอบด้วยสาธุนรธรรม ๔ เหล่านี้
ชื่อว่าเป็นผู้ตั้งอยู่ในธรรมแล.
พระมหาสัตว์แสดงสาธุนรธรรมแก่ปุณณกยักษ์ ด้วยพุทธลีลาด้วย
ประการฉะนี้. ปุณณกยักษ์เมื่อฟังสาธุนรธรรม ๔ ประการนั้นแหละ กำหนด
ใจว่า บัณฑิตขอชีวิตของตนในที่ ๔ สถานและรู้สึกความผิดของตนได้ว่า ก็
บัณฑิตนี้ได้กระทำสักการะเราที่ตนไม่คุ้นเคยในกาลก่อน เราได้เสวยใหญ่
อยู่ในเรือนของบัณฑิตนั้นตลอด ๓ วัน แต่เมื่อเราจะทำกรรมชั่วเช่นนี้ลงไป
ก็เพราะอาศัยมาตุคามจึงกระทำ หากว่าเราประทุษร้ายต่อบัณฑิต ชื่อว่าประทุษ-
ร้ายมิตรแม้ในที่ทุกสถานทีเดียว จัดว่าไม่ประพฤติตามสาธุนรธรรมเราจะ
ประโยชน์อะไรด้วยนาคมาณวิกา เราจักเช็ดหน้าอันเต็มด้วยน้ำตาของชนชาว
อินทปัตตนครให้เบิกบาน นำบัณฑิตนี้ไปส่งโดยเร็ว ให้ลงที่โรงธรรมสภา
ดำริดังนี้แล้วจึงกล่าวคาถาว่า
ข้าพเจ้าได้อยู่ในเรือนท่าน ๓ วัน ทั้งเป็นผู้ที่
ท่านบำรุงด้วยข้าวและน้ำ ท่านเป็นผู้พ้นจากข้าพเจ้า

451
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ชาดก เล่ม ๔ ภาค ๓ – หน้าที่ 452 (เล่ม 64)

ข้าพเจ้าขอปล่อยท่าน ดูก่อนผู้มีปัญญาอันสูงสูด เชิญ
ท่านกลับไปเรือนของท่านตามปรารถนาเถิด ความต้อง
การของตระกูลพระยานาคจะเสื่อมไปก็ตามที่ เหตุที่
จะให้ได้นางนาคกัญญาข้าพเจ้าเลิกละ ดูก่อนท่านผู้มี
ปัญญา เพราะคำสุภาษิตของตนนั่นแล ท่านจึงพ้นจาก
ข้าพเจ้าผู้จะฆ่าท่านในวันนี้.
บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า อุปฏฐิโตสฺมิ ความว่า เราเป็นผู้อัน
ท่านบำรุงแล้ว. บทว่า วิสชฺชามหํ ตํ ความว่า ข้าพเจ้าย่อมปล่อยท่าน.
บทว่า กามํ แปลว่า โดยส่วนเดียว. บทว่า วธาย แปลว่า เพื่อจะฆ่า. บทว่า
ปญฺญ แปลว่า ดูก่อนท่านผู้มีปัญญา.
ครั้งนั้น พระมหาสัตว์กล่าวกะปุณณกยักษ์นั้นว่า ดูก่อนมาณพ ท่าน
อย่าเพ่อส่งข้าพเจ้าไปเรือนก่อนเลย จงนำข้าพเจ้าไปยังนาคพิภพโน่นเถิด จึง
กล่าวคาถาว่า
ดูก่อนปุณณกยักษ์ เชิญท่านนำข้าพเจ้าไปใน
สำนักของพ่อตาของท่าน จงประพฤติประโยชน์ใน
ข้าพเจ้า แม้ข้าพเจ้าก็อยากเห็นท้าววรุณผู้เป็นอธิบดี
ของนาคและวิมานของท้าวเธอซึ่งข้าพเจ้าไม่เคยเห็น.
บรรดาบทเหล่านั้น ศัพท์ว่า หนฺท เป็นนิบาตใช้ในอรรถแห่งอุปสรรค.
บทว่า สสุรนฺติเก อตฺถํ มยิ จรสฺสุ ความว่า จงนำข้าพเจ้าไปยังสำนัก
ของพ่อตาของท่าน จงประพฤติประโยชน์ในข้าพเจ้า คืออย่ายังประโยชน์นั้นให้
เสียหาย. บทว่า นาคาธิปตีวิมานํ ความว่า ข้าพเจ้าควรจะเห็นท้าววรุณผู้
เป็นอธิบดีแห่งนาคและวิมานของท้าวเธอ ซึ่งข้าพเจ้าไม่เคยเห็น.

452
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ชาดก เล่ม ๔ ภาค ๓ – หน้าที่ 453 (เล่ม 64)

ปุณณกยักษ์กล่าวคาถาว่า
คนมีปัญญา ไม่ควรจะดูสิ่งที่ไม่เป็นไปเพื่อ
ประโยชน์เกื้อกูลแก่นรชนนั้นเลย ดูก่อนท่านผู้มี
ปัญญาอันสูงสุด เออก็เพราะเหตุไรหนอท่านจึง
ปรารถนาจะไปยังที่อยู่ของศัตรูเล่า.
บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า อมิตฺตคามํ ความว่า เป็นที่อยู่ของศัตรู
คือสมาคมของอมิตร.
ลำดับนั้น พระมหาสัตว์กล่าวกะปุณณกยักษ์นั้นว่า
แม่ข้าพเจ้าก็รู้ชัด ซึ่งข้อที่ผู้มีปัญญาไม่ควรเห็น
สิ่งที่ไม่เป็นไป เพื่อประโยชน์เกื้อกูลแก่นรชนนั้นแน่
แท้ แต่ข้าพเจ้า ไม่มีความชั่วที่จะกระทำไว้ในที่ ๆ
ไหนเลย เพราะฉะนั้น ข้าพเจ้าจึงไม่รังเกียจต่อความ
ตายอันจะมาถึงตน.
บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า มรณาคมาย ความว่า ต่อมรณะที่จะมา
ถึงตน. ดูก่อนเทวราชเจ้า อีกอย่างหนึ่งท่านเป็นคนหยาบช้ากล้าแข็งถึงเพียงนี้
ข้าพเจ้าเล้าโลมด้วยธรรมกถาทำให้อ่อนโยนได้ ดังท่านพูดกับข้าพเจ้าเมื่อกี้นี้เอง
ว่า เราจะหยุดด้วยการพยายามให้ได้นางนาคมาณวิกา จะได้หรือไม่ได้ก็ตามที่
ไม่ต้องการละ เชิญท่านกลับไปเรือนของตนเถิดดังนี้ การทำพระยานาคให้
อ่อนโยน เป็นหน้าที่ของข้าพเจ้า ท่านจงพาข้าพเจ้าไปในนาคพิภพนั้นให้ได้.
ปุณณกยักษ์ ได้สดับดังนั้น รับคำของพระมหาสัตว์ว่า ดีละ แล้ว
กล่าวคาถาว่า
ดูก่อนบัณฑิต เชิญเถิด ท่านกับข้าพเจ้ามาไป
ดูพิภพของพระยานาคราช ซึ่งมีอานุภาพหาที่เปรียบ

453
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ชาดก เล่ม ๔ ภาค ๓ – หน้าที่ 454 (เล่ม 64)

มิได้ เป็นที่อยู่อันมีการฟ้อนรำขับร้องตามปรารถนา
เหมือนนิฬิญญราชธานี เป็นที่ประทับอยู่ของท้าวเวส-
วัณ ฉะนั้น นาคพิภพนั้น เป็นที่ไปเที่ยวเล่นเป็น
หมู่ ๆ ลงนางนาคกัญญา ตลอดวันและคืนเป็นนิตย์
มีดอกไม้ดารดาษอยู่มากมายหลายชนิด สว่างไสวดัง
สายฟ้าในอากาศ บริบูรณ์ด้วยข้าวและน้ำ เพียบ
พร้อมด้วยการฟ้อนรำขับร้องและประโคม พร้อมมูล
ไปด้วยนางนาคกัญญาที่ประดับประดาสวยงาม งาม
สง่าไปด้วยผ้านุ่งห่มและเครื่องประดับ.
บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า หนฺท จ นี้ เป็นเพียงนิบาตเท่านั้น.
บทว่า ฐานํ ได้แก่ สถานที่เป็นที่ประทับของพระนาค. บทว่า นิฬิญฺญํ
ได้แก่ ราชธานีชื่อว่า นิฬิญญา. บทว่า จริตํ คเณน ความว่า ที่ประทับ
ของพระยานาคนั้น เป็นที่ ๆ หมู่นางนาคกัญญาเที่ยวไป. บทว่า นิกีฬิตํ
ความว่า อันเหล่านางนาคกัญญาเที่ยวเล่นเป็นหมู่ตลอดวันและคืนเป็นนิตย์.
พระศาสดาเมื่อทรงประกาศเนื้อความนั้น จึงตรัสพระคาถาว่า
ปุณณกยักษ์นั้น เชิญให้วิธุรบัณฑิตผู้ประเสริฐ
สุดของชาวกุรุ นั่งเหนืออาสนะข้างหลัง ได้พาวิธุร-
บัณฑิตผู้มีปัญญาไม่ทรามเข้าไปสู่ภพของพระยานาค-
ราช วิธุรบัณฑิตได้สถิตอยู่ข้างหลังแห่งปุณณกยักษ์
จนถึงพิภพของพระยานาคซึ่งมีอานุภาพหาเปรียบมิได้
ก็พระยานาคทอดพระเนตรเห็นลูกเขยผู้มีความจงรัก
ภักดี ได้ตรัสทักทายปราศรัยก่อนทีเดียว.

454
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ชาดก เล่ม ๔ ภาค ๓ – หน้าที่ 455 (เล่ม 64)

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า โส ปุณฺณโก ความว่า ดูก่อนภิกษุทั้ง
หลาย ปุณณกยักษ์นั้น พรรณนานาคพิภพอย่างนี้แล้ว จึงยกบัณฑิตผู้ประเสริฐ
ขึ้นสู่ม้าอาชาไนยของตน นำไปสู่นาคพิภพ. บทว่า ฐานํ ได้แก่ สถานที่
เป็นที่ประทับของพระยานาค. บทว่า ปจฺฉโต ความว่า ได้ยินว่า ปุณณกยักษ์
ได้มีความคิดอย่างนี้ว่า ถ้าว่าพระยานาคทอดพระเนตรเห็นบัณฑิตแล้ว จักมี
พระทัยอ่อนน้อม นั่นเป็นการดี หากว่าท้าวเธอไม่มีพระทัยอ่อนน้อมเล่า เมื่อ
ท้าวเธอไม่ทันทอดพระเนตรบัณฑิตนั้น เราจักยกบัณฑิตขึ้นสู่ม้าอาชาไนยไปเสีย
ลำดับนั้น จึงพักเธอไว้ข้างหลัง. ด้วยเหตุนั้นท่านจึงกล่าวว่า เบื้องหลังแห่ง
ปุณณกยักษ์ดังนี้. บทว่า สามคฺคิเปกฺขิ ความว่า เพ่งถึงความสามัคคี.
บาลีว่า สามํ อเปกฺขิ ดังนี้ก็มี. ส่วนพระยานาคทอดพระเนตรเห็นปุณณก-
ยักษ์ลูกเขยของตน จึงได้ตรัสทักทายปราศรัยก่อนทีเดียว.
พระยานาคตรัสเป็นคาถาว่า
ท่านได้ไปยังมนุษยโลก เที่ยวแสวงหาดวงหทัย
ของบัณฑิต กลับมาถึงในนาคพิภพนี้ด้วยความสำเร็จ
หรือ หรือว่าท่านได้พาเอาบัณฑิตผู้มีปัญญาไม่ต่ำทราม
มาด้วย.
บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า กจฺจิ สมิทฺเธน ความว่า ท่านได้ไป
ยังมนุษยโลกแล้ว กลับมาในนาคพิภพนี้ด้วยความสำเร็จตามมโนรถของท่าน
หรือ.
ปุณณกยักษ์ทูลว่า
ท่านผู้นี้แหละ คือวิธุรบัณฑิต ที่พระองค์ทรง
ปรารถนานั้น มาแล้วพระเจ้าข้า ท่านวิธุรบัณฑิตผู้
รักษาธรรม ข้าพระพุทธเจ้าได้มาแล้วโดยธรรม เชิญ

455
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ชาดก เล่ม ๔ ภาค ๓ – หน้าที่ 456 (เล่ม 64)

ใต้ฝ่าละอองธุลีพระบาททอดพระเนตรวิธุรบัณฑิต ผู้
แสดงธรรมถวายด้วยเสียงอันไพเราะ เฉพาะพระพักตร์
ณ บัดนี้ การสมาคมด้วยสัปบุรุษทั้งหลาย ย่อมเป็น
เหตุนำความสุขมาให้โดยแท้.
บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า ยํ ตวมิจฺฉสิ แปลว่า ท่านปรารถนา
สิ่งใด. บาลีว่า ยํ ตุวมิจฺฉสิ ดังนี้ก็มี. บทว่า ภาสมานํ ความว่า ขอ
พระองค์จงทอดพระเนตรวิธุรบัณฑิตนั้น ผู้รักษาธรรมปรากฏในโลก ผู้
แสดงธรรมด้วยเสียงอันไพเราะเฉพาะพระพักตร์ในกาลบัดนี้ ก็ธรรมดาว่าการ
สมาคมด้วยสัตบุรุษคนดีทั้งหลายในฐานะเป็นอันเดียวกัน ย่อมเป็นเหตุนำความ
สุขมาให้แล.
จบกาฬาคิรีบรรพตกัณฑ์
พระยานาคทอดพระเนตรเห็นพระมหาสัตว์แล้วตรัสพระคาถานี้ว่า
ท่านผู้เป็นมนุษย์มาเห็นนาคพิภพที่ตนได้เคยเห็น
แล้ว เป็นผู้ถูกภัยคือความตายคุกคามแล้ว เป็นผู้ไม่
กลัวและไม่อภิวาท อาการเช่นนี้ดูเหมือนจะไม่มีแก่ผู้
มีปัญญา.
บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า พฺยมฺหิโต แปลว่า ถูกความกลัวคุกคาม.
ท่านกล่าวอธิบายไว้ว่า ดูก่อนบัณฑิต ท่านเห็นนาคพิภพที่ตนไม่เคยเห็น
เป็นผู้ถูกภัยคือความตายคุกคามแล้ว จึงไม่ถวายโอวาทข้าพเจ้า เหตุเช่นนี้ไม่
ใช่อาการของบุคคลผู้มีปัญญาเลย.
เมื่อพระยานาคทรงประสงค์จะให้ถวายบังคมอย่างนั้น พระมหาสัตว์หา
ได้ทูลตรง ๆ ว่า ข้าพระองค์ไม่ควรถวายบังคมพระองค์ดังนี้ไม่ เป็นผู้ฉลาด

456
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ชาดก เล่ม ๔ ภาค ๓ – หน้าที่ 457 (เล่ม 64)

ในอุบายทูลด้วยปรีชาญาณของตนว่า ข้าพเจ้าไม่ถวายบังคมพระองค์ เพราะ
ข้าพเจ้าต้องโทษก็บุคคลจะพึงแทงด้วยลูกศรเสียแล้ว ดังนี้ แล้วจึงทูลด้วย ๒
คาถาว่า
ข้าแต่พระยานาคราช ข้าพระองค์เป็นผู้ไม่กลัว
และไม่เป็นผู้อันภัยคือความตายคุกคาม นักโทษประ-
หารไม่พึงกราบไหว้เพชฌฆาต หรือเพชฌฆาต ก็ไม่
พึงให้นักโทษประหารกราบไหว้ตน อย่างไรหนอ
นรชนจะกราบไหว้บุคคลผู้ปรารถนาจะฆ่าตน และผู้
ปรารถนาจะฆ่า เขาจะพึงให้บุคคลผู้ที่ตนจะฆ่า กราบ
ไหว้ตนอย่างไรเล่า กรรมนั้นย่อมไม่สำเร็จ ประโยชน์
เลย พระเจ้าข้า.
คำเป็นคาถานั้นมีอธิบายว่า ข้าแต่พระยานาค ข้าพเจ้ามาเห็นนาคพิภพ
ที่ตนยังไม่เคยเห็น ย่อมไม่กลัว และภัยคือความตายคุกคามไม่ได้ด้วย เพราะ
ขึ้นชื่อว่าภัยคือความตาย ย่อมไม่มีแก่บุคคลผู้เช่นข้าพเจ้า อนึ่ง นักโทษที่ต้อง
ถูกฆ่าไม่พึงกราบไหว้เพชฌฆาตผู้จะฆ่าตน หรือเพชฌฆาตไม่พึงยังนักโทษที่
จะต้องถูกฆ่าให้กราบไหว้ตน นรชนจะพึงกราบไหว้บุคคลผู้ปรารถนาจะฆ่าตน
อย่างไรหนอ หรือว่าผู้ปรารถนาจะฆ่าเขา จะพึงยังบุคคลผู้ที่ตนจะฆ่าให้กราบ-
ไหว้ตนอย่างไรเล่า เพราะกรรมคือกราบไหว้ของผู้ต้องถูกฆ่า และการไห้กราบ-
ไหว้ของผู้จะฆ่านั้น ย่อมไม่สำเร็จประโยชน์แก่เขาเลย ก็ข้าพระองค์ได้ทราบ
แล้วว่า พระองค์รับสั่งจะให้ฆ่าข้าพเจ้าในที่นี้ เหตุนั้นข้าพเจ้าจะถวายบังคม
พระองค์อย่างไรได้.
พระยานาคราชทรงสดับดังนั้น ทรงพอพระทัย เมื่อจะทรงทำความ
ชมเชยพระมหาสัตว์ ได้ทรงภาษิต ๒ คาถาว่า

457