หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ชาดก เล่ม ๔ ภาค ๓ – หน้าที่ 218 (เล่ม 64)

จึงไม่คบหาสมาคมอสัตบุรุษ คบหาสมาคมสัตบุรุษ
อสัตบุรุษย่อมนำไปสู่นรก สัตบุรุษย่อมให้ถึงสุคติ.
[๘๖๓] แม้กระหม่อมฉันก็ระลึกชาติที่ตนได้
ท่องเที่ยวมาแล้วได้ ๗ ชาติ และระลึกชาติที่ตนจุติ
จากชาตินี้แล้วจักไปเกิดในอนาคตอีก ๗ ชาติ ข้าแต่
พระจอมประชาชน ชาติที่ ๗ ของกระหม่อมฉันใน
อดีต กระหม่อมฉันเกิดเป็นบุตรนายช่างทองใน
แคว้นมคธ ราชคฤห์มหานคร กระหม่อมฉันได้คบหา
สหายผู้ลามก ทำบาปกรรมไว้มาก เที่ยวคบชู้ภรรยา
ของชายอื่นเหมือนจะไม่ตาย กรรมนั้นยังไม่ให้ผล
เหมือนไฟอันเถ้าปกปิดไว้.
ในกาลต่อมา ด้วยกรรมอื่นๆ กระหม่อมฉันนั้น
ได้เกิดในวังสรัฐเมืองโกสัมพี เป็นบุตรเดียวในสกุล
เศรษฐีผู้สมบูรณ์ มั่งคั่ง มีทรัพย์มากมาย คนทั้งหลาย
สักการะบูชาอยู่เป็นนิตย์ ในชาตินั้น กระหม่อมฉัน
ได้คบหาสมาคมมิตรสหายผู้ยินดีในกรรมอันงาม ผู้
เป็นบัณฑิต เป็นพหูสูต เขาได้แนะนำให้กระหม่อม-
ฉันรักษาอุโบสถศีลในวัน ๑๔ ค่ำ ๑๕ ค่ำ ตลอดราตรี
เป็นอันมาก กรรมนั้นยังไม่ให้ผล ดังขุมทรัพย์ที่ฝัง
ไว้ใต้น้ำ.
ครั้นภายหลัง บรรดาบาปกรรมทั้งหลาย ปรทา-
รกกรรมอันใดที่กระหม่อมฉันได้กระทำไว้ในมคธรัฐ
ผลแห่งกรรมนั้นมาถึงกระหม่อมฉันแล้ว เหมือนดื่ม

218
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ชาดก เล่ม ๔ ภาค ๓ – หน้าที่ 219 (เล่ม 64)

ยาพิษอันร้ายแรง ฉะนั้น ข้าแต่พระองค์ผู้ครอง
วิเทหรัฐ กระหม่อมฉันจุติจากตระกูลเศรษฐีนั้นแล้ว
ต้องหมกไหม้อยู่ในโรรุวนรกสิ้นกาลนาน เพราะกรรม
ของตน กระหม่อมฉันระลึกถึงทุกข์ที่ได้เสวยในนรก
นั้น ไม่ได้ความสุขเลย กระหม่อมฉันยังทุกข์เป็นอัน
มากให้สิ้นไปในนรกนั้นนานปี แล้วเกิดเป็นลาถูกเขา
ตอนอยู่ในภินนาคตะมหานคร.
[๘๖๔] กระหม่อมฉัน (เมื่อเกิดเป็นลา) ต้อง
พาลูกผู้ดีทั้งหลายไปด้วยหลังบ้าง ด้วยรถบ้าง นั่นเป็น
ผลกรรม คือ การที่กระหม่อมฉันคบชู้ภรรยาของผู้
อื่น ข้าแต่พระองค์ผู้ครองวิเทหรัฐ กระหม่อมฉันจุติ
จากชาติเป็นลานั้นแล้ว ไปบังเกิดเป็นลิงในป่าใหญ่
ถูกนายฝูงผู้คะนองขบกัดลูกอัณฑะ นั่นเป็นผลแห่ง
กรรม คือ การที่กระหม่อนฉันคบชู้ภรรยาของผู้อื่น
ข้าแต่พระองค์ผู้ครองวิเทหรัฐ กระหม่อมฉันจุติจาก
ชาติเป็นลิงนั้นแล้ว ได้เกิดเป็นโคในทสันนรัฐ ถูกเขา
ตอน มีกำลังแข็งแรง กระหม่อมฉันต้องเทียมยานอยู่
สิ้นกาลนาน นั่นเป็นผลของกรรม คือ การที่กระหม่อม
ฉันคบชู้ภรรยาของผู้อื่น ข้าแต่พระองค์ผู้ครองวิเทหรัฐ
กระหม่อมฉันจุติจากชาติเป็นโคนั้นแล้ว มาบังเกิดเป็น
กระเทยในตระกูลที่มีโภคสมบัติมากในแคว้นวัชชี จะ
ได้เกิดเป็นมนุษย์ยากจริง ๆ นั่นเป็นผลแห่งกรรม คือ
การที่กระหม่อมฉันคบชู้ภรรยาผู้อื่น ข้าแต่พระองค์ผู้

219
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ชาดก เล่ม ๔ ภาค ๓ – หน้าที่ 220 (เล่ม 64)

ครองวิเทหรัฐ กระหม่อมฉันจุติจากชาติเป็นกระเทย
นั้นแล้ว ได้ไปบังเกิดเป็นนางอัปสรในนันทนวัน ณ
ดาวดึงส์พิภพ มีวรรณะน่าใคร่ มีผ้าและอาภรณ์อัน
วิจิตร สวมกุณฑลแก้วมณี เป็นผู้ฉลาดในการฟ้อนรำ
ขับร้อง เป็นบาทบริจาริกาของท้าวสักกะ
ข้าแต่พระองค์ผู้ครองวิเทหรัฐ เมื่อกระหม่อมฉัน
อยู่ในดาวดึงส์พิภพนั้น ระลึกชาติแม้ในอนาคตได้อีก
๗ ชาติ ที่กระหม่อมฉันจุติจากดาวดึงส์พิภพนั้นแล้ว
จักไปเกิดต่อไป กุศลที่กระหม่อมฉันกระทำไว้ในเมือง
โกสัมพีตามมาให้ผล กระหม่อมฉันจุติจากดาวดึงส์
พิภพนั้นแล้ว ท่องเที่ยวไปในเทวดาและมนุษย์ ข้า
แต่พระมหาราชา กระหม่อมฉันเป็นผู้อันชนทั้งหลาย
สักการะบูชาแล้วเป็นนิตย์ตลอด ๗ ชาติ กระหม่อมฉัน
ไม่พ้นจากความเป็นหญิงตลอด ๖ ชาติ ข้าแต่พระองค์
ผู้ประเสริฐ ชาติที่ ๗ กระหม่อมฉันจักได้เกิดเป็น
เทวดาผู้ชาย เป็นเทพบุตรผู้มีฤทธิมาก เป็นผู้สูงสุด
ในหมู่เทวดา แม้วันนี้ นางอัปสรทั้งหลายก็ยังร้อย
ดอกไม้เป็นพวงมาลัยอยู่ในนันทนวัน เทพบุตรนามว่า
ชวะ สามีของกระหม่อมฉัน ยังรับพวงมาลัยอยู่ ๑๖ ปี
ในมนุษย์นี้ราวครู่หนึ่งของเทวดา ๑๐๐ ปีในมนุษย์เป็น
คนหนึ่งวันหนึ่งของเทวดาดังที่ได้กราบทูลให้ทรงทราบ
มานี้ กรรมทั้งหลายย่อมติดตามไปทุก ๆ ชาติแม้ตั้ง
อสงไขย ด้วยว่ากรรมจะเป็นกรรมดีหรือกรรมชั่วก็ตาม
(อันบุคคลทำแล้ว) ย่อมไม่พินาศไป.

220
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ชาดก เล่ม ๔ ภาค ๓ – หน้าที่ 221 (เล่ม 64)

[๘๖๕] ชายใดปรารถนาเป็นบุรุษทุก ๆ ชาติไป
ก็พึงเว้นภรรยาผู้อื่นเสีย เหมือนบุคคลล้างเท้าสะอาด
แล้วเว้นเปือกตม ฉะนั้น หญิงใดปรารถนาเป็นบุรุษ
ทุก ๆ ชาติไป ก็พึงยำเกรงสามีเหมือนนางเทพอัปสร
ผู้เป็นบาทบริจาริกา ยำเกรงพระอินทร์ฉะนั้น ผู้ใด
ปรารถนาโภคทรัพย์ อายุ ยศและสุขอันเป็นทิพย์ ก็
พึงเว้นบาปทั้งหลาย ประพฤติแต่สุจริตธรรม ๓ อย่าง
สตรีก็ตาม บุรุษก็ตาม ควรเป็นผู้ไม่ประมาท ด้วยกาย
วาจา ใจ มีปัญญาเครื่องพิจารณาเพื่อประโยชน์ของตน.
นรชนเหล่าใดเหล่าหนึ่งในโลกนี้ ที่เป็นคนมียศ
มีโภคทรัพย์บริบูรณ์ทุกอย่าง นรชนเหล่านั้นได้สั่งสม
กรรมดีไว้ในปางก่อนแล้วโดยไม่ต้องสงสัย สัตว์ทั้ง
ปวงล้วนมีกรรมเป็นของตัว ข้าแต่พระองค์ผู้ประเสริฐ
ขอพระองค์ทรงพระราชดำริด้วยพระองค์เองเถิด ข้า
แต่พระจอมชน พระสนม (ผู้ทรงโฉมงดงาม) ปาน
ดังนางเทพอัปสรผู้ประดับคลุมกายด้วยร่างแหทอง
เหล่านี้ พระองค์ทรงได้มาเพราะผลแห่งกรรมอะไร
พระนางรุจาราช กัญญา ทรงยังพระเจ้าอังคติราช
พระชนกนาถให้ทรงยินดี พระราชกุมารีผู้มีวัตรอัน
ดีงามกราบทูลทางสุคติแก่พระชนกนาถ ดังหนึ่งบอก
ทางให้แก่คนหลงทาง และได้กราบทูลข้อธรรมถวาย
โดยนัยต่าง ๆ ดังนี้แล.

221
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ชาดก เล่ม ๔ ภาค ๓ – หน้าที่ 222 (เล่ม 64)

[๘๖๖] ในกาลนั้น นารทมหาพรหมตรวจดูชมพู
ทวีป ได้เห็นพระเจ้าอังคติราช ผู้ทรงมีความเห็นผิด
จึงมาจากพรหมโลกถึงถิ่นมนุษย์ ลำดับนั้น นารท-
มหาพรหมได้ยืนอยู่ที่ปราสาท เบื้องพระพักตร์แห่ง
พระเจ้าวิเทหราช พระนางรุจาราชธิดาเห็นนารทฤาษี
นั้นมาถึง จงนมัสการ.
[๘๖๗] ครั้งนั้น พระราชาทรงหวาดพระทัย
เสด็จลงจากราชอาสน์ เมื่อจะตรัสถามนารทฤาษี ได้
ตรัสพระดำรัสนี้ว่า ท่านมีผิวพรรณงามดังเทวดา ส่อง
รัศมีสว่างจ้าไปทั่วทิศดังพระจันทร์ ท่านมาจากไหน
หนอ ข้าพเจ้าถามแล้ว ขอท่านจงบอกนามและโคตร
แก่ข้าพเจ้า คนในมนุษยโลกย่อมรู้จักท่านอย่างไรหนอ.
[๘๖๘] อาตมภาพมาจากเทวโลกเดี๋ยวนี้เอง ส่อง
รัศมีสว่างจ้าไปทั่วทิศดังพระจันทร์ มหาบพิตรตรัส
ถามแล้ว อาตมภาพขอถวายพระพรนามและโคตรให้
ทรงทราบ คนทั้งหลายเขารู้จักอาตมภาพโดยนาม
นารทะ และโดยโคตรว่ากัสสปะ.
[๘๖๙] สัณฐานของท่านและการที่ท่านเหาะไป
และยืนอยู่บนอากาศได้น่าอัศจรรย์ ดูก่อนท่านนารทะ
ข้าพเจ้าขอถามเนื้อความนี้กะท่าน เออเพราะเหตุอะไร
ท่านจึงมีฤทธิ์เช่นนี้.
[๘๗๐] คุณธรรม ๔ ประการนี้ คือ สัจจะ ๑
ธรรมะ ๑ ทมะ ๑ จาคะ ๑ อาตมภาพได้ทำไว้แล้วใน

222
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ชาดก เล่ม ๔ ภาค ๓ – หน้าที่ 223 (เล่ม 64)

ภพก่อน เพราะคุณธรรมที่อาตมาภาพเสพมาดีแล้วนั้น
แล อาตมภาพจึงไปไหน ๆ ได้ตามความปรารถนา
เร็วทันใจ.
[๘๗๑] เมื่อท่านบอกความสำเร็จแห่งบุญ ชื่อว่า
ท่านบอกความอัศจรรย์ ถ้าแลเป็นจริงอย่างท่านกล่าว
ดูก่อนท่านนารทะ ข้าพเจ้าขอถามเนื้อความนี้กะท่าน
ข้าพเจ้าถามแล้ว ขอท่านจงพยากรณ์ให้ดี.
[๘๗๒] ขอถวายพระพร ข้อใดพระองค์ทรง
สงสัย เชิญมหาบพิตรตรัสถามข้อนั้นกะอาตมภาพเถิด
อาตมภาพจะถวายวิสัชนาให้มหาบพิตรทรงสิ้นสงสัย
ด้วยนัย ด้วยญายธรรม และด้วยเหตุทั้งหลาย.
[๘๗๓] ดูก่อนท่านนารทะ ข้าพเจ้าขอถามเนื้อ
ความนี้กะท่าน ท่านถูกถามแล้ว อย่าได้กล่าวมุสาแก่
ข้าพเจ้า ที่คนเขาพูดกันว่า เทวดามี มารดาบิดามี
ปรโลกมีนั้น เป็นจริงหรือ.
[๘๗๕] ที่คนเขาพูดกันว่าเทวดามี มารดาบิดามี
และปรโลกมีนั้นเป็นจริงทั้งนั้น แต่นรชนผู้หลงงมงาย
ใคร่ในกามทั้งหลายจึงไม่รู้ปรโลก.
[๘๗๕] ดูก่อนท่านนารทะ ถ้าท่านเชื่อว่าปรโลก
มีจริง สถานที่อยู่ในปรโลกของเหล่าสัตว์ผู้ตายไปแล้ว
ก็ต้องมี ขอท่านจงให้ทรัพย์ ๕๐๐ กหาปณะแก่ข้าพเจ้า
ในโลกนี้ ข้าพเจ้าจะใช้ให้ท่านพันหนึ่งในปรโลก.

223
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ชาดก เล่ม ๔ ภาค ๓ – หน้าที่ 224 (เล่ม 64)

[๘๗๖] ถ้าอาตมภาพรู้ว่ามหาบพิตรทรงมีศีล
ทรงรู้ความประสงค์ของสมณพราหมณ์ อาตมภาพก็จะ
ให้มหาบพิตรทรงยืมสักห้าร้อน แต่มหาบพิตรหยาบช้า
ทรงจุติจากโลกนี้แล้ว จะต้องไปอยู่ในนรก ใครจะไป
ทวงทรัพย์พันหนึ่งในปรโลกเล่า ผู้ใดในโลกนี้เป็นผู้
ไม่มีศีลธรรม ประพฤติชั่ว เกียจคร้าน มีกรรมอัน
หยาบช้า บัณฑิตทั้งหลายย่อมไม่ให้หนี้ในผู้นั้น เพราะ
จะไม่ได้ทรัพย์คืนจากคนเช่นนั้น ส่วนบุคคลผู้ขยัน
หมั่นเพียร มีศีล รู้ความประสงค์ คนทั้งหลายรู้แล้ว
ย่อมเอาโภคทรัพย์มาเชื้อเชิญเอง ด้วยคิดว่า ผู้นี้ทำ
การงานเสร็จแล้ว พึงนำมาใช้ให้.
[๘๗๗] ขอถวายพระพร มหาบพิตรเสด็จไป
จากที่นี่แล้ว จักทอดพระเนตรเห็นพระองค์เองอยู่ใน
นรกนั้น ซึ่งถูกฝูงการุมยื้อแย่งฉุดคร่าอยู่ ใครเล่าจะ
ไปทวงทรัพย์พันหนึ่งในปรโลก กะมหาบพิตรผู้ตกอยู่
ในนรก ถูกฝูงกา ฝูงแร้ง ฝูงสุนัขรุมกัดกิน ตัวขาด
กระจัดกระจาย เลือดไหลโทรม.
[๘๗๘] ในโลกันตนรกนั้นมืดที่สุด ไม่มีพระ-
จันทร์และพระอาทิตย์ โลกันตนรกมืดตื้ออยู่ทุกเมื่อ
น่ากลัว กลางคืนกลางวันไม่ปรากฏ ผู้ต้องการทรัพย์
คนไรเล่า จะพึงเที่ยวไปในสถานที่เช่นนั้นได้.
[๘๗๙] ในโลกันตนรกนั้นมีสุนัข ๒ เหล่า คือ
ด่างเหล่า ๑ ดำเหล่า ๑ ล้วนมีร่างกายกำยำ ล่ำสัน

224
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ชาดก เล่ม ๔ ภาค ๓ – หน้าที่ 225 (เล่ม 64)

แข็งแรง ย่อมพากันมากัดกินผู้ที่จุติจากมนุษยโลกนี้
ไปตกอยู่ในโลกันตนรก ด้วยเขี้ยวเหล็ก ใครเล่าจะไป
ทวงทรัพย์พันหนึ่งในปรโลกกะมหาบพิตรผู้ตกอยู่ใน
นรก ถูกสุนัขอันทารุณร้ายกาจ นำทุกข์มาให้ รุม
กัดกิน ตัวขาดกระจัดกระจายเลือดไหลโทรมได้.
[๘๘๐] และในนรกอันร้ายกาจ พวกนายนิรย-
บาลชื่อกาลูปกาละ ผู้เป็นข้าศึก พากันเอาดาบและ
หอกอันคมกริบมาทิ่มแทงนรชนผู้กระทำกรรมชั่วไว้ใน
ภพก่อน ใครเล่าจะไปทวงทรัพย์พันหนึ่งในปรโลก
กะมหาบพิตรผู้ถูกทิ่มแทงที่ท้อง ที่สีข้างพระอุทรพรุน
วิ่งวุ่นอยู่ในนรก ตัวขาดกระจัดกระจาย เลือดไหล
โทรมได้.
[๘๘๑] ในโลกันตนรกนั้น มีห่าฝนต่าง ๆ ชนิด
คือ หอก ดาบ แหลน หลาว มีประกายวาวดังถ่าน
เพลิง ตกลงบนศีรษะ สายอัสนีศิลาอันแดงโชน ตก
ต้องสัตว์นรกผู้มีกรรมหยาบช้า และในนรกนั้นมีลม
ร้อนยากที่จะทนได้ สัตว์ในนรกนั้น ย่อมไม่ได้รับ
ความสุขแม้แต่น้อย ใครเล่าจะพึงไปทวงทรัพย์พัน
หนึ่งในปรโลกกะมหาบพิตร ซึ่งทรงกระสบกระส่าย
วิ่งไปมาหาที่ซ่อนเร้นมิได้.
[๘๘๒] ใครเล่า จะไปทวงทรัพย์พันหนึ่งใน
ปรโลก กะมหาบพิตรผู้ถูกเทียมในรถวิ่งไปวิ่งมา ต้อง
เหยียบแผ่นดินอันลุกโพลงถูกแทงด้วยประตักอยู่ได้.

225
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ชาดก เล่ม ๔ ภาค ๓ – หน้าที่ 226 (เล่ม 64)

[๘๘๓] ใครเล่า จะไปทวงทรัพย์พันหนึ่งใน
ปรโลกกะมหาบพิตรซึ่งทนไม่ได้ วิ่งไปขึ้นภูเขาอัน
ดาดไปด้วยขวากกรด ลุกโชนน่าสยดสยองอย่างยิ่ง
ตัวขาดกระจัดกระจายเลือดไหลโทรมได้.
[๘๘๔] ใครเล่า จะไปทวงทรัพย์พันหนึ่งใน
ปรโลกกะมหาบพิตร ซึ่งต้องวิ่งขึ้นเหยียบถ่านเพลิง
กองเท่าภูเขา ลุกโพลงน่ากลัว มีตัวถูกไฟไหม้ทนไม่
ไหวร้องครวญครางอยู่ได้.
[๘๘๕] ต้นงิ้วสูงเทียมเมฆ เค็มไปด้วยหนาม
เหล็ก คมกริบ กระหายเลือดคน หญิงผู้ประพฤติล่วง
สามี และชายผู้คบหากระทำชู้ภรรยาผู้อื่น ลูกนาย
นิรยบาลผู้ทำตามสั่งของพระยายม ถือหอกไล่ทิ่มแทง
ให้ขึ้นต้นงิ้วนั้น ใครเล่าจะไปทวงทรัพย์ จำนวนนั้น
กะมหาบพิตร ซึ่งต้องขึ้นต้นงิ้วในนรกเลือดไหล
เปรอะเปื้อน มีกายเหี้ยมเกรียมหนังปอกเปิก กระสับ
กระส่ายเสวยเวทนาอย่างหนัก ใครเล่าจะไปขอทรัพย์
จำนวนเท่านั้นกะพระองค์ผู้หอบแล้วหอบอีก อันเป็น
โทษของบุรพกรรม หนึ่งปอกเปิกเดินทางผิดได้.
[๘๘๖] ต้นงิ้วสูงเทียมเมฆ เต็มไปด้วยใบเหล็ก
คมกริบดังดาบ กระหายเลือดคน ใครเล่าจะไปทวง
ทรัพย์พันหนึ่งในปรโลก กะมหาบพิตรซึ่งขึ้นอยู่บน
ต้นงิ้วนั้น ก้าวไปเหยียบใบเหล็กอันคมดังดาบ ก็ถูก
ใบงิ้วอันคมนั้นบาด มีตัวขาดกระจัดกระจายเลือด
ไหลโทรมได้.

226
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ชาดก เล่ม ๔ ภาค ๓ – หน้าที่ 227 (เล่ม 64)

[๘๘๗] ใครเล่าจะไปทวงทรัพย์จำนวนนั้นกะ
มหาบพิตร ซึ่งเดินหนีออกจากขุมนรกไม้งิ้ว มีใบเป็น
ดาบ ไปพลัดตกลงในแม่น้ำเวตรณีได้.
[๘๘๙] ข้าพเจ้าแทบจะล้มเหมือนต้นไม้ที่ถูกตัด
ข้าพเจ้าหลงสำคัญผิดจึงไม่รู้จักทิศ ท่านฤาษีข้าพเจ้า
ได้ฟังคาถาภาษิตของท่านแล้วย่อมร้อนใจ เพราะกลัว
มหาภัย ท่านฤาษี ขอท่านจงเป็นที่พึ่งของข้าพเจ้า
ดังหนึ่งน้ำสำหรับแก้กระหายในเวลาร้อน เกาะเป็นที่
อาศัยในห้วงมหาสมุทร และประทีปสำหรับส่องสว่าง
ในที่มืดฉะนั้นเถิด ท่านฤาษี ขอท่านจงสอนอรรถ
และธรรมแก่ข้าพเจ้า ในกาลก่อนข้าพเจ้าได้กระทำ
ความผิดไว้ส่วนเดียว ข้าแต่ท่านนารทะ ขอท่านจง
บอกทางบริสุทธิแก่ข้าพเจ้า โดยที่ข้าพเจ้าจะไม่พึงตก
ไปในนรกด้วยเถิด.
[๘๙๐] พระราชา พระองค์นี้ คือ ท้าวธตรฐ
ท้าวเวสสามิตระ ท้าวอัฏฐกะ ท้าวยมทัตติ ท้าว
อุสสินนระ ท้าวสีวิราชและพระราชาพระองค์อื่น ๆ ได้
ทรงบำรุงสมณพราหมณ์ทั้งหลายแล้วเสด็จไปยังสวรรค์
ฉันใด ดูก่อนมหาบพิตรผู้เป็นพระเจ้าแผ่นดิน แม้
มหาบพิตรดีฉันนั้น จงทรงเว้นอธรรม แล้วทรงประ-
พฤติธรรม ราชบุรุษทั้งหลายจงถืออาหารไปประกาศ
ภายในพระราชนิเวศน์ และภายในพระนครว่าใครหัว
ใครกระหาย ใครปรารถนามาลา ใครปรารถนา

227