หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ชาดก เล่ม ๔ ภาค ๓ – หน้าที่ 48 (เล่ม 64)

บรรดาบทเหล่านั้นบทว่า ปุปฺผาภิหารสฺส ความว่า อันประกอบ
ด้วยการนำไปเฉพาะซึ่งดอกไม้ทิพย์ ที่เขานำมาเพื่อบูชาพระโพธิสัตว์.
บทว่า โก แปลว่า ท่านคือใคร. บทว่า โลหิตกฺโข แปลว่า มี
นัยน์ตาแดง. บทว่า วิหตนฺตรํโส แปลว่า มีรัศมีผึ่งผาย. บทว่า กา
กมฺพุกายูรธรา แปลว่า ทรงเครื่องอันล้วนแล้วด้วยทองคำ. บทว่า
พฺรหาพาหุ แปลว่า มีแขนใหญ่ อธิบายว่า มีแขนใหญ่. บทว่า วนสฺส
มชฺเฌ ความว่า ท่านมีแขนใหญ่คือใคร มีอานุภาพมากในท่ามกลางแห่งป่า
ใหญ่ คือท่านเป็นใครหนอมีศักดิ์ใหญ่ ในท่ามกลางแห่งนางนาคผู้ปิดอกผูกโบ
ที่ศีรษะ นุ่งผ้าดี ๆ.
พระมหาสัตว์ ได้ฟังดังนั้นแล้วดำริว่า ถ้าเราจักบอกว่า เราเป็นใคร
คนใดคนหนึ่งที่มีฤทธิ์ในบรรดาผู้มีฤทธิ์มีท้าวสักกเทวราชเป็นต้น. พราหมณ์คน
นี้คงจักเชื่อแน่แท้ แต่วันนี้เราควรจะพูดความจริงอย่างเดียว เมื่อจะบอกว่าคน
เป็นพระยานาค จึงกล่าวว่า
เราเป็นนาคผู้มีฤทธิ์เดช ยากที่ใคร ๆ จะล่วงได้
ถ้าแม้เราโกรธแล้ว พึงขบกัดชนบทที่เจริญ ให้แหลก
ได้ด้วยเดช มารดาของเราชื่อสมุททชา บิดาของเราชื่อ
ธตรฐ เราเป็นน้องของสุทัสสนะ คนทั้งหลายเรียกว่า
ว่า ภุริทัต.
บรรดาบทเหล่านั้นบทว่า เตชสี ความว่า ชื่อว่า ผู้มีเดชด้วยเดช
เพียงดังยาพิษ. บทว่า ทุรติกฺกโม ความว่า ใคร ๆ อื่นไม่สามารถเพื่อจะ
ล่วงได้. บทว่า ฑเสยฺยํ ความว่า ถ้าเราโกรธแล้ว พึงขบกัดแม้ชนบทที่กว้าง
ขวางได้ เมื่อเขี้ยวของเราเพียงตกไปในแผ่นดิน ด้วยเดชของเรา ชาวชนบททั้ง
หมดพร้อมด้วยแผ่นดินพึงไหม้เป็นขี้เถ้าไป. บทว่า สุทสฺสนกนิฏฺโมฐสฺมิ ความ

48
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ชาดก เล่ม ๔ ภาค ๓ – หน้าที่ 49 (เล่ม 64)

ว่า เราเป็นน้องชายของสุทัสสนะ ผู้เป็นพี่ชายเรา. อธิบายว่า ความว่า ชน
ทั้งหมดย่อมรู้จักเราในนาคพิภพระยะทาง ๕๐๐ โยชน์ อย่างนี้ว่า วิทู ผู้รู้วิเศษ.
ก็แลพระมหาสัตว์ ครั้นกล่าวอย่างนี้แล้วจึงคิดว่า พราหมณ์นี้ เป็นผู้
ดุร้ายหยาบคาย ถ้าเขาจะไปบอกแก่หมองูแล้ว พึงทำแม้อันตรายแก่อุโบสถกรรม
ของเรา ไฉนหนอเราจะนำพราหมณ์ผู้นี้ไปยังนาคพิภพ พึงให้ยศแก่ท่านเสีย
ให้ใหญ่โตแล้ว จะพึงทำอุโบสถกรรมของเราให้ยืนยาวนานไปได้. ลำดับนั้น
พระโพธิสัตว์จึงกล่าวกะพราหมณ์นั้นอย่างนี้ว่า ดูก่อนพราหมณ์ เราจะให้ยศ
แก่ท่านให้ใหญ่โต นาคพิภพเป็นสถานอันน่ารื่นรมย์นัก มาไปกันเถิด ไปใน
นาคพิภพนั้นด้วยกัน. พราหมณ์กล่าวว่า ข้าแต่นาย บุตรของข้าพเจ้ามีอยู่คน
หนึ่ง เมื่อบุตรนั้นมา ข้าพเจ้าก็จักไป. ลำดับนั้นพระมหาสัตว์จึงกล่าวกะ
พราหมณ์นั้นว่า ดูกรพราหมณ์ ท่านจงไปนำบุตรของท่านมาเถิด เมื่อจะบอกที่
อยู่ของพระองค์จึงกล่าวว่า
ท่านเพ่งดูห้วงน้ำลึกวนอยู่ทุกเมื่อ น่ากลัวใด ห่วง
น้ำนั้น เป็นที่อยู่อันรุ่งเรืองของเรา ลึกหลายร้อยชั่ว
บุรุษ ท่านอย่ากลัวเลย จงเข้าไปยังแม่น้ำยมุนา เป็น
แม่น้ำที่มีสีเขียวไหลจากกลางป่า กึกก้องด้วยเสียงนก
ยูงและนกกระเรียน เป็นที่เกษมสำราญของผู้มีอาจารวัตร.
บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า สทาวฏฺฏํ แปลว่า วนเวียนเป็นไปอยู่
ทุกเมื่อ. บทว่า เภสฺมึ แปลว่า น่าสะพรึงกลัว. บทว่า อเปกฺขสิ ความว่า
ท่านเพ่งดูห้วงน้ำเห็นปานนี้นั้นใด. บทว่า มยูรโกญฺจาภิรุทํ ความว่า กึก
ก้องด้วยเสียงร้องของนกยูงและนกกระเรียนที่อยู่ในกลุ่มป่าที่ฝั่งทั้ง ๒ ของแม่น้ำ
ยมุนา. บทว่า นีโลทกํ แปลว่า น้ำมีสีเขียว. บทว่า วนมชฺฌโต ได้แก่

49
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ชาดก เล่ม ๔ ภาค ๓ – หน้าที่ 50 (เล่ม 64)

ไหลมาจากท่ามกลางป่า. บทว่า ปวิส มา ภีโต ความว่า ท่านอย่ากลัว
เลย จงเข้าไปยังแม่น้ำยมุนา. บทว่า วตฺตวตํ ความว่า จงเข้าไปสู่ภูมิเป็น
ที่อยู่ของท่านผู้ถึงพร้อมด้วยวัตร ผู้มีอาจารวัตร.
ก็แลพระมหาสัตว์ครั้นกล่าวอย่างนี้แล้วจึงกล่าวว่า ไปเถิดพราหมณ์
ไปนำบุตรมา. พราหมณ์จึงไปบอกความนั้นแก่บุตร แล้วพาบุตรนั้นมา. พระ
มหาสัตว์พาพราหมณ์กับบุตรทั้งสอง ไปยังฝั่งแม่น้ำยมุนา ยืนอยู่ที่ริมฝั่งแล้ว
กล่าวว่า
ดูก่อนพราหมณ์ ท่านพร้อมด้วยบุตรและภรรยา
ไปถึงนาคพิภพแล้ว เราจะบูชาท่านด้วยกามทั้งหลาย
ท่านจักอยู่เป็นสุข.
บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า ปตฺโต ความว่า ท่านถึงนาคพิภพของ
เราแล้ว. บทว่า สานุจโร แปลว่า พร้อมด้วยภรรยา. บทว่า มยฺหํ ความว่า
เราจะบูชาด้วยกามทั้งหลายอันเป็นของ ๆ เรา. บทว่า วจฺฉสิ ความว่า ท่าน
จักอยู่เป็นสุขในนาคพิภพนั้น.
ก็แลพระมหาสัตว์ครั้นกล่าวอย่างนี้แล้ว จึงนำบิดาและบุตรทั้งสอง
ไปยังนาคพิภพด้วยอานุภาพของตน. เมื่อบิดาและบุตรทั้งสอง ไปถึงนาคพิภพ
อัตภาพก็ปรากฏเป็นทิพย์. ลำดับนั้น พระโพธิสัตว์ก็ยกสมบัติทิพย์ให้แก่
บิดาและบุตรทั้งสองนั้นมากมาย และได้ให้นางนาคกัญญาคนละ ๔๐๐. ทั้งสอง
คนนั้นก็บริโภคสมบัติใหญ่อยู่ในนาคพิภพนั้น.
ฝ่ายพระโพธิสัตว์ก็มิได้ประมาท ไปกระทำอุปัฏฐากพระชนกและชนนี
ทุกกึ่งเดือน แสดงธรรมกถาถวาย และต่อแต่นั้น ก็ไปยังสำนักของพราหมณ์
ถามถึงความไม่มีโรคแล้วกล่าวว่า ท่านต้องการสิ่งใด ก็พึงบอกไปเถิด อย่า

50
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ชาดก เล่ม ๔ ภาค ๓ – หน้าที่ 51 (เล่ม 64)

เบื่อหน่าย จงรื่นเริง ดังนี้แล้ว ได้การทำปฏิสันถารกับท่านโสมทัตแล้วไปยัง
นิเวศน์ของพระองค์ พราหมณ์อยู่นาคพิภพได้หนึ่งปี เพราะเหตุที่ตนมีบุญน้อย
ก็เกิดเบื่อหน่ายใคร่จะไปโลกมนุษย์ เห็นนาคพิภพปรากฏเหมือนโลกันตนรก
ปราสาทอันประดับงดงาม ก็ปรากฏเหมือนเรือนจำ นางนาคกัญญาที่ตกแต่ง
สวยปรากฏเหมือนนางยักษิณี พราหมณ์จึงคิดว่า เราเบื่อหน่ายเป็นอันดับแรก
เราจักรู้ความคิดของโสมทัตบ้าง ดังนี้แล้วจึงไปยังสำนักของท่านโสมทัตแล้ว
ถามว่า ดูก่อนพ่อโสมทัต ท่านเบื่อหน่ายหรือไม่. ท่านโสมทัตย้อนถามว่า
ข้าแต่พ่อ ข้าจักเบื่อหน่าย เพราะเหตุอะไร ข้าไม่เบื่อหน่าย ก็พ่อเบื่อหน่ายหรือ.
พราหมณ์ตอบว่า เออ เราเบื่อหน่ายอยู่. โสมทัตถามว่า เบื่อหน่ายเพราะเหตุไร.
พราหมณ์ตอบว่า ดูก่อนเจ้า พ่อเบื่อหน่ายด้วยมิได้เห็นมารดาและพี่น้องของเจ้า
พ่อโสมทัตจงมาไปด้วยกันเถิด. โสมทัตแม้กล่าวว่า จะไม่ไป แต่เมื่อบิดา
อ้อนวอนแล้วอ้อนวอนเล่าก็รับคำ. พราหมณ์คิดว่า เราได้ความตกลงใจของ
บุตรเป็นอันดับแรก แต่ถ้าจะบอกพระภูริทัตว่าเราเบื่อหน่าย พระภูริทัตก็จัก
ให้ยศแก่เรายิ่ง ๆ ขึ้นไป เมื่อเป็นเช่นนี้เราก็จะไม่ได้ไป เราจะต้องพรรณนา
ยกย่องสมบัติของภูริทัตด้วยอุบายอย่างหนึ่งจึงถามว่า ที่พระภูริทัตละสมบัติถึง
เพียงนี้ ไปทำอุโบสถกรรมที่มนุษยโลกนั้น เพราะเหตุใด ถ้าตอบว่าต้องการ
จะไปสวรรค์ เราก็จักทูลให้ทราบความหมายของเราว่า สมบัติมีถึงอย่างนี้แล้ว
ท่านยังละไปทำอุโบสถกรรมเพื่อต้องการจะไปสวรรค์ เพราะเหตุไรเล่า คน
อย่างเราจะมาเลี้ยงชีวิตอยู่ด้วยทรัพย์ของผู้อื่น เราจักไปมนุษยโลกเยี่ยมญาติ
แล้วบวชบำเพ็ญสมณธรรม ดังนี้ พระภูริทัตคงจักอนุญาตให้ไป ครั้นพราหมณ์
คิดดังนี้ ครั้นต่อมาวันหนึ่ง พอพระโพธิสัตว์มาเยี่ยมและถามว่า เบื่อหรือไม่
ก็ตอบว่า ข้าพเจ้าจักเบื่อหน่ายเพราะเหตุอะไร สิ่งของเครื่องบริโภคที่ได้แต่
สำนักของพระองค์ มิได้บกพร่องสักอย่างหนึ่ง ในระยะนี้ พราหมณ์มิได้

51
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ชาดก เล่ม ๔ ภาค ๓ – หน้าที่ 52 (เล่ม 64)

แสดงถึงเรื่องที่เกี่ยวแก่การจะไป ตั้งต้นก็กล่าวพรรณนาถึงสมบัติของ
พระโพธิสัตว์ว่า
แผ่นดินมีพื้นอันราบเรียบ ประกอบด้วยต้น
กฤษณาเป็นอันมาก ดารดาษด้วยหมู่แมลงค่อมทอง
มีหญ้าเขียวชะอุ่มงามอุดม หมู่ไม้อันน่ารื่นรมย์ สระ
โบกขรณีที่สร้างไว้สวยงาม ระงมด้วยเสียงหงส์ มี
ดอกปทุมร่วงหล่นอยู่เกลื่อนกลาด มีปราสาท ๘ มุม
มีเสา ๑,๐๐๐ เสา สำเร็จด้วยแก้วไพฑูรย์ เรืองจรูญ
ด้วยเหล่านางนาคกัญญา พระองค์เป็นผู้บังเกิดใน
วิมานทิพย์อันกว้างใหญ่เป็นวิมานเกษมสำราญรื่นรมย์
มีความสุขหาสิ่งใดจะเปรียบปานมิได้ ด้วยบุญของ
พระองค์ พระองค์เห็นจะไม่ทรงหวังวิมานของพระ-
อินทร์ เพราะฤทธิ์อันยิ่งใหญ่ไพบูลย์ของพระองค์นี้
เหมือนของท้าวสักกเทวราชผู้รุ่งเรือง ฉะนั้น.
บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า สมา สมนฺตปริโต ความว่า แผ่นดิน
ในนาคพิภพของท่านนี้ ในทิสาภาคทั้งปวง มีพื้นอันราบเรียบ เกลื่อนกล่น
ไปด้วยทองคำ เงิน แก้วมณี แก้วมุกดา และทราย. บทว่า สมา ได้แก่
แผ่นดินมีพื้นเสมอ. บทว่า ปหุตครา มหี ความว่า ประกอบด้วยต้น
กฤษณาเป็นอันมาก. บทว่า อินฺทโคปกสญฉนฺนา ความว่า ดารดาษไป
ด้วยหมู่แมลงค่อมทอง. บทว่า โสภติ หริตุตฺตมา ความว่า ดารดาษไป
ด้วยหญ้าแพรกมีสีเขียวชะอุ่มดูงดงาม. บทว่า วนเจตฺยานิ ได้แก่ หมู่ไม้
ในป่า. บทว่า โอปุปฺผปทุมา ความว่า บนหลังน้ำดารดาษไปด้วยดอก
ปทุมที่ร่วงหล่น. บทว่า สุนิมฺมิตา ความว่า สร้างขึ้นด้วยดีด้วยบุญสมบัติ

52
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ชาดก เล่ม ๔ ภาค ๓ – หน้าที่ 53 (เล่ม 64)

ของท่าน. บทว่า อฏฺฐํสา ความว่า ในปราสาทอันเป็นที่อยู่ของท่าน มี
เสาแล้วด้วยแก้วไพฑูรย์ สร้างไว้ดีทั้ง ๘ มุม ปราสาทของท่านมีเสา ๑,๐๐๐
บริบูรณ์รุ่งโรจน์ โชติช่วงด้วยนางนาคกัญญา. บทว่า อุปปนฺโนสิ ความว่า
ท่านบังเกิดในวิมานเห็นปานนี้. บทว่า สหสฺสเนตฺตสฺส วิมานํ ได้แก่
เวชยันตปราสาท. บทว่า อิทฺธิ หิ ตยายํ วิปุลา ความว่า เพราะเหตุที่
ฤทธิ์อันยิ่งใหญ่ไพบูลย์ของท่านนี้ ด้วยอุโบสถกรรมนั้น ท่านจึงไม่ปรารถนา
วิมานแม้ของท้าวสักกเทวราช ข้าพเจ้าสำคัญว่า ท่านปรารถนาตำแหน่งอื่น
ยิ่งกว่านั้น.
พระมหาสัตว์ ครั้นได้ฟังดังนั้นแล้วจึงกล่าวว่า ดูก่อนพราหมณ์
ท่านอย่าพูดอย่างนั้นเลย. ยศศักดิ์ของเราหากเทียบกับยศศักดิ์ของท้าวสักกเทว-
ราชแล้ว นับว่าต่ำมาก ปรากฏเหมือนเมล็ดพันธุ์ผักกาดใกล้ภูเขาสิเนรุ พวกเรา
ก็มีค่าไม่ถึงแม้ด้วยคนบำเรอของท่าน ดังนี้แล้วจึงกล่าวคาถาว่า
อานุภาพของคนบำรุงบำเรอชั้นผู้ใหญ่ ซึ่งอยู่ใน
อำนาจของท้าวสักกเทวราชผู้รุ่งเรือง ซึ่งใครๆ ไม่พึง
ถึงด้วยใจ.
ความแห่งคำเป็นคาถานั้นมีดังนี้ ดูก่อนพราหมณ์ ใครๆไม่พึงถึงด้วย
ใจคือแม้ด้วยจิตว่า ชื่อว่า ยศศักดิ์ของท้าวสักกเทวราช จะมีเพียงเท่านี้ คือ
๑-๒-๓-๔ วันเท่านั้น ยศศักดิ์ของสัตว์เดรัจฉานของเรายังไม่ถึงเสี้ยวที่ ๑๖
แห่งยศศักดิ์ของท้าวมหาราชทั้ง ๔ ก็ดี ของท้าวโลกบาลทั้ง ๔ ผู้บำรุงบำเรอ
เที่ยวทำให้เป็นผู้ใหญ่ผู้นำก็ดี.
ก็แลครั้นพระโพธิสัตว์กล่าวอย่างนี้แล้ว จึงกล่าวต่อไปว่า เราได้ยิน
ท่านพูดว่า นี้เป็นวิมานของท่านผู้มีพระเนตร ๑,๐๐๐ เราก็ระลึกได้เพราะว่าเรา

53
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ชาดก เล่ม ๔ ภาค ๓ – หน้าที่ 54 (เล่ม 64)

ปรารถนาเวชยันตปราสาท จึงกระทำอุโบสถกรรม เมื่อจะบอกความปรารถนา
ของตนแก่พราหมณ์ จึงกล่าวคาถานี้ว่า
เราปรารถนาวิมานของเทวดาทั้งหลาย ผู้ตั้งอยู่
ในความสุขนั้น จึงเข้าจำอุโบสถ อยู่บนจอมปลวก.
บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า อภิชฺฌาย แปลว่า ปรารถนา. บทว่า
อมรานํ ได้แก่ เทพผู้มีอายุยืนนาน. บทว่า สุเขสินํ ได้แก่ ผู้แสวงหา
ความสุข คือผู้ปรารถนาความสุข.
พราหมณ์ครั้นได้ฟังดังนั้นแล้ว ถึงความโสมนัสว่า บัดนี้เราได้โอกาส
แล้ว เมื่อจะลาไปจึงกล่าว ๒ คาถาว่า
ข้าพระองค์กับทั้งบุตรเข้าไปสู่ป่าแสวงหามฤค
มานานวัน พวกญาติทางบ้านเหล่านั้น ไม่รู้ว่าข้าพระ
องค์ตายหรือเป็น ข้าพระองค์จะขอทูลลาพระภูริทัต
ผู้ทรงยศ เป็นโอรสแห่งกษัตริย์กาสี กลับไปยัง
มนุษยโลก พระองค์ทรงอนุญาตแล้ว ข้าพระองค์
ก็จะไปเยี่ยมหมู่ญาติ พระเจ้าข้า.
บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า นาภิเวเทนฺติ แปลว่า ย่อมไม่รู้.
ความว่า แม้เมื่อกล่าวถึงพวกเขาเหล่านี้ก็ไม่มีใครรู้เลย. บทว่า มิคเมสาโน
ตัดเป็น มคํ เอสาโน แปลว่า ผู้ แสวงหามฤค. บทว่า อามนฺตเย แปลว่า
ข้าพระองค์ขอทูลลา. บทว่า กาสิปุตฺตํ ได้แก่ เป็นโอรสแห่งราชธิดา
ของกษัตริย์กาสี.
ลำดับนั้น พระโพธิสัตว์กล่าว ๒ คาถาว่า
การที่ท่านได้มาอยู่ในสำนักของเรานี้ เป็นความ
พอใจของเราหนอ แต่ว่ากามารมณ์เช่นนี้ เป็นของ

54
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ชาดก เล่ม ๔ ภาค ๓ – หน้าที่ 55 (เล่ม 64)

ไม่ได้ง่ายในมนุษย์ ถ้าท่านไม่ปรารถนาจะอยู่ เราจะ
บูชาท่านด้วยกามารมณ์ทั้งหลาย เราอนุญาตให้ท่านไป
เยี่ยมญาติได้โดยสวัสดี.
ลำดับนั้น พระมหาสัตว์ ครั้นกล่าว ๒ คาถาแล้ว จึงคิดว่า พราหมณ์
นี้ เมื่อได้อาศัยเราเลี้ยงชีพเป็นสุขคงจะไม่บอกแก่ใคร ๆ เราจักให้แก้วมณี
อันให้ความใคร่ทุกอย่างแก่พราหมณ์นี้. ลำดับนั้น เมื่อจะให้แก้วมณีแก่
พราหมณ์นั้น จึงกล่าวว่า
ดูก่อนพราหมณ์ ท่านจงรับเอาทิพยมณีนี้ไป เมื่อ
ท่านทรงทิพยมณีนี้ไป จะต้องการปศุสัตว์ก็ดี บุตรก็ดี
หรือปรารถนาอะไรอื่นก็ดี ก็จะได้สมประสงค์ทุก
ประการ ท่านจงปราศจากโรคภัยเป็นสุขเถิด.
บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า ปสุํ ปุตฺเต จ วินฺทสิ ความว่า เมื่อ
ท่านทรงแก้วมณีนี้ ด้วยอานุภาพของแก้วมณีนี้ ท่านย่อมได้สิ่งที่ท่านปรารถนา
ทั้งหมด คือจะเป็นปศุสัตว์ บุตร และสิ่งอื่นก็จะได้สมประสงค์.
ลำดับนั้น พราหมณ์จึงกล่าวคาถาว่า
ข้าแต่พระภูริทัต พระดำรัสของพระองค์หาโทษ
มิได้ ข้าพระองค์ยินดียิ่งนัก ข้าพระองค์แก่แล้วจัก
บวช ไม่ปรารถนากามทั้งหลาย.
คำอันเป็นคาถานั้นมีอธิบายว่า ดูก่อนภูริทัต พระดำรัสของท่านเป็น
กุศล ไม่มีโทษ ข้าพระองค์ยินดีพระดำรัสนั้นยิ่งนักไม่ปฏิเสธ แต่ข้าพระองค์
แก่แล้ว เพราะฉะนั้นข้าพระองค์จักบวช. บทว่า น กาเม อภิปตฺถเย ความ
ว่า ข้าพระองค์ไม่ปรารถนากามทั้งหลาย ข้าพระองค์จะประโยชน์อะไรด้วย
แก้วมณี.

55
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ชาดก เล่ม ๔ ภาค ๓ – หน้าที่ 56 (เล่ม 64)

พระมหาสัตว์จึงกล่าวว่า
หากว่าพรหมจรรย์มีการต้องละเลิกไซร้ กิจที่พึง
ทำด้วยโภคทรัพย์ทั้งหลายเกิดขึ้น ท่านอย่าได้มีความ
หวั่นใจเลยควรมาหาเรา เราจะให้ทรัพย์แก่ท่านมาก ๆ.
บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า เจ ภงฺโค ความว่า ดูก่อนพราหมณ์
ชื่อว่าการอยู่พรหมจรรย์ เป็นการทำได้ยากยิ่ง ถ้าหากในกาลใด พรหม-
จรรย์ที่เราไม่ยินดีมีการต้องละเลิก ในกาลนั้น กิจที่ต้องทำด้วยโภคทรัพย์
ทั้งหลายของผู้เป็นคฤหัสถ์มีอยู่ ในกาลเช่นนี้ ท่านอย่าได้หวาดหวั่นใจไปเลย
ควรมาสำนักเรา เราจะให้ทรัพย์แก่ท่านมาก ๆ.
พราหมณ์กล่าวว่า
ข้าแต่พระภูริทัต พระดำรัสของพระองค์หาโทษ
มิได้ ข้าพระองค์ยินดียิ่งนัก ข้าพระองค์จะกลับมาอีก
ถ้าจักมีความต้องการ.
ศัพท์ว่า ปุนาปิ ในคาถานั้นแก้เป็นปุนปิ. อนึ่ง นี้ก็เป็นบาลีเช่นกัน
ลำดับนั้น พระมหาสัตว์รู้ว่าพราหมณ์นั้นไม่ปรารถนาจะอยู่ในที่นั้น
จึงให้เรียกนาคมาณพทั้งหลายมา แล้วส่งไปว่า พวกท่านจงนำพราหมณ์ไป
ให้ถึงมนุษยโลก.
พระศาสดาเมื่อทรงประกาศความนั้น จึงตรัสว่า
พระภูริทัตตรัสดำรัสนี้แล้ว จึงใช้ให้นาคมาณพ
๔ ตนไปส่งว่า ท่านทั้งหลายจงมา เตรียมตัวพา
พราหมณ์ไปส่งให้ถึงโดยเร็ว นาคมาณพทั้ง ๔ ตนที่
ภูริทัตตรัสใช้ให้ไปส่ง ฟังรับสั่งของภูริทัต เตรียมตัว
แล้วพาพราหมณ์ไปส่งให้ถึงโดยเร็ว.

56
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ชาดก เล่ม ๔ ภาค ๓ – หน้าที่ 57 (เล่ม 64)

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า ปาเปสุํ ความว่า นาคมาณพทั้ง ๔ ขึ้น
จากแม่น้ำยมุนา ส่งให้ถึงทางไปกรุงพาราณสี ก็แลครั้นส่งให้ถึงแล้วจึงกล่าวว่า
ไปเถิดท่าน ดังนี้แล้วก็กลับมายังนาคพิภพตามเดิม.
ฝ่ายพราหมณ์ เมื่อบอกแก่บุตรว่า ดูก่อนพ่อโสมทัต เรายิงมฤค
ในที่นี้ สุกรในที่นี้ ดังนี้แล้วจึงเดินไป เห็นสระโบกขรณีในระหว่างทางแล้ว
กล่าวว่า พ่อโสมทัต อาบน้ำกันเถิด เมื่อท่านโสมทัตกล่าวว่า ดีละพ่อ ทั้งสอง
คนจึงเปลื้องเครื่องอาภรณ์อันเป็นทิพย์ และผ้าทิพย์ แล้วห่อวางไว้ริมฝั่งสระ-
โบกขรณีแล้วลงไปอาบน้ำ. ขณะนั้น เครื่องอาภรณ์และผ้าทิพย์เหล่านั้นได้
หายไปยังนาคพิภพตามเดิม ผ้านุ่งห่มผืนเก่ากลับสวมใส่ในร่างของคนทั้งสอง
นั้นก่อนแม้ธนูศรและหอกได้ปรากฏตามเดิม. ฝ่ายท่านโสมทัตร้องว่า
ท่านทำเราให้ฉิบหายแล้วพ่อ. ลำดับนั้น บิดาจึงปลอบท่าน โสมทัตว่า
อย่าวิตกไปเลยลูกพ่อ เมื่อมฤคมีอยู่เราฆ่ามฤคในป่าเลี้ยงชีวิต. มารดาท่าน
โสมทัตทราบการมาของคนทั้งสอง จึงต้อนรับนำไปสู่เรือน จัดข้าวน้ำเลี้ยง
ดูให้อิ่มหนำสำราญ. พราหมณ์บริโภคอาหารเสร็จแล้วก็หลับไป. ฝ่ายนางจึง
ถามบุตรว่า พ่อโสมทัต ทั้ง ๒ คนหายไปไหนมานานจนถึงป่านนี้. โสมทัต
ตอบว่า ข้าแต่แม่ พระภูริทัตนาคราชพาข้ากับบิดาไปยังนาคพิภพ เพราะเหตุนั้น
เราทั้งสองคิดถึงแม่ จึงกลับมาถึงบัดนี้. มารดาถามว่า. ได้แก้วแหวนอะไร ๆ
มาบ้างเล่า. โสมทัตตอบว่า ไม่ได้มาเลยแม่. มารดาถามว่า. ทำไมพระภูริทัต
ไม่ให้อะไรบ้างหรือ. โสมทัตตอบว่า พระภริทัตให้แก้วสารพัดนึกแก่พ่อ ๆ
ไม่รับเอามา. มารดาถามว่า เหตุไรพ่อเจ้าจึงไม่รับ. โสมทัตตอบว่า. ข้าแต่
แม่ ข่าวว่าพ่อจักบวช . นางพราหมณีนั้นโกรธว่า บิดาทิ้งทารกให้เป็นภาระ
แก่เรา ตลอดกาลประมาณเท่านี้ ไปอยู่เสียในนาคพิภพ ข่าวว่าเดี๋ยวนี้จะบวช
ดังนี้แล้วจึงตีหลังพราหมณ์ด้วยพลั่วสาดข้าว แล้วขู่คำรามว่า อ้ายพราหมณ์
ผู้ชั่วร้าย ข่าวว่าจักบวช ภูริทัตให้แก้วมณีก็ไม่รับ ทำไมไม่บวช กลับมาที่นี้

57