No Favorites




หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ชาดก เล่ม ๔ ภาค ๓ – หน้าที่ 18 (เล่ม 64)

[๗๖๖] ข้าแต่พี่สุโภคะ พระเจ้าสาครราช ทรง
ปราบแผ่นดินอันมีสาครเป็นที่สุด รับสั่งให้ตั้งเสายัญ
อันงามยิ่ง ล้วนแล้วด้วยทอง ทรงบูชาไฟแล้ว ได้
เป็นเทพเจ้าองค์หนึ่ง แม่น้ำคงคาและมหาสมุทร เป็น
ที่สั่งสมนมส้ม ย่อมเป็นไปด้วยอานุภาพของผู้ใด ผู้
นั้น คือ พระเจ้าอังคโลมปาทะ ทรงบำเรอไฟแล้ว
เสด็จไปเกิดในพระนครท้าวสหัสนัยน์.
[๗๖๗] เทวดาผู้ประเสริฐมีฤทธิ์มาก มียศ เป็น
เสนาบดีของท้าววาสวะในไตรทิพย์ กำจัดมลทินด้วย
โสมยาควิธี (บูชาด้วยการดื่มน้ำโสม) ได้เป็นเทพเจ้า
องค์หนึ่ง.
[๗๖๘] เทวดาผู้ประเสริฐ มีฤทธิ์ เรืองยศ
สร้างโลกนี้โลกหน้า แม่น้ำภาคีรถี ขุนเขาหิมวันต์
และเขาวิชฌะ ได้บูชาไฟมาก่อน ภูเขามาลาคิรี ขุน
เขาหิมวันต์ ภูเขาวิชฌะ ภูเขาสุทัสนะ ภูเขานิสภะ
ภูเขากากเวรุ ภูเขาเหล่านั้น และภูเขาใหญ่อื่น ๆ
กล่าวกันว่าพวกพราหมณ์ผู้บูชายัญได้ก่อสร้างทำไว้.
[๗๖๙] ชนทั้งหลายเรียกพราหมณ์ผู้ทรงเวท ผู้
เข้าถึงคุณแห่งมนต์ ผู้มีตบะ ในโลกนี้ว่า ผู้ประกอบ
ในการขอ มหาสมุทรซัดท่วมพราหมณ์นั้น ผู้กำลัง
ตระเตรียมน้ำอยู่ที่ฝั่งมหาสมุทร เพราะเหตุนั้น น้ำ
ในมหาสมุทรจึงดื่มไม่ได้.

18
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ชาดก เล่ม ๔ ภาค ๓ – หน้าที่ 19 (เล่ม 64)

[๗๗๐] วัตถุที่ควรบูชา คือพวกพราหมณ์เป็น
อันมากมีอยู่ในแผ่นดินของท้าววาสวะ พราหมณ์ทั้ง
หลายมีอยู่ในทิศบูรพา ทิศปัจจิม ทิศทักษิณและทิศ
อุดร ย่อมยังปีติและโสมนัสให้เกิด.
[๗๗๑] ดูกรพ่ออริฏฐะ ความกาลีคือความปรา-
ชัยของนักปราชญ์ทั้งหลาย กลับเป็นความมีชัยของคน
โง่เขลาผู้ทรงเวท ไตรเพทเป็นเหมือนอาการของ
พยับแดด เพราะเป็นของไม่เห็นเสมอไป มีคุณทาง
หลอกลวง พาเอาคนมีปัญญาไปไม่ได้ ไตรเพทมิได้มี
เพื่อป้องกันคนผู้ประทุษร้ายมิตร ผู้ล้างผลาญความ
เจริญเหมือนไฟที่คนบำเรอแล้ว ย่อมป้องกันคนโทส-
จริตทำกรรมชั่วไม่ได้ ถ้าคนทั้งหลายจะเอาไม้ที่มีอยู่
ในโลกทั้งหมด พร้อมทั้งทรัพย์สมบัติของตน คลุกกับ
หญ้าให้ไฟเผา ไฟอันมีเดชไม่มีใครเทียมเผาสิ่งนั้น
หมดก็ไม่อิ่ม ใครจะพึงทำให้ไฟซึ่งรู้รส ๒ อย่างให้อิ่ม
ได้ นมสดแปรไปได้เป็นธรรมดา คือ แปรเป็นนมส้ม
แล้วเป็นเนยข้น ฉันใด ไฟก็มีความแปรไปได้เป็นธรรม
ดาฉันนั้น ไฟประกอบด้วยความเพียร (ในการสีไฟ)
จึงจะเกิดได้ ไม่เคยได้เห็นไฟเข้าไปอยู่ในไม้แห้งและ
ไม้สด คนสีไฟไม่สี ไฟก็ไม่เกิด ไฟย่อมไม่เกิดเพราะ
ไม่มีคนทำให้เกิด ถ้าแหละไฟพึงอยู่ภายในไม้แห้ง
และไม้สด ป่าทั้งหมดในโลกก็จะพึงแห้งไป และไม้

19
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ชาดก เล่ม ๔ ภาค ๓ – หน้าที่ 20 (เล่ม 64)

แห้งก็จะพึงลุกโพลง ถ้าคนทำบุญได้โดยเอาไม้และ
หญ้าให้ไฟกิน คนเผาถ่าน คนหุงเกลือ พ่อครัว และ
คนเผาศพ ก็พึงทำบุญได้ ถ้าแม้พราหมณ์เหล่านี้ทำ
บุญได้เพราะการเลี้ยงไฟ เพราะเรียนมนต์เพราะเลี้ยง
ไฟให้อิ่มหนำ ในโลกนี้ใคร ๆ ผู้เอาของให้ไฟกินจะ
ชื่อว่าทำบุญหาได้ไม่ เพราะเหตุอย่างไรเล่า เพราะไฟ
เป็นผู้อันโลกยำเกรง รู้รส ๒ อย่าง พึงกินได้มากทั้ง
ของมีกลิ่นอันไม่น่าฟูใจ คนเป็นอันมากไม่ชอบ พวก
มนุษย์ละเว้น และเป็นของไม่ประเสริฐ คนบางพวก
นับถือไฟเป็นเทวดา ส่วนพวกมิลักขุนับถือน้ำเป็น
เทวดา ทั้งหมดนี้พูดผิด ไฟและน้ำไม่ใช่เทพเจ้าตน.
ใดตนหนึ่ง โลกบำเรอไฟ ซึ่งไม่มีอันทรีย์ ไม่มีกายที่
จะรู้สึกได้ ส่องแสงสว่าง เป็นเครื่องทำการงานของ
ประชาชน เมื่อยังทำบาปกรรมอยู่ จะพึงไปสุคติได้
อย่างไร พวกพราหมณ์ผู้ต้องการเลี้ยงชีวิตในโลกนี้
กล่าวว่า พระพรหมดรอบงำได้ทั้งหมด และว่าพระ-
พรหมบำเรอไฟ พระพรหมมีอานุภาพกว่าทุกสิ่ง และ
มีอำนาจ ไม่มีใครสร้างกลับไปไหว้ไฟที่ตนสร้างเพื่อ
ประโยชน์อะไร คำของพวกพราหมณ์น่าหัวเราะเยาะ
ไม่ควรแก่การเพ่งเล็ง ไม่เป็นความจริง พวกพราหมณ์
ในปางก่อนก่อขึ้นไว้ เพราะเหตุแห่งสักการะ พรา
หมณ์เหล่านั้น เมื่อลาภและสักการะเกิดขึ้น จึงร้อย
กรองยัญพิธีว่าเป็นธรรมสงบระงับ ด้วยการฆ่าสัตว์

20
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ชาดก เล่ม ๔ ภาค ๓ – หน้าที่ 21 (เล่ม 64)

บูชายัญ พวกพราหมณ์ถือการทรงไตรเพท พวก
กษัตริย์ปกครองแผ่นดิน พวกแพศย์ยึดการไถนา และ
พวกศูทรยึดการบำเรอ วรรณะทั้ง ๔ นี้ เข้าถึงการงาน
ตามที่อ้างมาเฉพาะอย่าง ๆ นั้น กล่าวกันว่า มหา-
พรหมผู้มีอำนาจจัดไว้ ถ้าคำนี้พึงเป็นคำจริงเหมือนดัง
ที่พวกพราหมณ์กล่าวไว้ คนที่ไม่ใช่กษัตริย์ไม่พึงได้
ราชสมบัติ ผู้ที่ไม่ใช่พราหมณ์ไม่พึงศึกษามนต์ คน
นอกจากแพศย์ไม่พึงทำการไถเลย และพวกศูทรก็ไม่
พึงพ้นจากการรับใช้ผู้อื่น เพราะคำนี้เป็นคำไม่จริง
เป็นคำเท็จ พวกคนหาเลี้ยงท้องกล่าวไว้ คนไม่มี
ปัญญาหลงเชื่อ บัณฑิตทั้งหลายย่อมเห็นด้วยตนเอง
เพราะพวกกษัตริย์ย่อมเก็บส่วยจากพวกแพศย์ พวก
พราหมณ์ถือศัสตราเที่ยวฆ่าสัตว์ เพราะเหตุไร พระ-
พรหมจึงไม่ทำโลกอันแตกต่างกันเช่นนั้นให้ตรงเสีย
ถ้าแหละพระพรหมเป็นใหญ่ เป็นผู้เจริญในโลกทั้งปวง
เป็นเจ้าชีวิตของหมู่สัตว์ ทำไมจึงจัดโลกทั้งปวงให้มี
ความทุกข์ ทำไมจึงไม่ทำโลกทั้งปวงให้มีความสุข ถ้า
แหละพรหมนั้นเป็นใหญ่ เป็นผู้เจริญในโลกทั้งปวง
เป็นเจ้าชีวิตของหมู่สัตว์ เหตุไรจึงทำโลกโดยไม่เป็น
ธรรม คือ มารยาและเจรจาคำเท็จ มัวเมา ถ้าแหละ
พระพรหมนั้นเป็นใหญ่ เป็นผู้เจริญในโลกทั้งปวง
เป็นเจ้าชีวิตของหมู่สัตว์ ก็ชื่อว่าเป็นเจ้าชีวิตอยุติธรรม
เมื่อธรรมมีอยู่ พรหมนั้นก็จัดโลกไม่เที่ยงธรรม ตั๊ก

21
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ชาดก เล่ม ๔ ภาค ๓ – หน้าที่ 22 (เล่ม 64)

แตน ผีเสื้อ งู แมลงภู่ หนอน และแมลงวัน ใคร
ฆ่าแล้วย่อมบริสุทธิ์ ธรรมเหล่านี้ไม่ใช่ของพระอริยะ
เป็นธรรมผิด ๆ ของชาวกัมโพชรัฐเป็นอันมาก
[๗๗๒] ถ้าแหละคนฆ่าเขาแล้วย่อมบริสุทธิ์
และผู้ถูกฆ่าย่อมเข้าถึงแดนสวรรค์ พวกพราหมณ์ก็
พึงฆ่าพวกพราหมณ์ด้วยกันซิ หรือพึงฆ่าพวกที่หลง
เชื่อถ้อยคำของพราหมณ์ด้วยกันเสียซิ พวกเนื้อ ปศุ-
สัตว์และโคตัวไหน ๆ ไม่ได้อ้อนวอนเพื่อให้ฆ่าตนเลย
ล้วนแต่ดิ้นรนต้องการมีชีวิตอยู่ในโลกนี้ ชนทั้งหลาย
ย่อมนำเอาสัตว์และปศุสัตว์เข้าผูกที่เสายัญ พวกคน
พาลย่อมยืนหน้าเข้าไปที่เสาบูชายัญเป็นที่ผูกสัตว์ ด้วย
การพรรณนาต่าง ๆ ว่า เสายัญนี้จะให้สิ่งที่น่าใคร่แก่
ท่านในโลกหน้า จะเป็นของยั่งยืนในสัมปรายภพ ถ้า
ว่าบุคคลพึงได้แก้วมณี สังข์ มุกดา ข้าวเปลือก
ทรัพย์ เงิน ทอง ที่เสายัญ ในไม้แห้งและไม้สดไซร้
อนึ่ง เสายัญจะพึงให้สิ่งที่น่าใคร่ทั้งปวงในไตรทิพย์ได้
พราหมณ์เท่านั้นพึงบูชายัญ ผู้ที่ไม่ใช่พราหมณ์ก็จะ
ไม่พึงให้พราหมณ์บูชายัญอะไร ๆ เลย แก้วมณี สังข์
มุกดา ข้าวเปลือก ทรัพย์ เงิน ทอง จักมีที่เสายัญ
ที่ไม้แห้ง ที่ไม้สดที่ไหน เสายัญจะพึงให้สิ่งที่น่าใคร่
ทั้งปวงในไตรทิพย์ที่ไหน พราหมณ์เหล่านี้เป็นคนโอ้
อวด หยาบช้า โง่เขลา โลภจัด ยื่นหน้าเข้าไปด้วย

22
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ชาดก เล่ม ๔ ภาค ๓ – หน้าที่ 23 (เล่ม 64)

การพรรณนาต่าง ๆ จงถือเอาไฟมา และจงให้ทรัพย์
แก่เรา แต่นั้นท่านให้สิ่งที่น่าใคร่ทั้งปวงแล้ว จักมีความ
สุข พวกที่โกนผมโกนหนวดและตัดเล็บพาพระราชา
หรือมหาอำมาตย์เข้าไปยังโรงบูชาไฟ ยื่นหน้าเข้าไป
ด้วยการพรรณนาต่าง ๆ ย่อมถือเอาทรัพย์ด้วยเวท
พวกพราหมณ์ผู้โกหก พอหลอกลวงได้คนหนึ่ง ก็มา
ประชุมกินกันเป็นอันมาก เหมือนฝูงกาตอมนกเค้า
หลอกเอาจนเกลี้ยงแล้ว เก็บไว้ที่บริเวณบูชายัญ พวก
พราหมณ์ลวงผู้นั้นได้คนหนึ่งอย่างนี้แล้ว ก็พากันมา
เป็นอันมาก ใช่ความพยายามล่อหลอก พรรณนาด้วย
สิ่งที่ไม่แลเห็นปล้นเอาทรัพย์ที่แลเห็นไป เหมือนพวก
ราชบุรุษ ที่พระราชาสอนให้เก็บส่วย เก็บทรัพย์ของ
พระราชาไป ฉะนั้น ดูก่อนอริฏฐะ พราหมณ์เช่นนั้น
เป็นโจร ไม่ใช่สัตบุรุษ เป็นผู้ควรจะฆ่าในโลก พวก
พราหมณ์กล่าวว่า ไม่ทองหลางเป็นแขนขวาของพระ-
อินทร์ จึงตัดเอาไม้ทองหลางมาใช้ในยัญนี้ ถ้าคำนั้น
เป็นคำจริง พระอินทร์ก็แขนขาด ทำไมพระอินทร์จึง
ชนะพวกอสูรด้วยกำลังแขนนั้นได้ คำนั้นเป็นคำเท็จ
พระอินทร์ยังมีแขนพร้อม เป็นเทวดาชั้นเลิศ ไม่มีใคร
ฆ่าได้ กำจัดอสูรได้ มนต์ของพราหมณ์เหล่านี้เหลว
เปล่า หลอกลวงกันให้เห็นได้เฉพาะในโลกนี้ ภูเขา
มาลาคิรี ขุนเขาหิมวันต์ ภูเขาวิชฌะ ภูเขาสุทัสนะ
ภูเขานิสภะ ภูเขากากเวรุ ภูเขาใหญ่อื่น ๆ ที่กล่าวกัน

23
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ชาดก เล่ม ๔ ภาค ๓ – หน้าที่ 24 (เล่ม 64)

ว่า พวกพราหมณ์ผู้บูชายัญเอาอิฐเช่นใดมาสร้างภูเขา
อิฐเช่นนั้นก็ไม่ใช่ธรรมชาติของภูเขา ภูเขาเป็นอย่าง
อื่น ไม่หวั่นไหว เห็นได้ชัด ๆ ว่าเป็นหิน ไม่ใช่อิฐ
เป็นหินมานมนาน เหล็กและโลหะย่อมไม่เกิดในอิฐ
ที่พวกพราหมณ์สรรเสริญยัญกล่าวไว้ว่า ผู้บูชายัญก่อ
สร้างไว้ ชนทั้งหลายเรียกพราหมณ์ผู้ทรงเวท ผู้เข้า
ถึงคุณแห่งมนต์ ผู้มีตบะในโลกนี้ว่า ผู้ประกอบใน
การขอ มหาสมุทรซัดท่วมพราหมณ์นั้น ผู้กำลังตระ-
เตรียมน้ำอยู่ที่ฝั่งมหาสมุทร เพราะเหตุนั้น น้ำในมหา-
สมุทรจึงดื่มไม่ได้ แม่น้ำพัดเอาพราหมณ์ผู้เรียนเวท
ทรงมนต์ ไปเกินกว่าพัน เหตุไรน้ำในแม่น้ำจึงมีรส
ไม่เสีย มหาสมุทรเท่านั้นดื่มไม่ได้ บ่อน้ำทั้งหลายใน
มนุษยโลกนี้ ที่เขาขุดไว้เกิดเป็นน้ำเค็มก็มี แต่ไม่ใช่
เค็มเพราะท่วมพราหมณ์ตาย น้ำในบ่อเหล่านั้นดื่มไม่
ได้ เป็นนำรู้รสสองอย่าง ครั้งดึกดำบรรพ์ตั้งแต่ปฐม
กัป ใครเป็นภรรยาใคร ใครได้ให้มนุษย์เกิดขึ้นก่อน
โดยธรรมแม้นั้น ใครๆ ไม่เลวไปกว่าใคร ท่านกล่าว
จำแนกส่วนไว้อย่างนี้ แม้ลูกคนจัณฑาลก็พึงเรียนเวท
สวดมนต์ได้ (ถ้า) เป็นคนฉลาดมีความคิด หัวของ
เขาก็ไม่พึงแตกเจ็ดเสี่ยง มนต์เหล่านี้พวกพรหมสร้าง
ไว้เพื่อฆ่าตน เป็นการสร้างแต่ปาก เป็นการสร้างยึด
ถือไว้ด้วยความโลภ เปลื้องได้ยาก เข้าถึงคลองด้วย
คำของพวกพราหมณ์ผู้แต่งกาพย์กลอน จิตของพวก

24
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ชาดก เล่ม ๔ ภาค ๓ – หน้าที่ 25 (เล่ม 64)

คนโง่ ยังหลงในทางลุ่มๆ ดอน ๆ คนไม่มีปัญญาเชื่อ
เอาจริงจัง ราชสีห์ เสือโคร่ง เสือเหลือง มีกำลัง
อย่างลูกผู้ชาย พราหมณ์ไม่มีกำลังเช่นนั้นเลย ความ
เป็นมนุษย์ของพราหมณ์เหล่านั้น พึงเห็นเหมือนของ
โค ชาติของพราหมณ์เหล่านั้นเท่านั้น ไม่มีใครเสมอ
สิ่งอื่น ๆ เสมอกันหมด ถ้าแหละพระราชาทรงชำนะ
หมู่ศัตรูได้ โดยลำพังพระองค์เอง ประชาราษฎร์ของ
พระราชานั้นพึงมีสุขอยู่เสมอ มนต์ของกษัตริย์และ
ไตรเพทเหล่านี้ มีความหมายเสมอกัน ถ้าไม่วินิจฉัย
ความแห่งมนต์และไตรเพทนั้นก็ไม่รู้ เหมือนทางที่น้ำ
ท่วม มนต์ของกษัตริย์และไตรเพทเหล่านี้ มีความ
หมายเสมอกัน ลาภ ไม่มีลาภ ยศ และไม่มียศ ทั้ง
หมดเทียว เป็นธรรมดาของวรรณะทั้ง ๔ นั้น พวก
คฤหบดีใช้คนจำนวนมากให้ทำงานในแผ่นดิน เพราะ
เหตุแห่งทรัพย์และข้าวเปลือก ฉันใด แม้พวกพรา-
หมณ์ผู้ทรงไตรเพทก็ฉันนั้น ย่อมใช้คนเป็นจำนวน
มากให้ทำการงานในแผ่นดินในวันนี้ พราหมณ์เหล่า
นั้นเสมอกันกับคฤหบดี มีความขวนขวายประกอบใน
กามคุณเป็นนิตย์ ใช้คนเป็นจำนวนมากให้ทำการงาน
ในแผ่นดินเหมือนกัน พราหมณ์เหล่านั้นเป็นผู้รู้รส
สองอย่าง หาปัญญามิได้.

25
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ชาดก เล่ม ๔ ภาค ๓ – หน้าที่ 26 (เล่ม 64)

[๗๗๓] กระบวนกลอง ตะโพน สังข์ บัณ-
เฑาะว์และมโหรทึกของใคร มาข้างหน้า ทำให้
พระราชาจอมทัพทรงหรรษา ใครมีสีหน้าสุกใสด้วย
แผ่นทองคำอันหนา มีพรรณดังสายฟ้า ชันษายังหนุ่ม
แน่น สอดสวมแล่งธนูรุ่งเรืองด้วยสิริมาอยู่ นั่นเป็นใคร
ไตรมีพักตร์ผ่องไสเพียงดังทอง เหมือนถ่านไฟไม้ตะ-
เคียนซึ่งลุกโชนอยู่ที่ปากเบ้า รุ่งเรืองด้วยสิริมาอยู่ ใคร
นั่น มีฉัตรทองชมพูนุชมีซี่น่ารื่นรมย์ใจสำหรับกันรัศ-
มีพระอาทิตย์ รุ่งเรืองด้วยสิริมาอยู่ ใครนั่นมีปัญญา
ประเสริฐ มีพัดวาลวิชนีอย่างดีเยี่ยม อันคนใช้ประคอง
ณ เบื้องบนเศียรทั้งสองข้าง คนทั้งหลายถือกำหางนก
ยูงอันวิจิตรอ่อนสลวย มีด้ามล้วนแล้วด้วยทองและ
แก้วมณี จรลีมาทั้งสองข้าง ข้างหน้าของใคร กุณฑล
อันกลมเกลี้ยง มีรัศมีดังสีถ่านไม้ตะเคียนซึ่งลุกโซนอยู่
ที่ปากเบ้า งดงามอยู่ทั้งสองข้าง ข้างหน้าของใคร
เส้นผมของใครต้องลมอยู่ไหว ๆ ปลายสนิทละเอียด
ดำ งามจดนลาต ดังสายฟ้าพุ่งขึ้นจากท่องฟ้า ใคร
มีเนตรซ้ายขวากว้างและใหญ่ งาม มีพักตร์ผ่องใส
ดังคันฉ่องทอง ใครมีโอษฐ์สะอาดเหมือนสังข์อันขาว
ผ่อง เมื่อเจรจา (แลเห็น) ฟันขาวสะอาดงามดังดอก

26
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ชาดก เล่ม ๔ ภาค ๓ – หน้าที่ 27 (เล่ม 64)

มณฑารพตูม ใครมีมือและเท้าทั้งสองมีสีเสมอด้วยน้ำ
ครั่ง ตั้งอยู่ในที่สบาย มีริมฝีปากเปล่งปลังดังผลมะ-
พลับ งามดังดวงอาทิตย์ ใครนั่นมีเครื่องปกคลุมขาว
สะอาด ดังหนึ่งต้นสาละใหญ่มีดอกสะพรั่งข้างเขาหิม-
วันต์ในฤดูหิมะตก งามปานดังพระอินทร์ผู้ได้ชัยชนะ
ใครนั่น นั่งอยู่ท่ามกลางบริษัท คล้องพระแสงขรรค์
คร่ำทอง วิจิตรด้วยด้ามแก้วมณีที่อังสา ใครนั่น สวม
รองเท้าทองอันวิจิตร เย็บเรียบร้อย สำเร็จเป็นอัน
ดี ข้าพเจ้าขอนอบน้อมต่อผู้แสวงหาคุณอันใหญ่.
[๗๗๔] ผู้ที่มาเหล่านี้ เป็นนาคที่มีฤทธิ์ เรืองยศ
เป็นลูกท้าวธตรฐ เกิดแต่นางสมุททชา นาคเหล่านี้มี
ฤทธิ์มาก.
จบภูริทัตชาดกที่ ๖

27