หมู่พระญาติ ทรงพระดำริว่า ควรจะกระทำการสงเคราะห์ญาติไว้ ทรงโปรดสัตว์
ในตอนเช้า เสด็จกลับจากบิณฑบาตแล้ว ทรงสำเร็จสีหไสยาในพระคันธกุฎี
เวลาเย็นเสด็จไปทางอากาศ ประทับนั่ง ณ โคนไม้อันมีเงาห่างต้นหนึ่ง ใกล้
พระนครกบิลพัสดุ์ ณ ที่ไม่ไกลจากตรงนั้น ในรัชสีมาแห่งเจ้าวิฏฏุภะมีต้นไทร
ใหญ่เงาร่มชิด เจ้าวิฏฏุภะเห็นพระศาสดาเข้าไปเฝ้าถวายบังคมแล้ว กราบทูลว่า
ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ในเวลาร้อนเห็นปานนี้ เหตุไรพระองค์จึงทรงประทับนั่ง
ณ โคนต้นไม้อันมีเงาห่างต้นนี้ เชิญพระองค์ประทับนั่ง ณ โคนต้นไม้มีเงา
ร่มชิดต้นหนึ่งเถิด พระเจ้าข้า ครั้นมีพระดำรัสว่า ช่างเถิดมหาบพิตร ธรรมดา
ว่าร่มเงาของหมู่ญาติเย็นสบาย ก็ดำริว่า พระศาสดาคงเสด็จมาเพื่อป้องกัน
หมู่ญาติไว้ ถวายบังคมพระศาสดา เสด็จกลับคืนสู่พระนครสาวัตถีทันที แม้
พระศาสดาก็เสด็จเหาะไปสู่พระวิหารเชตวันดุจกัน พระราชาทรงระลึกถึงโทษ
ของหมู่ศากยะได้ ก็ยกพลออกแม้ครั้งที่ ๒ คงพบพระศาสดาตรงนั้นเหมือนกัน
เสด็จกลับเสียอีก ในวาระที่ ๓ ทรงยกพลออก คงพบพระศาสดาตรงนั้น
นั่นแหละต้องกลับ.
แต่ในวาระที่ ๔ เมื่อท้าวเธอยกพลออกไป พระศาสดาทรงตรวจดู
บูรพกรรมของหมู่ศากยะ ทรงทราบความที่กรรมอันเป็นบาป คือการโปรย
ยาพิษใส่ในแม่น้ำของศากยะเหล่านั้น นั้นเป็นกรรมที่จะป้องกันมิได้ ไม่
เสด็จไปในวาระที่ ๔ ราชาวิฏฏุภะ ฆ่าเจ้าศากยะเสียทั้งหมดตั้งแต่เด็กที่
กำลังดื่มนม เอาเลือดที่คอล้างแผ่นกระดานที่ตนนั่ง แล้วเสด็จกลับมา ก็แล
เมื่อพระศาสดาเสด็จกลับจากการที่เสด็จในวาระที่ ๓ รุ่งขึ้นเสด็จไปโปรดสัตว์
เสวยเสร็จเสด็จเข้าสู่พระคันธกุฎี ถึงเวลาเย็นพวกภิกษุประชุมกันนั่งในธรรมสภา
พากันกล่าวแถลงพระคุณของพระผู้มีพระภาคเจ้าว่า ผู้มีอายุทั้งหลาย พระศาสดา
ทรงแสดงพระองค์ให้พระราชากลับเสีย ทรงเปลื้องหมู่ญาติจากมรณภัย พระ-