หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ชาดก เล่ม ๓ ภาค ๖ – หน้าที่ 122 (เล่ม 60)

หมู่พระญาติ ทรงพระดำริว่า ควรจะกระทำการสงเคราะห์ญาติไว้ ทรงโปรดสัตว์
ในตอนเช้า เสด็จกลับจากบิณฑบาตแล้ว ทรงสำเร็จสีหไสยาในพระคันธกุฎี
เวลาเย็นเสด็จไปทางอากาศ ประทับนั่ง ณ โคนไม้อันมีเงาห่างต้นหนึ่ง ใกล้
พระนครกบิลพัสดุ์ ณ ที่ไม่ไกลจากตรงนั้น ในรัชสีมาแห่งเจ้าวิฏฏุภะมีต้นไทร
ใหญ่เงาร่มชิด เจ้าวิฏฏุภะเห็นพระศาสดาเข้าไปเฝ้าถวายบังคมแล้ว กราบทูลว่า
ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ในเวลาร้อนเห็นปานนี้ เหตุไรพระองค์จึงทรงประทับนั่ง
ณ โคนต้นไม้อันมีเงาห่างต้นนี้ เชิญพระองค์ประทับนั่ง ณ โคนต้นไม้มีเงา
ร่มชิดต้นหนึ่งเถิด พระเจ้าข้า ครั้นมีพระดำรัสว่า ช่างเถิดมหาบพิตร ธรรมดา
ว่าร่มเงาของหมู่ญาติเย็นสบาย ก็ดำริว่า พระศาสดาคงเสด็จมาเพื่อป้องกัน
หมู่ญาติไว้ ถวายบังคมพระศาสดา เสด็จกลับคืนสู่พระนครสาวัตถีทันที แม้
พระศาสดาก็เสด็จเหาะไปสู่พระวิหารเชตวันดุจกัน พระราชาทรงระลึกถึงโทษ
ของหมู่ศากยะได้ ก็ยกพลออกแม้ครั้งที่ ๒ คงพบพระศาสดาตรงนั้นเหมือนกัน
เสด็จกลับเสียอีก ในวาระที่ ๓ ทรงยกพลออก คงพบพระศาสดาตรงนั้น
นั่นแหละต้องกลับ.
แต่ในวาระที่ ๔ เมื่อท้าวเธอยกพลออกไป พระศาสดาทรงตรวจดู
บูรพกรรมของหมู่ศากยะ ทรงทราบความที่กรรมอันเป็นบาป คือการโปรย
ยาพิษใส่ในแม่น้ำของศากยะเหล่านั้น นั้นเป็นกรรมที่จะป้องกันมิได้ ไม่
เสด็จไปในวาระที่ ๔ ราชาวิฏฏุภะ ฆ่าเจ้าศากยะเสียทั้งหมดตั้งแต่เด็กที่
กำลังดื่มนม เอาเลือดที่คอล้างแผ่นกระดานที่ตนนั่ง แล้วเสด็จกลับมา ก็แล
เมื่อพระศาสดาเสด็จกลับจากการที่เสด็จในวาระที่ ๓ รุ่งขึ้นเสด็จไปโปรดสัตว์
เสวยเสร็จเสด็จเข้าสู่พระคันธกุฎี ถึงเวลาเย็นพวกภิกษุประชุมกันนั่งในธรรมสภา
พากันกล่าวแถลงพระคุณของพระผู้มีพระภาคเจ้าว่า ผู้มีอายุทั้งหลาย พระศาสดา
ทรงแสดงพระองค์ให้พระราชากลับเสีย ทรงเปลื้องหมู่ญาติจากมรณภัย พระ-

122
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ชาดก เล่ม ๓ ภาค ๖ – หน้าที่ 123 (เล่ม 60)

ศาสดาทรงประพฤติประโยชน์แก่หมู่พระญาติอย่างนี้ พระศาสดาเสด็จมาตรัส
ถามว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เมื่อกี้พวกเธอประชุมสนทนากันด้วยเรื่องอะไร
เมื่อพวกภิกษุกราบทูลให้ทรงทราบแล้วตรัสว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย มิใช่แต่
ในบัดนี้เท่านั้น ที่ตถาคตประพฤติประโยชน์แก่หมู่ญาติ แม้ในครั้งก่อนก็ได้
ประพฤติแล้วเหมือนกัน ภิกษุเหล่านั้นกราบทูลอาราธนา ทรงนำอดีตนิทาน
มาดังต่อไปนี้
ในอดีตกาล ครั้งพระราชาทรงพระนามว่าพรหมทัต มิได้ทรงละเมิด
ทศพิธราชธรรม ดำรงราชย์โดยธรรมในพระนครพาราณสี วันหนึ่งทรงพระ-
ดำริว่า บรรดาพระราชาในพื้นชมพูทวีป พากันอยู่ในปรางปราสาทมีเสามาก
เหตุนั้นอันการสร้างพระปราสาทด้วยเสามาก ๆ จึงไม่เป็นข้ออัศจรรย์ ถ้ากระไร
เราลองสร้างปราสาทเสาเดียวดูบ้าง ด้วยอย่างนี้เราคงเป็นราชาผู้เลิศกว่าพระราชา
ทั้งปวงได้ ท้าวเธอจึงมีรับสั่งเรียกช่างไม้มาเฝ้า ตรัสว่า พวกเจ้าจงสร้าง
ปราสาทเสาเดียว อันถึงความงามเลิศแก่เรา ช่างไม้เหล่านั้นรับพระดำรัสว่าสาธุ
พากันเข้าป่า พบต้นไม้ทั้งตรงทั้งใหญ่ เหมาะที่จะสร้างปราสาทเสาเดียวเป็น
อันมาก คิดกันว่า ต้นไม้เหล่านี้ ใช้ได้อยู่ แต่หนทางไม่สม่ำเสมอ ไม่สามารถ
จะชักลงได้ พวกเราต้องพากันกราบทูลพระราชา ได้กระทำอย่างนั้น พระราชา
ตรัสว่า จะค่อย ๆ ชักลงมาตามแต่จะมีอุบายไม่ได้หรือ ครั้นพวกนั้นพากัน
กราบทูลว่า ขอเดชะ พระผู้สมมติเทพเจ้า จะใช้อุบายอะไร ๆ ก็สุดสามารถ
ที่จะชักลงได้ พระเจ้าข้า ตรัสว่า ถ้าเช่นนั้น จงสำรวจดูต้นไม้ต้นหนึ่งในอุทยาน
ของเราซิ พวกช่างไม้พากันไปสู่อุทยาน เห็นต้นรังอันเป็นมิ่งมงคล ต้นหนึ่ง
เปลาตรง ชาวบ้านชาวตำบลพากันบูชา ได้พลีกรรมแม้จากราชสกุล พากัน
ไปสู่ราชสำนักกราบทูลเนื้อความนั้น พระราชาตรัสว่า ธรรมดาต้นไม้ในอุทยาน

123
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ชาดก เล่ม ๓ ภาค ๖ – หน้าที่ 124 (เล่ม 60)

ของเรา เป็นของที่เราได้เฉพาะ ไปเถิด พากันโค่นต้นไม้นั้นเถิด ช่างไม้เหล่านั้น
พากันรับพระดำรัสว่าสาธุแล้ว ต่างคนถือของหอมและดอกไม้เป็นต้น ไปสู่
อุทยาน กระทำการเจิม ๕ นิ้ว ด้วยแป้งหอมที่ต้นไม้ วงด้ายห้อยพวงดอกไม้
จุดประทีป ทำพลีกรรม ร้องบอกกล่าวว่า ในวันคำรบ ๗ จากวันนี้ พวกเรา
จะพากันมาตัดต้นไม้ พระราชาทรงอนุมัติให้ตัดได้ เชิญเทพยดาผู้บังเกิด ณ
ต้นไม้นี้ ไป ณ ที่อื่น โทษจะไม่มีแก่ข้าพเจ้าทั้งหลาย ครั้งนั้นเทพยดาผู้เกิด
ที่ต้นไม้นั้น ฟังถ้อยคำนั้น คิดว่า ไม่ต้องสงสัยเลย ช่างไม้เหล่านี้คงตัดต้นไม้นี้
วิมานของเราต้องฉิบหาย ก็แลชีวิตของเราเล่านะ สุดสิ้นกันที่วิมานเท่านั้นเอง
หมู่วิมานเป็นอันมาก แม้แห่งฝูงเทวดาผู้เป็นญาติของเรา ที่พากันเกิดแล้ว ณ
ต้นรังหนุ่ม ๆ อันตั้งล้อมต้นไม้นี้ จักต้องฉิบหายกัน ก็แลความวินาศของตน
จะไม่เบียดเบียนเราได้เลย เหมือนกับที่จะไม่เบียดเบียนฝูงญาติได้ เหตุนั้น
ควรที่เราจะให้ทานชีวิตแก่หมู่ญาติเหล่านั้น ครั้นเวลากลางคืน ประดับกาย
ด้วยอลังการอันเป็นทิพย์ เข้าไปสู่ห้องอันทรงสิริของพระราชา กระทำห้อง
ทุกส่วนให้สว่างจ้าเป็นอันเดียวกัน ได้ยืนร้องไห้อยู่ ณ เบื้องพระเศียร พระ-
ราชาทอดพระเนตรเห็นเทวดานั้น ทรงตระหนกพระหฤทัย เมื่อทรงปราศรัย
กับท่าน ตรัสคาถาเป็นปฐมว่า
ท่านเป็นใคร มีผ้าอันสะอาดหมดจด มายืนอยู่
บนอากาศ เพราะเหตุไร น้ำตาของท่านจึงไหล ภัยมา
ถึงท่านแต่ที่ไหน.
บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า กา ตฺวํ ความว่า พระราชตรัสถามว่า ใน
บรรดาอมนุษย์มีนาค ยักษ์ ครุฑและท้าวสักกะเป็นต้น ท่านชื่อว่า เป็นอะไร.
บทว่า วตฺเถหิ นี้เป็นเพียงถ้อยคำเท่านั้น. ที่จริงตรัสมุ่งหมายเอาเครื่องประดับ

124
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ชาดก เล่ม ๓ ภาค ๖ – หน้าที่ 125 (เล่ม 60)

เป็นทิพย์แม้ทั้งหมดทีเดียว. บทว่า อเฆ แปลว่า ไม่มีที่ติดขัด ได้แก่ อากาศ..
บทว่า เวหาสยํ นี้เป็นไวพจน์ของอากาศนั้นแล. บทว่า เกน ตยสฺสูทิ
ความว่า น้ำตาของท่านไหลหลั่งพรั่งพรูด้วยเหตุไร. บทว่า กุโต ความว่า
พระราชาตรัสถามว่า ภัยมาถึงท่านเพราะอาศัยเรื่องอะไร บรรดาอนัตถะมีความ
พลัดพรากจากญาติและความพินาศแห่งทรัพย์เป็นต้น.
เทวราชฟังพระดำรัสนั้นแล้ว ได้กล่าวคาถา ๒ คาถาว่า
ข้าแต่พระองค์ผู้สมมติเทพ เมื่อหม่อมฉันได้รับ
การบูชาอยู่ ๖๐,๐๐๐ ปี ชนทั้งหลายรู้จักหม่อมฉันว่า
ภัททสาละ ในแว่นแคว้นของพระองค์นี้แล.
ข้าแต่พระองค์ผู้เป็นใหญ่ในทิศ พระราชาพระ-
องค์ก่อน เมื่อสร้างพระนคร อาคารและปราสาท
ต่าง ๆ พระราชาเหล่านั้น บูชาหม่อมฉัน ฉันใด
แม้พระองค์ก็จงบูชาหม่อมฉัน ฉันนั้นเถิด.
บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า ติฏฺฐโต ความว่า เทวราชแสดงว่า
ข้าแต่พระมหาราชเจ้า เมื่อหม่อมฉันอันชาวกรุงพาราณสีทั่วหน้า และชาวบ้าน
ชาวนิคม ทั้งพระองค์บูชาได้รับพลีกรรมและสักการะเป็นนิตย์ ดำรงอยู่ในอุทยาน
แห่งนี้ และประมาณถึงเท่านี้ผ่านไป. บทว่า นครานิ ความว่า กระทำ
ปฏิสังขรณ์เมือง. บทว่า อคาเร จ ได้แก่ เรือนบนแผ่นดิน. บทว่า
ิทิสมฺปติ ความว่า ข้าแด่พระมหาราช ผู้เป็นเจ้าเป็นใหญ่แห่งทิศ. บทว่า
น มนฺเต ความว่า ท่านเหล่านั้นคือพระราชาแต่ครั้งก่อนในพระนครนี้
เมื่อทรงกระทำการซ่อมพระนครเป็นต้น ไม่ทรงดูหมิ่น ไม่กล้ำกลาย คือไม่
เบียดเบียนหม่อมฉัน หมายความว่า มิได้ทรงตัดต้นไม้อันเป็นที่อยู่ของหม่อมฉัน

125
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ชาดก เล่ม ๓ ภาค ๖ – หน้าที่ 126 (เล่ม 60)

ทำกรรมของตน แต่คงกระทำสักการะแก่หม่อมฉันถ่ายเดียว นี้เป็นคำพูดเทวดา.
บทว่า ยเถว ความว่า เหตุนั้น พระราชาแต่ครั้งก่อนเหล่านั้นพากันบูชา
หม่อมฉัน แม้พระองค์เดียว ก็มิเคยรับสั่งให้ตัดต้นไม้ ฉันใด แม้พระองค์เล่า
ก็ทรงบูชา อย่าตัดต้นไม้ของหม่อมฉันเสียเลย ฉันนั้นเหมือนกัน.
ลำดับนั้น พระราชาได้ตรัสคาถา ๒ คาถาว่า
ก็ข้าพเจ้ามิได้เห็นต้นไม้อื่น ๆ ที่จะใหญ่โต
เหมือนท่าน โดยประมาณ ท่านเป็นไม้งามแต่กำเนิด
ด้วยย่านและปริมณฑล.
ข้าพเจ้าจะให้นายช่างทำปราสาทมีเสาเดียวเป็นที่
รื่นรมย์ใจ ข้าพเจ้าจะเชื้อเชิญท่านมาอยู่ที่ปราสาทนั้น
ดูก่อนเทวดา ชีวิตของท่านจักยั่งยืน.
บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า กาเยน แปลว่า โดยประมาณ. ท่าน
กล่าวคำอธิบายนี้ไว้ว่า ข้าพเจ้าไม่เห็นต้นไม้อื่น ๆ ที่ไหนใหญ่โตโดยขนาด
เหมือนต้นนั้นของท่าน ก็แลต้นไม้ของท่านนั่นแล มีท่าทีงดงาม คือถึงส่วน
แห่งความงาม เหมาะแก่ปราสาทเสาเดียว โดยที่สูงโปร่งเปลาตลอด และโดย
ชาติคือเกิดแล้วดี มีสัณฐานกลมและตรงเป็นข้อสำคัญ เหตุนั้น ข้าพเจ้าจึง
ให้คนตัดสร้างปราสาททีเดียว ดูก่อนเทวราชผู้สหาย ก็แต่ว่าข้าพเจ้าจักเชื้อเชิญ
ท่านเข้าไปอยู่ในปราสาทนั้น. ท่านนั้น เมื่ออยู่ร่วมกับข้าพเจ้า ได้รับของหอม
และดอกไม้เป็นต้นอย่างเลิศ ร่ำรวยด้วยสักการะ จักเป็นอยู่อย่างสบาย ท่าน
อย่าร้อนใจเลยว่า ความพินาศจักมีแก่เรา เพราะไม่มีที่อยู่ ชีวิตของท่านจัก
ยืนนานไปนะท่านเป็นที่บูชา.
เทวราชฟังพระดำรัสนั้นแล้ว ได้กล่าวคาถา ๒ คาถาว่า

126
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ชาดก เล่ม ๓ ภาค ๖ – หน้าที่ 127 (เล่ม 60)

ถ้าพระองค์ทรงดำริอย่างนี้ ก็จำต้องพลัดพราก
จากต้นรังอันเป็นร่างกายของหม่อมฉัน พระองค์จงตัด
หม่อมฉันทำเป็นท่อน ๆ ให้มากเถิด.
พระองค์จงตัดปลายก่อนแล้วจงตัดท่อนกลาง
ภายหลังจึงตัดที่โคน เมื่อหม่อมฉันถูกตัดอย่างนี้ ถึงจะ
ตายลงก็ไม่เป็นทุกข์.
บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า เอวํ จิตฺตํ อุทปาทิ ความว่า ถ้าว่า
ความคิดอย่างนี้ เกิดแก่พระองค์แล้ว. บทว่า สริเรน วินาภาโว ความว่า
ถ้าความพลัดพรากจากสรีระของหม่อมฉันคือต้นรังงาม พระองค์ได้ทรงตั้งไว้
แก่หม่อมฉัน. บทว่า ปุถุโส ความว่า เมื่อเป็นเช่นนั้น ครั้นทรงตัดต้นรัง
งามนั้นโดยมาก. บทว่า วิกนฺเตตฺวา แปลว่า ตัดแล้ว. บทว่า ขณฺฑโส
ความว่า ครั้นตัดแล้ว โปรดทอนเป็นท่อน ๆ โดยลำดับ. บทว่า อคฺเค จ
ความว่า ครั้นตัดแล้ว จงตัดปลายก่อน ต่อแต่นั้น ตัดส่วนกลาง หลังเขา
ทั้งหมดจงตัดราก เมื่อหม่อมฉันถูกตัดอย่างนี้ ไม่พึงมีความทุกข์ถึงตาย ยังจะ
พอมีความสุขได้เป็นตอน ๆ ทั้งนี้เทวราชวิงวอน.
ลำดับนั้น พระราชาได้ตรัสคาถา ๒ คาถาว่า
ราชบุรุษตัดมือและเท้า ตัดหูและจมูก ภายหลัง
จึงตัดศีรษะของโจรผู้เป็นอยู่ ความตายนั้นชื่อว่าตาย
เป็นทุกข์.
ดูก่อนต้นรังผู้เป็นเจ้าป่า เขาตัดเป็นท่อน ๆ
เป็นสุขหรือหนอ ท่านมีเหตุอะไร มั่นใจอย่างไร จึง
ปรารถนาได้ตัดเป็นท่อน ๆ.

127
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ชาดก เล่ม ๓ ภาค ๖ – หน้าที่ 128 (เล่ม 60)

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า หตฺถปาทํ แปลว่า ซึ่งมือแลเท้า. บทว่า
ตํ ทุกฺขํ ความว่า เมื่อโจรถูกตัดโดยลำดับอย่างนี้ พึงมีความทุกข์แทบ
ประดาตาย. บทว่า สุขํ นุ ความว่า ดูก่อนไม้รังผู้สหาย โจรที่ต้องโทษ
ประหาร ปรารถนาจะตายโดยความสุขย่อมขอร้องให้ตัดศีรษะ ไม่ขอร้องให้
ตัดทีละท่อนกันเลย แต่ท่านขอร้องอย่างนี้ เหตุนั้น ข้าพเจ้าขอถามท่านว่า จะ
มีสุขไฉนที่ถูกตัดทีละท่อน. บทว่า กึ เหตุ ความว่า ขึ้นชื่อว่า การตัด
ทีละท่อน ไม่มีความสุขเลย แต่ในเรื่องนี้คงมีเหตุ พระราชาเมื่อตรัสถาม
ดังนี้กะเทวราชานั้น จึงได้ตรัสอย่างนี้.
ลำดับนั้น เทพดาไม้รังงามเมื่อจะบอกแก่พระองค์ จึงกล่าวคาถา ๒
คาถาว่า
ข้าแต่มหาราช หม่อมฉันยึดมั่นเหตุอันใด อัน
เป็นเหตุประกอบด้วยธรรม ปรารถนาให้ตัดเป็นท่อน ๆ
ขอพระองค์จงทรงสดับเหตุนั้น.
หมู่ญาติของหม่อมฉัน เจริญอยู่ด้วยความสุข
เกิดแล้วใกล้ต้นรังข้างหม่อมฉัน พึงเข้าไปเบียดเบียน
หมู่ญาติเหล่านั้น เมื่อเป็นเช่นนี้ หม่อมฉันชื่อว่าเข้าไป
สั่งสมสิ่งที่มิใช่ความสุขให้แก่คนเหล่าอื่น เหตุนั้น
หม่อมฉันจึงปรารถนาให้ตัดเป็นท่อนๆ.
บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า เหตุธมฺมูปสญฺหิตํ ความว่า ข้าแต่
พระมหาราช หม่อมฉันยึดมั่น ปรารถนาคือมุ่งหมายเหตุอันสมควรแก่ความจริง
ทีเดียว มิใช่เพียงเหตุอันเหมาะ ทูลว่า หม่อมฉันปรารถนาจะให้ตัดทีละท่อน
เชิญพระองค์ทรงเงี่ยพระโสตสดับต้นเหตุนั้นเถิด พระเจ้าข้า. บทว่า ญาติ เม

128
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ชาดก เล่ม ๓ ภาค ๖ – หน้าที่ 129 (เล่ม 60)

ความว่า หมู่เทพยดาผู้เป็นญาติของหม่อมฉัน พากันเติบโตอย่างเป็นสุขในร่ม
เงาแห่งสาลพฤกษ์อันงามของหม่อมฉัน. บทว่า มม ปสฺเส ความว่า บังเกิด
ณ สาลพฤกษ์หนุ่ม ๆ ได้ชื่อว่าเกิด ณ ที่อับลม เพราะหม่อมฉันช่วยต้านทาน
ลมไว้มีอยู่ เมื่อหม่อมฉันมีกิ่งและคาคบกว้างขวางถูกตัดที่โคนโค่นลงอยู่ พึง
รังแกพวกญาติได้ คือกระทำให้วิมานหักลู่แหลกลาญได้. บทว่า ปเรสํ อสุ-
โขจิตํ ความว่า เมื่อเป็นเช่นนี้ ความไม่สุขคือความทุกข์ เป็นอันหม่อมฉัน
กอบโกยให้ เพิ่มพูนให้แก่คนอื่น คือหมู่เทพยดาผู้เป็นญาติเหล่านั้น ก็แล
หม่อมฉันมิได้ปรารถนาความทุกข์แก่พวกนั้นเลย เหตุนั้น หม่อมฉันจึงขอ
ปรารถนาให้ตัดต้นรังงามทีละท่อน พระเจ้าข้า.
พระราชาทรงสดับเทวาธิบายนั้นแล้ว ทรงยินดีว่า เทวบุตรนี้เป็น
ผู้ดำรงธรรมจริงเทียว มิได้ปรารถนาจะทำลายวิมานของหมู่ญาติ แม้เพราะ
ความพินาศแห่งวิมานของตน ประพฤติประโยชน์แก่หมู่ญาติ เราต้องให้อภัย
แก่เธอ ตรัสพระคาถาสุดท้ายว่า
ดูก่อนต้นรังผู้เป็นเจ้าแห่งป่า ท่านย่อมคิดสิ่งที่
ควรคิด ท่านเป็นผู้ปรารถนาประโยชน์แก่หมู่ญาติ
ดูก่อนสหาย ข้าพเจ้าให้อภัยแก่ท่าน.
บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า เจตยรูปํ เจเตสิ ความว่า ดูก่อนภัททสาลผู้
สหาย ท่านคิดเรื่องที่ชื่อว่าควรคิด เพราะมีจิตอ่อนในหมู่ญาติทีเดียว. บาลีว่า
เจตยรูปํ เฉเทสิ ดังนี้ก็มี. คำนั้นมีอธิบายว่า เมื่อท่านปรารถนาให้ตัดทีละท่อน
เป็นอันให้ตัดถูกต้องตามที่ควรตัดทีเดียว. บทว่า อภยํ ความว่า พระราชาตรัส
ว่าดูก่อนสหาย ข้าพเจ้าเลื่อมใสในคุณของท่านนี้ ขอให้อภัยแก่ท่าน ข้าพเจ้า
ไม่ต้องการปราสาทละ ข้าพเจ้าจักไม่ให้เขาโค่นต้นไม้นั้นละ เชิญท่านไปเถิด

129
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ชาดก เล่ม ๓ ภาค ๖ – หน้าที่ 130 (เล่ม 60)

ขอท่านผู้มีหมู่ญาติแวดล้อม ได้รับสักการะ ได้รับเคารพ ดำรงชีพเป็นสุข ๆ
เถิด.
เทวราชแสดงธรรมถวายพระราชา แล้วได้กลับไป พระราชาดำรง
พระองค์ในโอวาทของท่าน ทรงกระทำบุญมีถวายทานเป็นต้น ทรงทำทาง
สวรรค์เต็มที่.
พระศาสดาทรงนำพระธรรมเทศนานี้มา ตรัสย้ำว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย
แม้ในกาลก่อน ตถาคตก็ได้ประพฤติญาตัตถจริยาแล้วดุจกันอย่างนี้ ทรง
ประชุมชาดกว่า พระราชาในครั้งนั้น ได้มาเป็นอานนท์ ฝูงเทวดาผู้เกิด ณ
ไม้รังหนุ่ม ๆ ได้มาเป็นพุทธบริษัท ส่วนภัททสาลเทวราช ได้มาเป็นเราผู้
ตถาคตแล.
จบอรรถกถาภัททชาดก
๓. สมุททวาณิชชาดก
ว่าด้วยพ่อค้าทางสมุทร
[๑๖๒๕] ชนทั้งหลายพากันไถ พากันหว่าน
เป็นมนุษย์ผู้ต้องเลี้ยงชีพด้วยผลการงาน ไม่ถึงส่วน
หนึ่งแห่งเกาะอันนี้ เกาะของเรานี้แหละดีกว่าชมพูทวีป.
[๑๖๒๖] ในวันพระจันทร์เพ็ญ ทะเลจักมีคลื่น
จัด จะท่วมเกาะใหญ่นี้ให้จมลง คลื่นทะเลอย่าฆ่าท่าน
ทั้งหลายเสียเลย ท่านทั้งหลายจงพากันไปหาที่พึ่งอาศัย
ที่อื่นเถิด.

130
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ชาดก เล่ม ๓ ภาค ๖ – หน้าที่ 131 (เล่ม 60)

[๑๖๒๗] คลื่นทะเลจะไม่เกิดท่วมเกาะใหญ่นี้
เหตุอันนั้นเราเห็นแล้ว ด้วยนิมิตเป็นอันมาก ท่าน
ทั้งหลายอย่ากลัวเลย จะเศร้าโศกทำไม จงเบิกบาน
ใจเถิด.
[๑๖๒๘] ท่านทั้งหลายจงอยู่ยึดครองเกาะใหญ่นี้
อันมีอาหารเพียงพอ มีข้าวและน้ำมากมายเป็นที่อยู่
อาศัยเถิด เราไม่มองเห็นภัยอันใดอันหนึ่งซึ่งจะเกิดมี
แก่ท่านทั้งหลายเลย ท่านทั้งหลายจงเบิกบานใจอยู่ด้วย
บุตรหลานเถิด.
[๑๖๒๙] เทพบุตรในทิศทักษิณนี้ ย่อมคัดค้าน
ความเกษมสำราญ ถ้อยคำของเทพบุตรนั้นเป็นคำจริง
เทพบุตรในทิศอุดรไม่รู้แจ้งภัย หรือมิใช่ภัย ท่าน
ทั้งหลายอย่ากลัวเลย จะเศร้าโศกไปทำไม จงเบิกบาน
ใจเถิด.
[๑๖๓๐] เทวดาเหล่านี้ย่อมกล่าวผิดกันอย่างไร
เทวดาตนหนึ่งกล่าวว่าจะมีภัย ตนหนึ่งกล่าวว่าปลอด
ภัย ดังเราขอเตือน ท่านทั้งหลายจงฟังถ้อยคำของเรา
เถิด เราทั้งหมดอย่าฉิบหายเสียเร็วพลันเลย.
[๑๖๓๑] เราทั้งปวง จงมาช่วยกันทำเรือใหญ่ให้
มั่นคงติดเครื่องยนต์ไว้พร้อมสรรพ ถ้าเทพบุตรในทิศ
ทักษิณพูดจริง เทพบุตรในทิศอุดรก็พูดค้านเปล่า ๆ.
[๑๖๓๒] เมื่ออันตรายเกิดมีขึ้น เรือของพวกเรา
นั้นก็จักไม่เสียหาย อนึ่ง เราจะไม่ละทิ้งเกาะนี้ ถ้า

131