No Favorites




หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ชาดก เล่ม ๓ ภาค ๖ – หน้าที่ 132 (เล่ม 60)

หากว่าเทพบุตรในทิศอุดรพูดจริง เทพบุตรในทิศ
ทักษิณก็พูดค้านเปล่า ๆ.
[๑๖๓๓] เราทุกคนพึงขึ้นสู่เรือนั้นทันที ข้ามไป
ถึงฝั่งโน้นโดยสวัสดีอย่างนี้ พวกเราไม่พึงเชื่อถือง่าย ๆ
ว่าคำจริงโดยคำแรก ไม่พึงเชื่อถือง่าย ๆ ซึ่งถ้อยคำที่
เทพบุตรกล่าวแล้วในภายหลังว่าเป็นจริง นรชนใดใน
โลกนี้เลือกถือเอาส่วนกลางไว้ได้ นรชนนั้นย่อมเข้าถึง
ซึ่งฐานะอันประเสริฐ.
[๑๖๓๔] กุลบุตรผู้มีปัญญากว้างขวาง แทงตลอด
ประโยชน์ในอนาคตแล้ว ย่อมไม่ให้ประโยชน์นั้น
ผ่านพ้นไปแม้แต่น้อย เหมือนพวกพ่อค้าเหล่านั้น
พากันไปในท่ามกลางทะเลโดยสวัสดี ด้วยกรรมของ
ตน.
[๑๖๓๕] ส่วนพวกคนพาลมัวหมกมุ่นอยู่ในรส
ด้วยโมหะ ไม่แทงตลอดประโยชน์อันเป็นอนาคต
เมื่อความต้องการเกิดขึ้นเฉพาะหน้า ย่อมพากันล่มจม
เหมือนมนุษย์เหล่านั้น พากันล่มจมในท่ามกลางทะเล
ฉะนั้น.
[๑๖๓๖] ชนผู้เป็นบัณฑิตพึงรีบทำกิจที่ควรทำ
ก่อนเสียทีเดียว อย่าให้กิจที่ต้องทำเบียดเบียนตัวได้
ในเวลาที่ต้องการ กิจนั้นไม่เบียดเบียนบุคคลผู้รีบทำ
กิจที่ควรทำเช่นนั้นในเวลาที่ต้องการ.
จบสมุททวาณิชชาดกที่ ๓

132
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ชาดก เล่ม ๓ ภาค ๖ – หน้าที่ 133 (เล่ม 60)

อรรถกถาสมุททวาณิชชาดก
พระศาสดา เมื่อเสด็จประทับอยู่ ณ พระเชตวันมหาวิหาร ทรง
พระปรารภความที่พระเทวทัตพาสกุล ๕๐๐ เข้าไปในนรก ตรัสเรื่อง
นี้มีคำเริ่มต้นว่า กสนฺติ วปนฺติ เต ชนา ดังนี้.
เรื่องพิสดารมีว่า พระเทวทัตนั้น ครั้นพระอัครสาวกพาบริษัทหลีกไป
แล้ว ไม่สามารถจะอดกลั้นความโศกได้ เมื่อเลือดอุ่นกระอักออกมาจากปาก
ถูกเวทนาอันมีกำลังบีบคั้น หวนระลึกถึงพระคุณของพระตถาคตเจ้า คิดว่า
เราคนเดียวคิดทำลายล้างพระตถาคตเจ้า แต่พระศาสดามิได้มีจิตคิดร้ายในเรา
เลย แม้พระเถระเจ้า ๘๐ องค์ ก็มิได้มีอาฆาตในเราเลย เราเองต้องไร้ที่พึ่ง
บัดนี้ ด้วยกรรมที่เรากระทำ พระศาสดาเล่าก็ทรงทอดทิ้งเราเสีย พระมหาเถระ
ทั้งหลายเล่าก็ทอดทิ้งเราแล้ว พระราหุลเถระ ญาติผู้ประเสริฐเล่าก็ทอดทิ้งบ้าง
ถึงศากยราชสกุล ก็พากันทอดทิ้งเราเสีย เราต้องไปกราบทูลขอขมากะพระศาสดา
แล้วให้สัญญาแก่บริษัท ให้ช่วยหามตนไปด้วยเตียงค้างคืนค้างแรมไป จนลุถึง
แคว้นโกศล พระอานนทเถระเจ้า กราบทูลแด่พระศาสดาว่า ข้าแต่พระองค์
ผู้เจริญ ข่าวว่าพระเทวทัตกำลังเดินทางมาเพื่อให้พระองค์ทรงอดโทษ ตรัสว่า
ดูก่อนอานนท์ เทวทัตจักไม่ได้เห็นเรา ครั้งนั้น เมื่อพระเทวทัตบรรลุถึง
ประตูพระนครสาวัตถี พระเถรเจ้ากราบทูลอีก แม้พระผู้มีพระภาคเจ้า ก็
ทรงมีพระดำรัสอย่างนั้นทีเดียว เมื่อพระเทวทัตมาถึงที่ใกล้สระโบกขรณีเชตวัน
ใกล้ประตูพระวิหารเชตวัน บาปกรรมก็ถึงที่สุด ความร้อนบังเกิดขึ้นในร่างกาย
พระเทวทัตปรารถนาจะอาบน้ำ ดื่มน้ำ จึงกล่าวว่า ผู้มีอายุทั้งหลายให้เราลง
จากเตียงเถิด เราจักดื่มน้ำ พอพระเทวทัตนั้น ก้าวลงเหยียบแผ่นดินเท่านั้น

133
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ชาดก เล่ม ๓ ภาค ๖ – หน้าที่ 134 (เล่ม 60)

ยังไม่ทันจะได้สมใจปองเลย มหาปฐพีได้แหวกช่องให้ ทันใดนั้นเอง เปลวเพลิง
จากอเวจีก็พวยพุ่งขึ้นโอบอุ้มเอาตัวไป พระเทวทัตนั้นคิดว่า บาปกรรมของเรา
ถึงที่สุดกันแล้ว หวนรำลึกถึงพระคุณของพระตถาคตเจ้า ดำรงในสรณะด้วย
คาถานี้ว่า
ข้าพเจ้าขอถึงพระพุทธเจ้า ผู้เป็นบุคคลเลิศ
เป็นเทพยิ่งกว่าเทพ เป็นสารีแห่งคนที่ควรฝึก มี
พระจักษุเห็นรอบด้าน ทรงบุญลักษณ์นับร้อยพระองค์
นั้น ด้วยลมปราณกับกระดูกทั้งหลายเหล่านี้ ดังนี้
ได้บ่ายหน้าไปอเวจี ก็แลสกุลอุปัฏฐากของพระเทวทัต นั้นได้มีถึง ๕๐๐ ตระกูล.
แม้ตระกูลเหล่านั้นพากันเข้าข้างพระเทวทัตนั้นด่าพระทศพล พากันไปใน
อเวจีทั้งนั้นเลย. พระเทวทัตนั้นชักจูงตระกูล ๕๐๐ ไปไว้ในนรกอเวจีด้วย
ประการฉะนี้.
ครั้นวันหนึ่ง พวกภิกษุพากันยกเรื่องขึ้นสนทนาในธรรมสภาว่า ผู้มี
อายุทั้งหลาย เทวทัตคนบาป ผูกความโกรธอันมิใช่ฐานะ ในพระสัมมาสัม-
พุทธเจ้า เพราะหมกมุ่นในลาภสักการะ ไม่มองดูภัยในอนาคตเลย ต้องบ่ายหน้า
ไปสู่อเวจีกับสกุลทั้ง ๕๐๐ พระศาสดาเสด็จมาถามว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย
เมื่อกี้พวกเธอประชุมสนทนากันด้วยเรื่องอะไรกัน ครั้นพากันกราบทูลให้
ทรงทราบแล้ว ตรัสว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย มิใช่แต่ในบัดนี้เท่านั้น ที่เทวทัต
หมกมุ่นในลาภและสักการะ ไม่มองดูภัยในอนาคต แม้ในกาลก่อน ก็ไม่มอง
ดูภัยในอนาคต ถึงความพินาศใหญ่หลวงกับพรรคพวก เพราะแสวงหาความสุข
เฉพาะหน้าดังนี้ แล้วทรงนำอดีตนิทานมาดังต่อไปนี้.

134
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ชาดก เล่ม ๓ ภาค ๖ – หน้าที่ 135 (เล่ม 60)

ในอดีตกาล ครั้นพระเจ้าพรหมทัตเสวยราชสมบัติในพระนครพา-
ราณสี ณ ที่อันไม่ไกลจากพระนครพาราณสีได้มีบ้านช่างไม้หมู่ใหญ่ มีครอบ
ครัวอาศัยอยู่พันครอบครัว ในที่นั้นพวกช่างไม้พากันกล่าวว่า พวกข้าพเจ้าจัก
กระทำเตียงให้แก่พวกท่าน จักกระทำตั่ง จักกระทำเรือนให้พวกท่าน ต่างกู้หนี้
เป็นอันมากจากมือของฝูงคน แล้วไม่อาจจะทำอะไร ๆ ได้เลย ฝูงคนพากันทวง
พากันเร่งเร้า กะพวกช่างไม้ที่พบเข้า ๆ พวกนั้นถูกพวกคนที่เป็นเจ้าหนี้เร่งรัด
หนักเข้า พูดกันว่า พวกเราพากันไปต่างประเทศ ไปอยู่เสีย ณ ที่ใดที่หนึ่งเถอะ
ชวนกันเข้าป่าตัดไม้ต่อเรือขนาดใหญ่ เข็นลงน้ำนำมาจอดไว้ในที่กึ่งโยชน์กับ
๑ คาวุตจากบ้าน ถึงเวลากลางคืนพากันมาบ้านรับลูกเมียไปสู่ที่เรือจอด พากัน
ขึ้นสู่เรือนั้น แล่นเข้ามหาสมุทรไปโดยลำดับ เมื่อเที่ยวไปด้วยอำนาจลม พากัน
บรรลุเกาะแห่งหนึ่งท่ามกลางมหาสมุทร ก็แลในเกาะนั้น ผลาผลต่าง ๆ หลาย
อย่าง มีข้าวสาลี อ้อย กล้วย มะม่วง ข้าว ขนุน ตาล มะพร้าว เกิดเอง
ทั้งนั้น มีอยู่ อนึ่งเล่ายังมีบุรุษเรืออับปางคนหนึ่ง ไปถึงเกาะนั้นก่อน บริโภค
ข้าวสาลี เคี้ยวกินอ้อยเป็นต้น มีร่างกายอ้วนท้วนเปลือยกาย มีผมและหนวด
งอกงาม พำนักอยู่ที่เกาะนั้น ครั้งนั้น พวกช่างไม้แม้นั้น คิดกันว่า ถ้าเกาะนี้
จักมีรากษสคุ้มครอง พวกเราแม้ทั้งหมดจะพากันถึงความพินาศ พวกเราต้อง
สำรวจดูมันก่อน ทีนั้นบุรุษ ๗-๘ คนที่กล้า มีกำลัง ผูกสอดอาวุธครบ ๕
ประการ จึงไปสำรวจเกาะ ขณะนั้นบุรุษนั้นบริโภคอาหารเช้าแล้ว ดื่มน้ำอ้อย
แสนสุขสบาย นอนหงายในร่มอันเย็นเหนือพื้นทรายเช่นกับแผ่นเงิน ใน
ประเทศอันน่ารื่นรมย์ เมื่อจะขับเพลงว่า ชาวชมพูทวีปพากันไถ พากันหว่าน
ยังไม่ได้สุขเช่นนี้เลย เกาะน้อยของเรานี้เท่านั้นประเสริฐกว่าชมพูทวีป เปล่ง
อุทานนี้. ลำดับนั้น พระศาสดาตรัสเรียกภิกษุทั้งหลายเมื่อจะทรงแสดงว่า
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย บุรุษเปล่งอุทานนี้ แล้วตรัสพระปฐมคาถาว่า

135
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ชาดก เล่ม ๓ ภาค ๖ – หน้าที่ 136 (เล่ม 60)

ชนทั้งหลายพากันไถ พากันหว่าน เป็นมนุษย์
ผู้ต้องเลี้ยงชีพด้วยผลการงาน ไม่ถึงส่วนหนึ่งแห่งเกาะ
อันนี้ เกาะของเรานี้แหละดีว่าชมพูทวีป.
บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า เต ชนา คือชนชาวชมพูทวีป. บทว่า
กมฺมผลูปชีวิโน ความว่า เป็นสัตว์ที่ต้องเลี้ยงชีพอาศัยผลแห่งกรรมต่าง ๆ.
ลำดับนั้น พวกคนที่สำรวจเกาะเหล่านั้น ฟังเสียงเพลงขับของเขา
พูดกันว่า ที่พวกเราได้ยินดูเหมือนเสียงคน ต้องรู้เสียงนั้นให้ได้นะ พากัน
เดินตามกระแสเสียง เห็นบุรุษนั้นพากันกลัวว่าต้องเป็นยักษ์ ต่างสอดลูกศร
ฝ่ายบุรุษนั้นเล่า เห็นคนเหล่านั้นด้วยความกลัวจะฆ่าคนเสีย วิงวอนว่า นายเอ๋ย
ฉันไม่ใช่ยักษ์ดอกจ้า ฉันเป็นบุรุษโปรดให้ชีวิตทานแก่ฉันเถิด ครั้นพวกนั้น
กล่าวว่า ธรรมดาคนจะเป็นคนเปลือยอย่างเจ้าไม่มีเลย อ้อนวอนซ้ำแล้ว
ซ้ำเล่า ให้พวกนั้นรู้ความที่ตนเป็นมนุษย์จนได้ พวกนั้นพากันเข้าไปหาบุรุษ
นั้น ทำสัมโมทนียกถาแล้ว ถามถึงเรื่องที่บุรุษนั้นมาในเกาะนั้น แม้เขาก็
เล่าเรื่องทั้งปวงแก่พวกนั้น แล้วกล่าวว่า พวกท่านพากันมา ณ ที่นี้ด้วย
บุญสมบัติของตน เกาะนี้เป็นเกาะอุดม ในเกาะนี้คนไม่ต้องทำการงานด้วย
มือตนเลย ก็พากันเป็นอยู่ได้ ข้าวสาลีเกิดเอง และอ้อยเป็นต้นในเกาะนี้
ไม่มีที่สิ้นสุดเลย เพราะเหตุนั้น เชิญพวกท่านอยู่กันอย่างไม่ต้องกระวนกระวาย
ใจเถิด พวกเหล่านั้นต่างถามว่า ก็แม้อันตรายอย่างอื่นจะไม่มีแก่พวกเราผู้อยู่
ในเกาะนี้บ้างหรือ ตอบว่า ภัยอย่างอื่นน่ะไม่มีดอกในเกาะนี้ แต่ว่าเกาะนี้
อมนุษย์ครอบครอง พวกอมนุษย์เห็นอุจจาระ และปัสสาวะของพวกท่านแล้ว
พึงโกรธได้ เหตุนั้นเมื่อจะถ่ายอุจจาระปัสสาวะ พึงขุดทรายแล้วก็กลบเสียด้วย
ทราย ภัยในเกาะนี้มีเพียงเท่านี้อย่างอื่นไม่มี พวกท่านพึงพากันไม่ประมาท
เป็นนิตย์เทอญ พวกนั้นเข้าอาศัยอยู่ในเกาะนั้น ก็ในพันครอบครัวนั้น ได้มี

136
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ชาดก เล่ม ๓ ภาค ๖ – หน้าที่ 137 (เล่ม 60)

ช่างไม้ ๒ คนเป็นหัวหน้าคนละ ๕๐๐ ครอบครัว ในหัวหน้าทั้งสองนั้น คน
หนึ่งเป็นพาลหมกมุ่นในรส คนหนึ่งเป็นบัณฑิตไม่หมกมุ่นในรสทั้งหลาย ใน
กาลต่อมา ครอบครัวเหล่านั้นแม้ทั้งหมด ต่างอยู่กันอย่างสบายในเกาะนั้น พากัน
มีร่างกายอ้วนพี คิดกันว่า สุราของพวกเราห่างเหินนักล่ะ พวกเราพากันกระทำ
เมรัยด้วยน้ำอ้อยดื่มกันเถอะ พวกนั้นช่วยกันทำเมรัยดื่ม พากันร้องรำเล่น
ประมาทไปด้วยอำนาจที่เมามัน ถ่ายอุจจาระและปัสสาวะไว้ในที่นั้นแล้วไม่กลบ
กระทำเกาะให้สกปรกปฏิกูล ฝูงเทวดาโกรธว่า คนพวกนี้พากันทำสนามเล่น
ของเราให้สกปรก คิดกันว่า ต้องให้น้ำทะเลท่วมท้นขึ้นทำการล้างเกาะเสียเถอะ
พากันกำหนดวันไว้ว่า วันนี้เป็นกาฬปักษ์ และสมาคมของพวกเราก็ถูกทำลาย
เสียแล้วในวันนี้ ในวันเพ็ญอุโบสถ วันที่ ๑๕ จากวันนี้ เวลาดวงจันทร์ขึ้นแล้ว
พวกเราต้องให้น้ำทะเลท่วมฆ่าพวกนี้เสียให้หมดเลยคราวนี้ ครั้งนั้นในกลุ่ม
แห่งเทวดาเหล่านั้น เทพบุตรองค์หนึ่งเป็นผู้ทรงธรรม สงสารว่า พวกเหล่านี้
จงอย่าพินาศไปทั้ง ๆ ที่เราเห็นอยู่เลย เมื่อคนเหล่านั้นบริโภคอาหารเย็น นั่ง
สนทนากันสบายที่ประตูเรือน ประดับกายด้วยอาภรณ์ทั้งปวง กระทำเกาะ
ทั้งหมดให้สว่างเป็นอันเดียวกัน ยืนอยู่บนอากาศทางทิศเหนือ กล่าวว่า ช่างไม้
พ่อเอ่ย ฝูงเทวดาพากันโกรธพวกท่าน อย่าพากันอยู่ ณ ที่นี้เลย ก็ล่วงไป
กึ่งเดือนแต่วันนี้ พวกเทวดาจักให้น้ำทะเลท่วมฆ่าพวกท่านเสียทั้งหมดทีเดียว
พวกท่านจงพากันออกจากเกาะนี้หนีไปเสียเถิด กล่าวคาถาที่ ๒ ว่า
ในวันพระจันทร์เพ็ญ ทะเลจักมีคลื่นจัดจะท่วม
เกาะใหญ่นี้ให้จมลง คลื่นทะเลอย่าฆ่าท่านทั้งหลาย
เสียเลย ท่านทั้งหลายจงพากันไปหาที่พึ่งอาศัยที่อื่น
เถิด.

137
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ชาดก เล่ม ๓ ภาค ๖ – หน้าที่ 138 (เล่ม 60)

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า อุปาวสํ คือนองเข้าไป ได้แก่ ท่วมท้น
เกาะนี้. บทว่า มา โว วธิ ความว่า คลื่นแห่งสาครนั้นอย่าได้กำจัดพวก
ท่านเสียเลยนะ.
เทพบุตรนั้นให้โอวาทแก่พวกนั้นอย่างนี้แล้ว ก็ไปสู่สถานของตน
ทันที เมื่อเทพบุตรองค์นั้นไปแล้ว เทพบุตรอีกองค์หนึ่งเหี้ยมโหด กักขฬะ คิด
ว่าพวกนี้พึงเชื่อถือถ้อยคำของเทพบุตรองค์นี้พากันหนีไปเสีย เราต้องการห้าม
การไปของพวกนั้นไว้ ต้องให้ถึงความพินาศทั้งหมดเลย ประดับด้วยอลังการ
อันเป็นทิพย์ กระทำบ้านทั้งหมดให้สว่างเป็นอันเดียวกัน มายืนอยู่ในอากาศ
ทางทิศทักษิณ ถามว่า เทพบุตรองค์หนึ่งมาที่นี่หรือ ครั้นพวกนั้นตอบว่า
มาเจ้าข้า กล่าวว่า เขาพูดอะไรกะเธอเล่า เมื่อพวกนั้นพากันตอบว่า เรื่องนี้
เจ้าข้า กล่าวว่า เขาไม่อยากให้พวกเธออยู่ที่นี่หรือ พูดด้วยความเคียดแค้น พวกเธอ
ไม่ต้องไปที่อื่นดอก พากันอยู่ที่นี่เช่นเดิมเถิด ได้กล่าวคาถาสองคาถาว่า
คลื่นทะเลจะไม่เกิดท่วมเกาะใหญ่นี้ เหตุอันนั้น
เราเห็นแล้ว ด้วยนิมิตเป็นอันมาก ท่านทั้งหลายอย่า
กลัวเลย จะเศร้าโศกทำไม จงเบิกบานใจเถิด.
ท่านทั้งหลายจงอยู่ยึดครองเกาะใหญ่นี้ อันมี
อาหารเพียงพอ มีข้าวและน้ำมากมายเป็นที่อยู่อาศัย
เถิด เราไม่มองเห็นภัยอันใดอันหนึ่ง ซึ่งจะเกิดมีแก่
ท่านทั้งหลายเลย ท่านทั้งหลายจงเบิกบานใจอยู่ด้วย
บุตรหลานเถิด.
บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า น ชาตยํ ตัดเป็น น ชาตุ อยํ. บทว่า
มาเภถ แปลว่า อย่ากลัวเลย. บทว่า ปโมทถโวฺห ความว่า ท่านทั้งหลาย

138
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ชาดก เล่ม ๓ ภาค ๖ – หน้าที่ 139 (เล่ม 60)

จงพากันบันเทิง เกิดปีติโสมนัส. บทว่า อาปุตฺตปุตฺเตหิ ความว่า จง
เบิกบานใจ ชั่วลูกชั่วหลานเถิด ในที่นี้ย่อมไม่มีภัยแก่พวกท่าน. เทพบุตรนั้น
ปลอบโยนพวกเหล่านั้นด้วยคาถาสองคาถาเหล่านี้แล้วหลีกไป. ในเวลาที่
เทพบุตรนั้นกลับไปแล้ว ช่างไม้ที่เป็นพาลฟังถ้อยคำของเทพบุตร ผู้ดำรงใน
ความไม่เชื่อถือ ก็ตักเตือนช่างพวกที่เหลือว่า ชาวเราเอ๋ย เชิญฟังคำของข้าพเจ้า
แล้วกล่าวคาถาที่ ๕ ว่า
เทพบุตรในทิศทักษิณนี้ ย่อมคัดค้านความเกษม
สำราญ ถ้อยคำของเทพบุตรนั้นเป็นคำจริง เทพบุตร
ในทิศอุดรไม่รู้แจ้งภัย ท่านทั้งหลายอย่ากลัวเลย จะ
เศร้าโศกไปทำไม จงเบิกบานใจเถิด.
บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า ทกฺขิณสฺสํ แปลว่า ในทิศทักษิณ.
อีกอย่างหนึ่ง บาลีก็อย่างนี้เหมือนกัน.
พวกช่างไม้ ๕๐๐ ผู้หมกมุ่นในรส ฟังคำนั้นแล้วเชื่อถือถ้อยคำของ
ช่างไม้พาลชนนั้น. ฝ่ายช่างไม้บัณฑิตอีกคนหนึ่ง ไม่ยอมเชื่อถือถ้อยคำของ
ช่างไม้นั้น เรียกช่างไม้เหล่านั้นมา ได้กล่าวคาถา ๔ คาถาว่า
เทพยดาเหล่านี้ ย่อมกล่าวผิดกันอย่างไร เทวดา
ตนหนึ่งกล่าวว่าจะมีภัย ตนหนึ่งกล่าวว่าปลอดภัย ดัง
เราขอเตือน ท่านทั้งหลายจงฟังถ้อยคำของเราเถิด เรา
ทั้งหมดอย่าฉิบหายเสียเร็วพลันเลย.
เราทั้งปวง จงมาช่วยกันทำเรือใหญ่ให้มั่นคงติด
เครื่องยนต์ไว้พร้อมสรรพ ถ้าเทพบุตรในทิศทักษิณ
พูดจริง เทพบุตรในทิศอุดรก็พูดค้านเปล่า ๆ.

139
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ชาดก เล่ม ๓ ภาค ๖ – หน้าที่ 140 (เล่ม 60)

เมื่ออันตรายเกิดมีขึ้น เรือของพวกเรานั้นก็จัก
ไม่เสียหาย อนึ่ง เราจะไม่ละทิ้งเกาะนี้ ถ้าหากว่าเทพ-
บุตรในทิศอุดรพูดจริง เทพบุตรในทิศทักษิณก็พูด
ค้านเปล่า ๆ.
เราทุกคนพึงขึ้นสู่เรือนั้นทันที ข้ามไปถึงฝั่งโน้น
โดยสวัสดีอย่างนี้ พวกเราไม่พึงเชื่อถือง่าย ๆ ว่าคำจริง
โดยคำแรก ไม่พึงเชื่อถือโดยง่าย ๆ ซึ่งถ้อยคำที่
เทพบุตรกล่าวแล้วในภายหลังว่าเป็นจริง นรชนใด
ในโลกนี้ เลือกถือเอาส่วนกลางไว้ได้ นรชนนั้นย่อม
เข้าถึงฐานะอันประเสริฐ.
บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า วิปฺปวทนฺติ ความว่า กล่าวแย้งกัน
และกัน. บทว่า ลหุํ เป็นบทแสดงถึงความก่อน. บทว่า โทณึ คือเป็นเรือ
ขนาดใหญ่ลึก. บทว่า สพฺพยนฺตูปปนฺนํ คือประกอบไปด้วยเครื่องยนต์
มีสายลการและถ่อเป็นต้นทุกๆ อย่าง. บทว่า สา เจว โน โหหีติ อาปทตฺถ
ความว่า เรือนั้นของพวกเรา เมื่ออันตรายเกิดขึ้นแต่ในภายหลัง ก็มิใช่จักไม่
เป็นประโยชน์ และพวกเราก็ไม่ต้องทิ้งเกาะนี้. บทว่า ตเรมุ แปลว่า พากัน
ข้ามไป. บทว่า น เว สุคณฺหํ คือ เป็นอันว่าพวกเรามิได้เชื่อถือโดยง่ายโดยส่วน
เดียว. บทว่า เสฏฺฐํ คือสูงสุด แน่นอน แท้จริง. บทว่า กนิฏฺฐํ ความว่า เทียบ
กับคำก่อนแล้วก็เป็นคำหลัง จึงชื่อว่าคำภายหลัง. แม้ในคำนี้ก็ประกอบในข้อที่
จะคล้อยตามคำว่า เป็นอันพวกเราไม่เชื่อถือง่าย ๆ ดุจกัน. ท่านอธิบายคำนี้
ไว้ว่า ดูก่อนพวกช่างไม้ผู้เจริญ คำที่เทพบุตรองค์ก่อนองค์ใดองค์หนึ่งกล่าว
แล้ว พวกเรามิได้เชื่อถือง่าย ๆ ว่า คำนี้เท่านั้นประเสริฐแน่นอนจริงจังเสีย

140
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ชาดก เล่ม ๓ ภาค ๖ – หน้าที่ 141 (เล่ม 60)

ทีเดียว. ก็และคำนั้นฉันใด แม้คำอันเป็นภายหลัง คือคำที่เทพบุตรกล่าวทีหลัง
ก็ฉันนั้น พวกเรามิได้เชื่อถือว่า คำนี้เท่านั้นประเสริฐเที่ยงแท้จริงจัง. ก็แต่ว่า
คำใดถึงคลองแห่งโสตวิสัย บุรุษผู้เป็นบัณฑิตแห่งโลกนี้ถือเอาคำอันมาปรากฏ
นั้น แล้วเลือกเป็นคำก่อนและคำหลัง คือเลือกสรรพิจารณาเพ่งใกล้ชิด ย่อม
ถือเอาส่วนกลางได้ คือ ข้อใดเที่ยงแท้จริงจังเป็นตัวยั่งยืน ย่อมยึดเอาข้อนั้น
นั่นแลทำให้ประจักษ์ได้. บทว่า สเว น เสฏฺฐมุเปติ ฐานํ ความว่า นรชน
นั้นย่อมเข้าถึง บรรลุ ประสบ กลับได้ฐานะอันสูงสุด.
ก็แลครั้นกล่าวเช่นนี้แล้ว กล่าวต่อไปว่า พ่อเอย พวกเราต้องทำ
ตามคำของเทพบุตรทั้งสอง พวกเราพึงเตรียมเรือไว้ แต่นั้นถ้าคำของเทพบุตร
องค์ก่อนจักเป็นจริง พวกเราก็พากันขึ้นเรือหนีไป ครั้นคำของเทพบุตรอีก
องค์หนึ่งจักเป็นจริง พวกเราก็จอดเรือไว้ข้างหนึ่ง คงอยู่ในเกาะนี้สืบไป ครั้น
ช่างไม้ผู้บัณฑิตกล่าวอย่างนี้ ช่างไม้ผู้พาลกล่าวว่า พ่อเอย ท่านเห็นจระเข้ใน
โอ่งน้ำ ช่างหลับตาเสียนานเหลือเกิน เทพบุตรองค์แรกพูดด้วยความเคียดแค้น
ในพวกเรา องค์หลังพูดด้วยความรัก พวกเราจักพากันทอดทิ้งเกาะอันประเสริฐ
ปานฉะนี้นี่ไปไหนกันเล่า ก็ถ้าท่านอยากจะไป ก็จงควบคุมคนของท่านทำเรือ
เถิด พวกข้าพเจ้าไม่มีเรื่องที่จะใช้เรือ ช่างไม้บัณฑิตชวนบริษัทของตนเตรียม
เรือ บรรทุกเครื่องอุปกรณ์พร้อมสรรพ พร้อมทั้งบริษัทพักอยู่ในเรือ ต่อจาก
วันนั้นถึงวันเพ็ญ พอเวลาดวงจันทร์ขึ้น คลื่นก็ซัดขึ้นจากท้องทะเล มีประมาณ
เพียงเข่า ซัดไปล้างเกาะ ผู้บัณฑิตทราบความคะนองแห่งท้องทะเล ก็ปล่อยเรือ
แต่ครอบครัวทั้ง ๕๐๐ ซึ่งเป็นพวกช่างไม้พาล ต่างนั่งพูดกันเรื่อยไปว่า คลื่นจาก
ท้องทะเลซัดสาดมาเพื่อจะล้างเกาะ เพียงนี้เท่านั้น ต่อจากนั้นคลื่นในท้องทะเล
ก็ซัดสาดมาสู่เกาะน้อยเพียงเอว เพียงชั่วคน เพียงชั่วลำตาล บัณฑิตผู้ไม่ติด

141