หมวด/เล่ม
พระวินัยปิฎก มหาวิภังค์ เล่ม ๒ – หน้าที่ 791 (เล่ม 4)

สหธรรมิกวรรค สิกขาบทที่ ๑๑
เรื่องพระทัพพมัลลบุตร
[๗๒๓] โดยสมัยนั้น พระผู้มีพระภาคพุทธเจ้าประทับอยู่ ณ พระ-
เวฬุวันวิหาร อันเป็นสถานที่พระราชทานเหยื่อแก่กระแต เขตพระนครราช-
คฤห์ ครั้งนั้น ท่านพระทัพพมัลลบุตรจัดเสนาสนะและแจกอาหารแก่สงฆ์ แต่
ท่านเป็นผู้มีจีวรเก่า สมัยนั้น มีจีวรผืนหนึ่งเกิดขึ้นแก่สงฆ์ สงฆ์จึงได้ถวายจีวร
ผืนนั้นแก่ท่านพระทัพพมัลลบุตร พวกพระฉัพพัคคีย์พากันเพ่งโทษติเตียน
โพนทะนาว่า ภิกษุทั้งหลายน้อมลาภของสงฆ์ไปตามชอบใจ.
บรรดาภิกษุที่เป็นผู้มักน้อย... ต่างก็เพ่งโทษ ติเตียน โพนทะนาว่า
ไฉนพระฉัพพัคคีย์กับสงฆ์ผู้พร้อมเพรียงกัน ให้จีวรไปแล้ว ภายหลังจึงได้ถึง
ธรรมคือบ่นเล่า...แล้วกราบทูลเรื่องนั้น แด่พระผู้มีพระภาคเจ้า.
ทรงสอบถาม
พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงสอบถามพระฉัพพัคคีย์ว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย
ข่าวว่า พวกเธอกับสงฆ์ผู้พร้อมเพรียงกันให้จีวรแล้ว ภายหลังถึงธรรมคือบ่น
จริงหรือ.
พระฉัพพัคคีย์ทูลรับว่า จริง พระพุทธเจ้าข้า.
ทรงติเตียนแล้วบัญญัติสิกขาบท
พระผู้มีพระภาคพุทธเจ้าทรงติเตียนว่า ดูก่อนโมฆบุรุษทั้งหลาย
ไฉนพวกเธอกับสงฆ์ผู้พร้อมเพรียงกันให้จีวรแล้ว ภายหลังจึงได้ถึงธรรมคือ
บนเล่า การกระทำของพวกเธอนั่น ไม่เป็นไปเพื่อความเลื่อมใสของชุมชนที่.
ยังไม่เลื่อมใส หรือเพื่อความเลื่อมใสยิ่งของชุมชนที่เลื่อมใสแล้ว. ..

791
หมวด/เล่ม
พระวินัยปิฎก มหาวิภังค์ เล่ม ๒ – หน้าที่ 792 (เล่ม 4)

ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ก็แลพวกเธอพึงยกสิกขาบทนี้ขึ้นแสดงอย่างนี้
ว่าดังนี้:-
พระบัญญัติ
๑๓๐. ๑๑. อนึ่ง ภิกษุใด กับสงฆ์ผู้พร้อมเพรียงกัน ให้จีวร
แก่ภิกษุแล้ว ภายหลังถึงธรรมคือบ่นว่า ภิกษุทั้งหลายน้อมลาภของ
สงฆ์ไปตามชอบใจ เป็นปาจิตตีย์.
เรื่องพระทัพพมัลลบุตร จบ
สิกขาบทวิภังค์
[๗๒๔] บทว่า อนึ่ง. . .ใด ความว่า ผู้ใด ผู้เช่นใด. . .
บทว่า ภิกษุ ความว่า ที่ชื่อว่า ภิกษุ เพราะอรรถว่าเป็นผู้
ขอ. . . นี้ชื่อว่า ภิกษุ ที่ทรงประสงค์ในอรรถนี้.
สงฆ์ที่ชื่อว่า พร้อมเพรียงกัน คือ มีสังวาสเสมอกัน อยู่ในสีมา
เดียวกัน.
ที่ชื่อว่า จีวร ได้แก่ผ้า ๖ ชนิด ชนิดใดชนิดหนึ่ง ซึ่งเข้าถึงองค์กำหนด
แห่งผ้าต้องวิกัปเป็นอย่างต่ำ.
บทว่า ให้ คือ ตนเองก็ให้.
ที่ชื่อว่า ตามชอบใจ คือ ตามความที่เป็นไมตรีกัน ตามความที่
เคยเห็นกัน ตามความที่เคยคบกัน ตามความที่ร่วมอุปัชฌาย์กัน ตามความที่
ร่วมอาจารย์กัน.
ที่ชื่อว่า ของสงฆ์ คือ ที่เขาถวายแล้ว ที่เขาสละแล้ว แก่สงฆ์.
ที่ชื่อว่า ลาภ ได้แก่ จีวร บิณฑบาต เสนาสนะ และเภสัช
บริขารอันเป็นปัจจัยของภิกษุไข้ โดยที่สุดแม้ก้อนจุรณ ไม้ชำระฟัน ด้าย
ชายผ้า.

792
หมวด/เล่ม
พระวินัยปิฎก มหาวิภังค์ เล่ม ๒ – หน้าที่ 793 (เล่ม 4)

คำว่า ภายหลังถึงธรรมคือบ่น ความว่า เมื่อให้จีวรแก่อุปสัมบัน
ที่สงฆ์สมมติให้เป็นผู้จัดเสนาสนะก็ดี ให้เป็นผู้แจกอาหารก็ดี ให้เป็นผู้แจก
ยาคูก็ดี ให้เป็นผู้แจกผลไม้ก็ดี ให้เป็นผู้แจกของเคี้ยวก็ดี ให้เป็นผู้แจกของ
เล็กน้อยก็ดี แล้วบ่น ต้องอาบัติปาจิตตีย์.
บทภาชนีย์
ติกปาจิตตีย์
[๗๒๕] กรรมเป็นธรรม ภิกษุสำคัญว่ากรรมเป็นธรรม เมื่อให้จีวร
แล้วบ่น ต้องอาบัติปาจิตตีย์.
กรรมเป็นธรรม ภิกษุสงสัย เมื่อให้จีวรแล้ว บ่น ต้องอาบัติปาจิตตีย์.
กรรมเป็นธรรม ภิกษุสำคัญว่ากรรมไม่เป็นธรรม เมื่อให้จีวรแล้ว
บ่น ต้องอาบัติปาจิตตีย์.
ทุกกฏ
ให้บริขารอย่างอื่นแล้ว บ่น ต้องอาบัติทุกกฏ.
ให้จีวรหรือบริขารอย่างอื่นแก่อุปสัมบัน ผู้ที่สงฆ์ไม่ได้สมมติให้เป็นผู้
จัดเสนาสนะ ให้เป็นผู้แจกอาหาร ให้เป็นผู้แจกยาคู ให้เป็นผู้แจกผลไม้ ให้
เป็นผู้แจกของเคี้ยว หรือให้เป็นผู้แจกของเล็กน้อย แล้วบ่น ต้องอาบัติทุกกฏ.
เมื่อให้จีวรหรือบริขารอย่างอื่นแก่อนุปสัมบันผู้ที่สงฆ์สมมติก็ดี ไม่ได้
สมมติก็ดี ให้เป็นผู้จัดเสนาสนะ ให้เป็นผู้แจกอาหาร ให้เป็นผู้แจกยาคู ให้
เป็นผู้แจกผลไม้ ให้เป็นผู้แจกของเคี้ยว หรือให้เป็นผู้แจกของเล็กน้อยแล้ว
บ่น ต้องอาบัติทุกกฏ.

793
หมวด/เล่ม
พระวินัยปิฎก มหาวิภังค์ เล่ม ๒ – หน้าที่ 794 (เล่ม 4)

กรรมไม่เป็นธรรม ภิกษสำคัญว่ากรรมเป็นธรรม. . .ต้องอาบัติทุกกฏ.
กรรมไม่เป็นธรรม ภิกษุมีความสงสัย. . .ต้องอาบัติทุกกฏ.
กรรมไม่เป็นธรรม ภิกษุสำคัญว่ากรรมไม่เป็นธรรม . . . ต้องอาบัติ
ทุกกฏ.
อนาปัตติวาร
[๗๒๖] ภิกษุบ่นว่าสงฆ์มีปรกติทำโดยฉันทาคติ. . .โทสาคติ. . .โมหา-
คติ ...ภยาคติ จะประโยชน์อะไรด้วยจีวรที่ให้แล้วแก่ภิกษุนั้น แม้เธอได้ไป
แล้วก็จักทิ้งเสีย จักไม่ใช้สอยโดยชอบธรรม ๑ ภิกษุวิกลจริต ๑ ภิกษุอาทิกัม-
มิกะ ๑ ไม่ต้องอาบัติแล.
สหธรรมิกวรรค สิกขาบทที่ ๑๑ จบ
ทัพพสิกขาบทที่ ๑๑
วินิจฉัยในสิกขาบทที่ ๑๑ พึงทราบดังนี้:-
บทว่า ยถามิตฺตตา คือ ตามความเป็นมิตรกัน. มีคำอธิบายว่าให้
แก่ภิกษุผู้ซึ่งเป็นมิตรกัน . ในบททั้งปวงก็นัยนี้เหมือนกัน. คำที่เหลือมีเนื้อความ.
ตื้นทั้งนั้น เพราะมีนัยดังกล่าวแล้วในอุชฌาปนกสิกขาบทเป็นต้นนั้นแล.
สิกขาบทนี้ มีสมุฏฐาน ๓ เป็นกิริยา สัญญาวิโมกข์ สจิตตกะ โลก
วัชชะ กายกรรม วจีกรรม อกุศลจิต เป็นทุกขเวทนา ดังนี้แล.
ทัพพสิกขาบทที่ ๑๑ จบ

794
หมวด/เล่ม
พระวินัยปิฎก มหาวิภังค์ เล่ม ๒ – หน้าที่ 795 (เล่ม 4)

สหธรรมิกวรรค สิกขาบทที่ ๑๒
เรื่องพระฉัพพัคคีย์
[๗๒๗] โดยสมัยนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าประทับอยู่ ณ พระเชตวัน
อารามของอนาถบิณฑิกคหบดี เขตพระนครสาวัตถี ครั้งนั้น ในพระนคร-
สาวัตถี มีชาวบ้านหมู่หนึ่งได้จัดอาหารพร้อมทั้งจีวรไว้เพื่อสงฆ์ ด้วยหมายใจ
ว่า ให้ท่านฉันแล้วจักให้ครองจีวร ครั้งนั้นแล พวกพระฉัพพัคคีย์ได้เข้าไป
หาชาวบ้านหมู่นั้น แล้วกล่าวว่า ท่านทั้งหลาย ขอจงถวายจีวรเหล่านี้แก่ภิกษุ
พวกนี้เถิด.
ชาวบ้านหมู่นั้นกล่าวว่า ท่านเจ้าข้า พวกกระผมจักถวายไม่ได้ เพราะ
พวกกระผมได้จัดอาหารพร้อมทั้งจีวรไว้เพื่อสงฆ์ทุก ๆ ปี.
พระฉัพพัคคีย์กล่าวว่า ท่านทั้งหลาย ทายกผู้ถวายแก่สงฆ์มีจำนวน
มาก. อาหารสำหรับสงฆ์ก็มีมาก ภิกษุเหล่านี้อาศัยพวกท่าน เห็นอยู่แต่พวก
ท่าน จงอยู่ในที่นี้ หากพวกท่านจักไม่ ให้แก่ภิกษุเหล่านี้ ก็บัดนี้ใครเล่าจักให้
แก่ภิกษุเหล่านี้ ขอท่านทั้งหลายจงให้จีวรเหล่านี้แก่ภิกษุพวกนี้เถิด.
เมื่อชาวบ้านพวกนั้นถูกพระฉัพพัคคีย์แค่นได้ จึงได้ถวายจีวรตามที่ได้
จัดไว้แก่พวกฉัพพัคคีย์ไป แล้วอังคาสสงฆ์ด้วยอาหารอย่างเดียว บรรดาภิกษุที่
ทราบว่า อาหารพร้อมทั้งจีวรที่เขาจัดไว้ถวายสงฆ์มี แต่ไม่ทราบว่าเขาได้ถวาย
จีวรแก่พระฉัพพัคคีย์ไปแล้ว ได้กล่าวขึ้นอย่างนี้ว่า ท่านทั้งหลาย ขอจงถวาย
จีวรแก่สงฆ์เถิด.
ชาวบ้านหมู่นั้นกล่าวว่า ท่านเจ้าข้า จีวรตามที่ได้จัดไว้ไม่มี เจ้าข้า
เพราะพระคุณเจ้าเหล่าฉัพพัคคีย์ได้น้อมไปเพื่อพระคุณเจ้าเหล่าฉัพพัคคีย์ด้วย
กันแล้ว.

795
หมวด/เล่ม
พระวินัยปิฎก มหาวิภังค์ เล่ม ๒ – หน้าที่ 796 (เล่ม 4)

บรรดาภิกษุที่เป็นผู้มักน้อย. .. ต่างก็เพ่งโทษ ติเตียน โพนทะนาว่า
ไฉนพระฉัพพัคคีย์รู้อยู่ จึงได้น้อมลาภที่เขาน้อมไปจะถวายสงฆ์มาเพื่อบุคคล
เล่า . . . แล้วกราบทูลเรื่องนั้นแด่พระผู้มีพระภาคเจ้า.
ทรงสอบถาม
พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงสอบถามพระฉัพพัคคีย์ว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย
ข่าวว่า พวกเธอรู้อยู่ น้อมลาภที่เขาน้อมไปจะถวายสงฆ์มาเพื่อบุคคล จริงหรือ.
พระฉัพพัคคีย์ทูลรับ ว่า จริง พระพุทธเจ้าข้า.
ทรงติเตียนแล้บัญญัติสิกขาบท
พระผู้มีพระภาคพุทธเจ้าทรงติเตียนว่า ดูก่อนโมฆบุรุษทั้งหลาย ไฉน
พวกเธอรู้อยู่ จึงได้น้อมลาภที่เขาน้อมไปถวายสงฆ์มาเพื่อบุคคลเล่า การกระ-
ของพวกเธอนั้น ไม่เป็นไปเพื่อความเลื่อมใสของชุมชนที่ยังไม่เลื่อมใส หรือ
เพื่อความเลื่อมใสยิ่งของชุมชนที่เลื่อมใสแล้ว.
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ก็แลพวกเธอพึงยกสิกขาบทนี้ขึ้นแสดงอย่างนี้ ว่า
ดังนี้:-
พระบัญญัติ
๑๓๑. ๒. อนึ่ง ภิกษุใดรู้อยู่ น้อมลาภที่เขาน้อมไปจะถวาย
สงฆ์มาเพื่อบุคคล เป็นปาจิตตีย์.
เรื่องพระฉัพพัคคีย์
สิกขาบทวิภังค์
[๗๒๘] บทว่า อนึ่ง . . .ใด ความว่า ผู้ใด คือ ผู้เช่นใด . . .
บทว่า ภิกษุ ความว่า ที่ชื่อว่า ภิกษุ เพราะอรรถว่าเป็นผู้ขอ. . .นี้
ชื่อว่า ภิกษุ ที่ทรงประสงค์ในอรรถนี้ .

796
หมวด/เล่ม
พระวินัยปิฎก มหาวิภังค์ เล่ม ๒ – หน้าที่ 797 (เล่ม 4)

ที่ชื่อว่า รู้อยู่ คือรู้เอง หรือคนอื่นบอกแก่เธอ หรือเจ้าตัวบอก.
ที่ชื่อว่า จะถวายสงฆ์ คือเขาจะให้อยู่แล้ว จะบริจาคอยู่แล้วแก่
สงฆ์.
ที่ชื่อว่า ลาภ ได้แก่จีวร บิณฑบาต เสนาสนะ เภสัชบริขารอัน
เป็นปัจจัยของภิกษุไข้ โดยที่สุดแม้ก้อนจุรณ ไม้ชำระฟัน ด้ายชายผ้า.
ที่ชื่อว่า เขาน้อมไป คือ เขาได้เปล่งวาจาไว้ว่า จักถวาย จักทำ
ภิกษุน้อมมาเพื่อบุคคล ต้องอาบัติปาจิตตีย์.
บทภาชนีย์
[๗๒๙] ลาภที่เขาน้อมไปแล้ว ภิกษุสำคัญว่าเขาน้อมไปแล้ว น้อม
มาเพื่อบุคคล ต้องอาบัติปาจิตตีย์.
ลาภที่เขาน้อมไปแล้ว ภิกษุสงสัยอยู่ น้อมมาเพื่อบุคคล ต้องอาบัติ
ลาภที่เขาน้อมไปแล้ว ภิกษุสำคัญว่าเขาไม่ได้น้อมไป น้อมมาเพื่อ
บุคคล ไม่ต้องอาบัติ.
ลาภที่เขาน้อมไปเพื่อสงฆ์ ภิกษุน้อมมาเพื่อสงฆ์หมู่อื่นก็ดี เพื่อเจดีย์
ก็ดี ต้องอาบัติทุกกฏ.
ลาภที่เขาน้อมไปเพื่อเจดีย์ ภิกษุน้อมมาเพื่อเจดีย์อื่นก็ดี เพื่อสงฆ์ก็ดี
เพื่อบุคคลก็ดี ต้องอาบัติทุกกฏ.
ลาภที่เขาน้อมไปเพื่อบุคคล ภิกษุน้อมมาเพื่อบุคคลอื่นก็ดี เพื่อสงฆ์
ก็ดี เพื่อเจดีย์ก็ดี ต้องอาบัติทุกกฏ.
ลาภที่เขายังไม่ได้น้อมไป ภิกษุสำคัญว่าเขาน้อมไปแล้ว . . . ต้อง
อาบัติทุกกฏ.
ลาภที่เขายังไม่ได้น้อมไป ภิกษุสงสัยอยู่ . . . ต้องอาบัติทุกกฏ.

797
หมวด/เล่ม
พระวินัยปิฎก มหาวิภังค์ เล่ม ๒ – หน้าที่ 798 (เล่ม 4)

ไม่ต้องอาบัติ
ลาภที่เขายังไม่ได้น้อมไป ภิกษุสำคัญว่าเขายังไม่ได้น้อมไป... ไม่
ต้องอาบัติ.
อนาปัตติวาร
[๗๓๐] ภิกษุ เมื่อทายกถามว่าจะถวายที่ไหน ตอบว่าไทยธรรมของ
พวกท่าน พึงได้รับการใช้สอย พึงได้รับการปรับปรุง หรือพึงตั้งอยู่ได้นาน
ในที่ใด ก็หรือจิตของพวกท่านเลื่อมใสในที่ใด ก็จงถวายในที่นั้นเถิด ดังนี้ ๑
ภิกษุวิกลจริต ๑ ภิกษุอาทิกัมมิกะ ๑ ไม่ต้องอาบัติแล.
สหธรรมิกวรรค สิกขาบทที่ ๑๒ จบ
ปาจิตตีย์ วรรคที่ ๘ จบ

798
หมวด/เล่ม
พระวินัยปิฎก มหาวิภังค์ เล่ม ๒ – หน้าที่ 799 (เล่ม 4)

ปริณามนสิกขาบทที่ ๑๒
วินิจฉัย ในสิกขาบทที่ ๑๒ พึงทราบดังนี้:-
คำที่จะพึงกล่าวทั้งหมด มีนัยดังกล่าวแล้วในปริณามนสิกขาบท ใน
ติงสกัณฑ์นั้น เป็นนิสสัคติยปาจิตตีย์ เพราะน้อมมาเพื่อตน ในสิกขาบทนี้
เป็นปาจิตตีย์ล้วน เพราะน้อมไปเพื่อบุคคล (อื่น).
สิกขาบทนี้ มีสมุฏฐาน ๓ เป็นกิริยา สัญญาวิโมกข์ สจิตตกะ โลก-
วัชชะ กายกรรม วจีกรรม อกุศลจิต มีเวทนา ๓ ดังนี้แล.
ปริณามนสิกขาบทที่ ๑๒ จบ
สหธรรมิกวรรคที่ ๘ จบบริบูรณ์
ตามวรรณนานุกรม
หัวข้อประจำเรื่อง
๑. สหธัมมิกสิกขาบท ว่าด้วยการว่ากล่าวโดยถูกธรรม
๒. วิวัณณนสิกขาบท ว่าด้วยการก่นสิกขาบท
๓. โมหนสิกขาบท ว่าด้วยการแสร้งทำหลง
๔. ปหารทานสิกขาบท ว่าด้วยการให้ประหาร
๕. ตลสัตติกสิกขาบท ว่าด้วยการเงื้อหอกคือฝ่ามือ
๖. อมูลกสิกขาบท ว่าด้วยการโจทด้วยอาบัติไม่มีมูล
๗. สัญจิจจสิกขาบท ว่าด้วยการแกล้งก่อความรำคาญ
๘. อุปัสสุติกสิกขาบท ว่าด้วยการแอบฟัง
๙. กัมมปฏิพาหนสิกขาบท ว่าด้วยการคัดค้านกรรม
๑๐. ฉันทาทานสิกขาบท ว่าด้วยการไม่ให้ฉันทะ
๑๑. ทัพพสิกขาบท ว่าด้วยเรื่องท่านพระทัพพมัลลบุตร
๑๒. ปริณามนสิกขาบท ว่าด้วยการน้อมลาภสงฆ์

799
หมวด/เล่ม
พระวินัยปิฎก มหาวิภังค์ เล่ม ๒ – หน้าที่ 800 (เล่ม 4)

ปาจิตตีย์ วรรคที่ ๙
รตนวรรค สิกขาบทที่ ๑
เรื่องพระเจ้าปเสนทิโกศล
[๗๓๑] โดยสมัยนั้น พระผู้มีพระภาคพุทธเจ้าประทับ อยู่ ณ พระ-
เชตวัน อารามของอนาถบิณฑิกคหบดี เขตพระนครสาวัตถี ครั้งนั้น พระเจ้า-
ปเสนทิโกศลตรัสสั่งเจ้าหน้าที่ผู้รักษาพระราชอุทยานว่า ดูก่อนพนาย เจ้าจง
ไปตกแต่งอุทยานให้เรียบร้อย เราจักประพาสอุทยาน.
เจ้าหน้าที่รักษาพระราชอุทยานผู้นั้น รับสนองพระบรมราชโองการ
แล้วตกแต่งพระราชอุทยานอยู่ ได้เห็นพระผู้มีพระภาคเจ้าประทับนั่งอยู่ ณ โคน
ไม้ต้นหนึ่ง ครั้นแล้ว จึงเข้าเฝ้าพระเจ้าปเสนทิโกศล กราบทูลว่า ขอเดชะ
พระราชอุทานเรียบร้อยแล้ว และพระผู้มีพระภาคเจ้าประทับอยู่ ณ โคนไม้ใน
พระราชอุทยานนั้น พระพุทธเจ้าข้า.
ท้าวเธอรับสั่งว่า ช่างเถอะพนาย เราจักเฝ้าพระผู้มีพระภาคพุทธเจ้า
ครั้นแล้วเสด็จไปสู่พระราชอุทยาน เข้าเผ้าพระผู้มีพระภาคเจ้า ขณะนั้นมี
อุบายสกผู้หนึ่งนั่งเฝ้าพระผู้มีพระภาคเจ้าอยู่ใกล้ ๆ ท้าวเธอได้ทอดพระเนตรเห็น
อุบาสกนั้นนั่งเฝ้าอยู่ใกล้พระผู้มีพระภาคเจ้า ทรงตกพระทัยยืนชะงักอยู่ ครั้น
แล้วทรงพระดำริว่า บุรุษผู้นี้คงไม่ใช่คนต่ำช้า เพราะเฝ้าพระผู้มีพระภาคเจ้า
อยู่ใกล้ ๆ ได้ ดังนี้ แล้วเข้าไปถวายบังคมพระผู้มีพระภาคเจ้าประทับนั่ง ณ
ราชอาสน์อันสมควรส่วนข้างหนึ่ง.

800