หมวด/เล่ม
พระวินัยปิฎก มหาวิภังค์ เล่ม ๒ – หน้าที่ 441 (เล่ม 4)

บทภาชนีย์
[๔๖๔] บิณฑบาตอันภิกษุณีแนะนำให้ถวาย ภิกษุสำคัญว่าแนะนำ
ให้ถวาย ฉัน เว้นไว้แต่คฤหัสถ์ปรารภไว้ก่อน ต้องอาบัติปาจิตตีย์.
บิณฑบาตอันภิกษุณีแนะนำให้ถวาย ภิกษุสงสัย ฉัน เว้นไว้แค่คฤหัสถ์
ปรารภไว้ก่อน ต้องอาบัติทุกกฏ.
บิณฑบาตอันภิกษุณีแนะนำให้ถวาย ภิกษุสำคัญว่าไม่ได้แนะนำให้
ถวาย ฉัน เว้นไว้แต่คฤหัสถ์ปรารภไว้ก่อน ไม่ต้องอาบัติ.
บิณฑบาตอันภิกษุณีผู้อุปสมบทในสงฆ์ฝ่ายเดียว แนะนำให้ถวายภิกษุ
ฉัน เว้นไว้แต่คฤหัสถ์ปรารภไว้ก่อน ต้องอาบัติทุกกฏ.
บิณฑบาตอันภิกษุณีมิได้แนะนำให้ถวาย ภิกษุสำคัญว่าแนะนำให้ถวาย
ฉัน ต้องอาบัติทุกกฏ.
บิณฑบาตอันภิกษุณีมิได้แน่ะนำให้ถวาย ภิกษุสงสัย ฉัน ต้องอาบัติ
ทุกกฏ.
บิณฑบาตอันภิกษุณีมิได้แนะนำให้ถวาย ภิกษุสำคัญว่ามิได้แนะนำ
ให้ถวาย ฉัน ไม่ต้องอาบัติ.
อนาปัตติวาร
[๔๖๕] ภิกษุฉันบิณฑบาตที่คฤหัสถ์ปรารภไว้ก่อน ๑ ภิกษุฉัน
บิณฑบาตอันสิกขมานาแนะนำให้ถวาย ๑ ภิกษุฉันบิณฑบาตอันสามเณรีแนะนำ
ให้ถวาย ๑ ภิกษุฉันอาหารทุกชนิดเว้นโภชนะห้า ๑ ภิกษุวิกลจริต ๑ ภิกษุ
อาทิกัมมิกะ ๑ ไม่ต้องอาบัติแล.
โอวาทวรรค สิกขาบทที่ ๙ จบ

441
หมวด/เล่ม
พระวินัยปิฎก มหาวิภังค์ เล่ม ๒ – หน้าที่ 442 (เล่ม 4)

ภิกขุนีวรรค ปริปาจนสิกขาบทที่ ๙
วินิจฉัยในสิกขาบทที่ ๙ พึงทราบดังนี้
[ว่าด้วยบิณฑบาตที่ภิกษุณีแนะนำให้ถวาย]
คำว่า มหานาเค ติฏฺฐมาเน เป็นทุติยาวิภัตติ ลงในอรรถแห่ง
สัตตมีวิภัตติ. อธิบายว่าเมื่อพระเถระผู้ใหญ่ทั้งหลายมีปรากฏอยู่. อีกอย่างหนึ่ง
ผู้ศึกษาพึงเห็นปาฐะเหลือในคำนี้ ดังนี้ว่า เห็นพระเถระผู้ใหญ่ทั้งหลายมีปรากฏ
อยู่. ความจริง เมื่อว่าโดยประการหลังนี้ ความยังไม่เหมาะ.
ถ้อยคำที่ยังไม่ถึงที่สุด ถึงตรงท่ามกลางแห่งการเริ่มต้นกับที่สุด ชื่อว่า
อันตรากถา.
บทว่า วิปฺปกตา คือ กำลังทำค้างอยู่
คำว่า สจฺจํ มหา นาคา โข ตยา คหปติ มีความว่า ภิกษุณี
ถูลนันทา หลิ่วตามอง เห็นพระเถระทั้งหลายกำลังเข้ามา ทราบว่าพระเถระ
เหล่านั้นได้ยินแล้ว จึงกล่าวอย่างนี้.
บทว่า ภิกฺขุนีปริปาจิตํ ได้แก่ อันภิกษุณีแนะนำให้ถวาย. อธิบายว่า
อันภิกษุณีให้สำเร็จ คือ ทำให้เป็นของควรได้ด้วยการประกาศคุณ. แต่ใน
บทภาชนะแห่งบทนั้น เพื่อทรงแสดงภิกษุณีและอาการที่ภิกษุณีนั้น แนะนำ
ให้ถวาย พระผู้มีพระภาคเจ้าจึงตรัสคำว่า ผู้ชื่อว่าภิกษุณี ได้แก่ สตรีผู้อุปสมบท
ในสงฆ์ ๒ ฝ่าย, ที่ชื่อว่าแนะนำให้ถวาย คือ (ภิกษุณีบอก) แก่คนผู้ไม่ประสงค์
จะถวายแต่แรก ดังนี้เป็นต้น.
ในคำ ปุพฺเพ คิหิสมารมฺภา นี้ มีวินิจฉัยดังนี้ :-

442
หมวด/เล่ม
พระวินัยปิฎก มหาวิภังค์ เล่ม ๒ – หน้าที่ 443 (เล่ม 4)

บทว่า ปุพฺเพ แปลว่า แต่แรกเริ่ม, ภัตที่เขาริเริ่มไว้แล้ว เรียกว่า
สมารัมภะ. คำว่า สมารัมภะ นี้ เป็นชื่อแห่งภัตที่เขาตระเตรียมไว้แล้ว.
การริเริ่มแห่งพวกคฤหัสถ์ ชื่อว่า คิหิสมารัมภะ. ภัตใดที่พวกคฤหัสถ์เตรียม
ไว้ก่อนแต่นางภิกษุณีแนะนำให้ถวาย, ภิกษุฉันบิณฑบาตอื่นนอกจากภัตนั้น
คือ เว้นบิณฑบาตนั้นเสีย เป็นอาบัติ. มีคำอธิบายว่า แต่ไม่เป็นอาบัติแก่ภิกษุ
ผู้ฉันบิณฑบาตที่พวกคฤหัสถ์จัดแจงไว้นั้น. ส่วนในบทภาชนะ พระอุบาลีเถระ
กล่าวไว้ว่า คิหิสมารมฺโภ นาม ญาตกา วา โหนฺติ ปวาริตา ดังนี้
เพื่อแสดงแต่อรรถเท่านั้น ไม่เอื้อเฟื้อถึงพยัญชนะ เพราะบิณฑบาต แม้ที่
พวกญาติและคนปวารณามิได้ปรารภไว้ เพื่อประโยชน์แก่ภิกษุก็เป็นอันเขา
ปรารภไว้แล้ว โดยอรรถ เพราะจะพึงให้นำมาได้ตามสบาย.
บทว่า ปกติปฏิยตฺตํวา มีความว่า เป็นภัตที่เขาจัดแจงไว้เพื่อ
ประโยชน์แก่ภิกษุนั้นนั่นเอง ตามปรกติว่า พวกเราจักถวายแก่พระเถระ ดังนี้
แต่ในมหาปัจจรีกล่าวไว้โดยไม่แปลกกันว่า เป็นภัตที่เขาจัดแจงไว้ว่า
จักถวายแก่พวกภิกษุ ไม่ได้ระบุว่า ภิกษุรูปนั้น หรือรูปอื่น.
ข้อว่า ปญฺจ โภชนานิ ฐเปตฺวา สพพตฺถ อนาปตฺติ ได้แก่
ไม่เป็นอาบัติในยาคูของควรเคี้ยว และผลไม้น้อยใหญ่ทั้งหมด แม้ที่นางภิกษุณี
แนะนำให้ถวาย. บทที่เหลือคนทั้งนั้น .
สิกขาบทนี้ มีสมุฏฐานดุจปฐมปาราชิก เกิดขึ้นทางกายกับจิต เป็น
กิริยา สัญญาวิโมกข์ สจิตตกะ ปัณณัตติวัชชะ กายกรรม มีจิต ๓ มีเวทนา ๓
ดังนี้แล.
ปริปาจมสิกขาบทที่ ๙ จบ

443
หมวด/เล่ม
พระวินัยปิฎก มหาวิภังค์ เล่ม ๒ – หน้าที่ 444 (เล่ม 4)

โอวาทวรรค สิกขาบทที่ ๑๐
เรื่องพระอุทายี
[๔๖๖] โดยสมัยนั้น พระผู้มีพระภาคพุทธเจ้าประทับอยู่ ณ พระ-
เชตวัน อารามของอนาถบิณฑิกคบดี เขตพระนครสาวัตถี ครั้งนั้น ปุราณ-
ทุติยิกาของท่านพระอุทายีได้บวชอยู่ในสำนักภิกษุณี นางมาในสำนักท่าน
พระอุทายีเนือง ๆ แม้ท่านอุทายีก็ไปในสำนักนางเนือง ๆ สมัยนั้นแล ท่าน
ตระอุทายีได้สำเร็จการนั่งในที่ลับกับภิกษุณีนั้นหนึ่งต่อหนึ่ง
บรรดาภิกษุที่เป็นผู้มักน้อย...ต่างก็เพ่งโทษติเตียนโพนทะนาว่าไฉน
ท่านพระอุทายีผู้เดียว จึงได้สำเร็จการนั่งในที่ลับกับภิกษุณีผู้เดียวเล่า แล้ว
กราบทูลเรื่องนั้นแด่พระผู้มีพระภาคเจ้า...
ทรงสอบถาม
พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงสอบถามพระอุทายีว่า ดูก่อนอุทายี ข่าวว่า
เธอผู้เดียวสำเร็จการนั่งในที่ลับกับภิกษุณีผู้เดียว จริงหรือ.
พระอุทายีทูลรับว่า จริง พระพุทธเจ้าข้า.
ทรงติเตียนแล้วบัญญัติสิกขาบท
พระผู้มีพระภาคพุทธเจ้าทรงติเตียนว่า ดูก่อนโมฆบุรุษ ไฉนเธอ
เดียวจึงได้สำเร็จการนั่งในที่ลับกับภิกษุณีผู้เดียวเล่า การกระทำของเธอนั่น
ไม่เป็นไปเพื่อความเลื่อมใสของชุ่มชนที่ยังไม่เลื่อมใส หรือเพื่อความเลื่อมใสยิ่ง
ของชุมชนที่เลื่อมใสแล้ว . . .
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ก็แลพวกเธอพึงยกสิกขาบทนี้ขึ้นแสดงอย่างนั้น
ว่าดังนี้ :-

444
หมวด/เล่ม
พระวินัยปิฎก มหาวิภังค์ เล่ม ๒ – หน้าที่ 445 (เล่ม 4)

พระบัญญัติ
๗๙.๑๐. อนึ่ง ภิกษุใด ผู้เดียว สำเร็จการนั่งในที่ลับกับ
ภิกษุณี ผู้เดียว เป็นปาจิตตีย์.
เรื่องพระอุทายี จบ
สิกขาบทวิภังค์
[๔๖๗] บทว่า อนึ่ง ...ใด ความว่า ผู้ใด คือ ผู้เช่นใด ...
บทว่า ภิกษุ ความว่า ที่ชื่อว่า ภิกษุ เพราะอรรถว่าเป็นผู้ขอ...นี้
ชื่อว่า ภิกษุ ที่ทรงประสงค์ในอรรถ.
ผู้ชื่อว่า ภิกษุณี ได้แก่ สตรีผู้อุปสมบทแล้วในสงฆ์ ๒ ฝ่าย
บทว่า กับ คือ ร่วมกัน.
บทว่า ผู้เดียว ผู้เดียว คือ มีเฉพาะภิกษุและภิกษุณี
ที่ชื่อว่า ที่ลับ คือ ที่ลับตา ที่ลับหู
ที่ชื่อว่า ที่ลับตา ได้แก่ สถานที่ซึ่งไม่สามารถแลเห็นภิกษุกับภิกษุณี
ขยิบตากัน ยักคิ้วกัน หรือชะเง้อศีรษะกัน
ที่ชื่อว่า ที่ลับหู ได้แก่ สถานที่ซึ่งไม่สามารถได้ยินถ้อยคำที่พูดกัน
ตามปกติ.
บทว่า สำเร็จการนั่ง ความว่า เมื่อภิกษุณีนั่ง ภิกษุนั่งใกล้ หรือ
นอนใกล้ ต้องอาบัติปาจิตตีย์
เมื่อภิกษุนั่ง ภิกษุณีนั่งใกล้หรือนอนใกล้ ต้องอาบัติปาจิตตีย์
นั่งทั้งสองก็ดี นอนทั้งสองก็ดี ต้องอาบัติปาจิตตีย์.

445
หมวด/เล่ม
พระวินัยปิฎก มหาวิภังค์ เล่ม ๒ – หน้าที่ 446 (เล่ม 4)

บทภาชนีย์
ติกปาจิตตีย์
[๔๖๘] ที่ลับภิกษุสำคัญว่าที่ลับ สำเร็จการนั่งหนึ่งต่อหนึ่ง ต้อง
อาบัติปาจิตตีย์
ที่ลับ ภิกษุสงสัย สำเร็จการนั่ง หนึ่งต่อหนึ่ง ต้องอาบัติปาจิตตีย์
ที่ลับ ภิกษุสำคัญว่ามิใช่ที่ลับสำเร็จการนั่ง หนึ่งต่อหนึ่ง ต้องอาบัติ
ปาจิตตีย์.
ทุกะทุกกฏ
ไม่ใช่ที่ลับ ภิกษุสำคัญว่าที่ลับ สำเร็จการนั่ง หนึ่งต่อหนึ่ง ต้องอาบัติ
ทุกกฏ
ไม่ใช่ที่ลับ ภิกษุสงสัย สำเร็จการนั่ง หนึ่งต่อหนึ่ง ต้องอาบัติทุกกฏ.
ไม่ต้องอาบัติ
ไม่ใช่ที่ลับ ภิกษุสำคัญว่าไม่ใช่ที่ลับ. . . ไม่ต้องอาบัติ.
อนาปัตติวาร
[๔๖๙] ภิกษุมีบุรุษผู้รู้เดียาสาคนใดคนหนึ่งอยู่ เป็นเพื่อน ๑ ภิกษุยืน
มิได้นั่ง ๑ ภิกษุผู้มีได้มุ่งที่ลับ ๑ ภิกษุนั่งส่งใจไปในอารมณ์อื่น ๑ ภิกษุวิกลจริต
๑ ภิกษุอาทิกัมมิกะ ๑ ไม่ต้องอาบัติแล.
โอวาทวรรค สิกขาบทที่ ๑๐ จบ
ปาจิตตีย์ วรรคที่ ๓ จบ

446
หมวด/เล่ม
พระวินัยปิฎก มหาวิภังค์ เล่ม ๒ – หน้าที่ 447 (เล่ม 4)

ภิกขุนีวรรค รโหนิสัชชสิกขาบทที่ ๑๐
วินิจฉัย ในสิกขาบทที่ ๑๐ พึงทราบดังนี้ :-
อรรถแห่งบาลีและวินิจฉัยทั้งหมด ผู้ศึกษาพึงทราบโดยนัยดังได้กล่าว
แล้วในอนิยตสิกขาบทที่ ๒ นั่นแล. จริงอยู่ สิกขาบทนี้ มีข้อกำหนดอย่าง
เดียวกันกับอนิยตสิกขาบทที่ ๒ และกับสิกขาบทที่ ๔ แห่งพระอุปนนทะข้างหน้า.
แต่พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงบัญญัติไว้แผนกหนึ่ง ด้วยอำนาจแห่งเหตุที่เกิดขึ้น
ดังนี้แล.
รโหนิสัชชสิกขาบทที่ ๑๐ จบ
ภิกขุนีวรรคที่ ๓ จบบริบูรณ์
ตามวรรณนานุกรม

447
หมวด/เล่ม
พระวินัยปิฎก มหาวิภังค์ เล่ม ๒ – หน้าที่ 448 (เล่ม 4)

หัวข้อประจำเรื่อง
๑. อสัมมตภิกขุโนวาทสิกขาบท ว่าด้วยสั่งสอนภิกษุณี
๒. อัตถังคตสิกขาบท ว่าด้วยสั่งสอนภิกษุณีเมื่อ
อาทิตย์ตกแล้ว
๓. ภิกขุปัสสยสิกขาบท ว่าด้วยสั่งสอนภิกษุณีถึง
ในที่อยู่
๔. อามิสสิกขาบท ว่าด้วยสั่งสอนภิกษุณี
เพราะเห็นแก่ลาภ
๕. จีวรทานสิกขาบท ว่าด้วยให้จีวร
๖. จีวรสิพพนสิกขาบท ว่าด้วยเย็บจีวร
๗. สังวิธานสิกขาบท ว่าด้วยชักชวนกันเดินทาง
๘. นาวาภิรุหนสิกขาบท ว่าด้วยโดยสารเรือ
๙. ปริปาจนสิกขาบท ว่าด้วยฉันบิณฑบาตอัน
ภิกษุณี
๑๐. รโหนิสัชชสิกขาบท ว่าด้วยนั่งในที่ลับ
รวม ๑๐ สิกขาบท

448
หมวด/เล่ม
พระวินัยปิฎก มหาวิภังค์ เล่ม ๒ – หน้าที่ 449 (เล่ม 4)

ปาจิตตีย์ วรรคที่ ๔
โภชนวรรค สิกขาบทที่ ๑
เรื่องพระฉัพพัคคีย์
[๔๗๐] โดยสมัยนั้น พระผู้มีพระภาคพุทธเจ้าประทับอยู่ ณ
พระเชตวัน อารามของอนาถบิณฑิกคหบดี เขตพระนครสาวัตถี ณ สถานอันไม่
ห่างจากพระนครสาวัตถีนั้น มีประชาชนหมู่หนึ่งได้จัดตั้งอาหารไว้ในโรงทาน
พระฉัพพัคคีย์ครองผ้าเรียบร้อย ถือบาตรจีวรเข้าไปบิณฑบาตยังพระนคร
สาวัตถี เมื่อไม่ได้อาหาร ได้พากันไปสู่โรงทาน ประชาชนตั้งใจอังคาสด้วย
ดีใจว่า แม้ต่อนาน ๆ ท่านจึงได้มา ครั้นวันที่ ๒ และวันที่ ๓ เวลาเช้า พระ
ฉัพพัคดีย์ครองอันตรวาสกแล้ว ถือบาตรจีวรเข้าไปบิณฑบาตยังพระนคร
สาวัตถี เมื่อไม่ได้อาหาร ได้พากันไปฉันในโรงทาน ครั้นแล้วได้ปรึกษากัน
ว่า พวกเราจักพากันไปสู่อารามทำอะไรกันแม้พรุ่งนี้ก็จักต้องมาที่นี่อีก จึงพา
กันอยู่ในโรงทานนั้นแหละ ฉันอาหารในโรงทานเป็นประจำ พวกเดียรถีย์พา
กันหลีกไป ประชาชนจึงเพ่งโทษติเตียนโพนทะนาว่า ไฉนพวกพระสมณะ
เชื้อสายพระศากยบุตร จึงได้อยู่ฉันอาหารในโรงทานเป็นประจำ อาหารในโรง
ทานเขามิได้จัดไว้เฉพาะท่านเหล่านี้ เขาจัดไว้เพื่อคนทั่ว ๆ ไป.
ภิกษุทั้งหลายได้ยินประชาชนเหล่านั้นเพ่งโทษติเตียนโพนทะนาอยู่
บรรดาที่เป็นผู้มักน้อย. . . ต่างก็เพ่งโทษ ติเตียน โพนทะนาว่า ไฉนพระ-
ฉัพพัคคีย์จึงได้อยู่ฉันอาหารในโรงทานเป็นประจำเล่า. . .

449
หมวด/เล่ม
พระวินัยปิฎก มหาวิภังค์ เล่ม ๒ – หน้าที่ 450 (เล่ม 4)

ทรงสอบถาม
พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงสอบถามพระฉัพพัคคีย์ว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย
ข่าวว่าพวกเธออยู่ฉันอาหารในโรงทานประจำ จริงหรือ.
พระฉัพพัคคีย์ทูลรับ ว่า จริง พระพุทธเจ้าข้า.
ทรงติเตียนแล้วบัญญัติสิกขาบท
พระผู้มีพระภาคพุทธเจ้าทรงติเตียนว่า ดูก่อนโมฆบุรุษทั้งหลาย
ไฉนพวกเธอจึงได้อยู่ฉัน อาหารในโรงทานเป็นประจำเล่า การกระทำของพวก
เธอนั่น ไม่เป็นไปเพื่อความเลื่อมใส หรือเพื่อความเลื่อมใสยิ่งของชุมชนที่
เลื่อมใสแล้ว . . .
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ก็แลพวกเธอพึงยกสิกขาบทนี้ขึ้นแสดงอย่างนั้น
ว่าดังนี้:-
พระบัญญัติ
๘๐.๑ ก. ภิกษุพึงฉันอาหารในโรงทานได้ครั้งหนึ่ง ถ้าฉัน
ยิ่งกว่านั้น เป็นปาจิตตีย์.
ก็สิกขาบทนี้ ย่อมเป็นอันพระผู้มีพระภาคเจ้าทรงบัญญัติแล้วแก่ภิกษุ
ทั้งหลาย ด้วยประการฉะนี้.
เรื่องพระฉัพพัคคีย์ จบ
เรื่องพระสารีบุตร
[๔๗๑] สมัยต่อมา ท่านพระสูตรีบุตร เดินทางไปพระนครสาวัตถี
ในโกศลชนบท ได้ไปยังโรงทานแห่งหนึ่ง ประชาชนตั้งใจอังคาสด้วยดีใจว่า

450