หมวด/เล่ม
พระวินัยปิฎก มหาวิภังค์ เล่ม ๒ – หน้าที่ 421 (เล่ม 4)

บทว่า ปฏิภาณจิตฺตํ ได้แก่ มีความงดงามอันทำด้วยปฏิภาณของตน.
ได้ยินว่า พระโลลุทายีนั้น ย้อมจีวรแล้ว ได้กระทำรูปหญิงกับชายกำลังทำ
เมถุนกัน ด้วยสีต่าง ๆ ในท่ามกลางแห่งจีวรนั้น เพราะเหตุนั้น พระธรรม
สังคาหกาจารย์ทั้งหลาย จึงได้กล่าวว่า มชฺเฌ ปฏิภาณจิตฺตํ วุฏฺฐาเปตฺวา
เป็นต้น.
บทว่า ยถาสํหริตฺวา คือ ตามที่พับไว้แล้วนั่นแหละ.
บทว่า จีวรํ ได้แก่ จีวรที่ภิกษุอาจเพื่อจะนุ่งหรือห่มได้. จริงอยู่
ในมหาปัจจรี เป็นต้น ท่านก็ได้กล่าวไว้อย่างนี้.
ในคำว่า สยํ สิพฺเพติ นี้ พึงทราบวินิจฉัยดังนี้ ภิกษุกะก็ดี
ตัดก็ดี ด้วยตั้งใจว่า. เราจักเย็บ เป็นทุกกฏ. แต่เป็นปาจิตตีย์ในเพราะการ
สอยเข็มทุก ๆ ครั้งที่สอย แก่ภิกษุผู้เย็บอยู่ เพราะพระบาลีว่า (ต้องปาจิตตีย์)
ทุก ๆ รอยเข็ม ดังนี้. แต่ถ้าว่าภิกษุไม่ชักเข็มออกหมดทั้งเล่ม แทงด้นไป
แม้ทั้งร้อยครั้ง เพื่อด้นด้ายเนาแล้วจึงนำออก เป็นปาจิตตีย์ตัวเดียว.
คำว่า สกึ อาณตฺโต ได้แก่ ภิกษุผู้สั่งครั้งเดียวว่า จงเย็บจีวร.
คำว่า พหุมฺปิ สิพฺพติ มีความว่า ถ้าแม้นว่า ผู้รับสั่งให้สุจิกรรม
ทั้งหมดเสร็จสิ้นแล้ว ให้จีวรสำเร็จลง ก็เป็นปาจิตตีย์เพียงตัวเดียว. แต่ถ้าเธอ
ได้รับคำสั่งว่า กรรมที่จะพึงทำในจีวรนี้ เป็นภาระของเธอ ดังนี้ แล้วจึงทำ
เป็นปาจิตตีย์แก่ผู้รับสั่งทุก ๆ รอยเข็ม รอยเข็มละ ๑ ตัว. เป็นปาจิตตีย์แม้
มากตัว เพราะคำพูดคำเดียวแก่ภิกษุผู้สั่ง. ส่วนในการสั่งบ่อย ๆ ไม่มีคำที่จะ
พึงกล่าวเลย.
ถ้าเมื่ออาจารย์และอุปัชฌาย์ กำลังเย็บจีวร เพื่อพวกภิกษุณีผู้เป็นญาติ
ของตน, ฝ่ายนิสิตก์เหล่าใดของท่านเหล่านั้น เย็บด้วยตั้งใจว่า พวกเราจักทำ

421
หมวด/เล่ม
พระวินัยปิฎก มหาวิภังค์ เล่ม ๒ – หน้าที่ 422 (เล่ม 4)

อาจริยวัตรอุปัชฌายวัตร หรือกฐินวัตร, เป็นอาบัติมากตัวแม้แก่นิสิตก์เหล่านั้น
ตามจำนวนรอยเข็ม. อาจารย์และอุปัชฌาย์ใช้ให้พวกอันเตวาสิกเย็บ (จีวร)
เพื่อพวกภิกษุณีผู้เป็นญาติของตน, เป็นทุกกฏแก่อาจารย์และอุปัชฌาย์. เป็น
ปาจิตตีย์แก่พวกอันเตวาสิก. พวกอันเตวาสิกนิมนต์ให้อาจารย์และอุปัชฌาย์
ช่วยเย็บ (จีวร) เพื่อพวกภิกษุผู้เป็นญาติของตน, แม้ในการที่อันเตวาสิก
นิมนต์อาจารย์และอุปัชฌาย์ให้ช่วยเย็บนั้น ก็นัยนั้นนี่และ จีวรเป็นของภิกษุณี
ผู้เป็นญาติ ทั้งฝ่ายอันเตวาสิก ทั้งผ่ายอาจารย์และอุปชฌาย์. แต่อาจารย์และ
อุปัชฌาย์ลวงพวกอันเตวาสิกให้เย็บ (จีวร), เป็นทุกกฏแม้แก่ทั้ง ๒ ฝ่าย.
เพราะเหตุไร ? เพราะจีวรพวกอันเตวาสิกเย็บด้วยความสำคัญว่า ไม่ใช่ญาติ
(และ) เพราะอาจารย์กับอุปัชฌาย์นอกนี้ ชักนำในสิ่งที่ไม่ควร. เพราะฉะนั้น
จึงควรบอกว่า นี้เป็นจีวรของมารดาเธอ และนี้เป็นจีวรของน้องสาว แล้วให้
พวกเธอช่วยเย็บ
สองบทว่า อญฺญํ ปริกฺขารํ ได้แก่ บริขารอย่างใดอย่างหนึ่ง
มีถุงรองเท้าเป็นต้น. บทที่เหลือคนทั้งนั้น.
สิกขาบทนี้ มีสมุฏฐาน ๖ เป็นกิริยา โนสัญญาวิโมกข์ อจิตตกะ
ปัณณัตติวัชซะ กายกรรม วจีกรรม มีจิต ๓ มีเวทนา ๓ ดังนี้แล.
จีวรสิพพนสิกขาบทที่ ๖ จบ

422
หมวด/เล่ม
พระวินัยปิฎก มหาวิภังค์ เล่ม ๒ – หน้าที่ 423 (เล่ม 4)

โอวาทวรรค สิกขาบทที่ ๗
เรื่องพระฉัพพัคคีย์
[๔๕๑] โดยสมัยนั้น พระผู้มีพระภาคพุทธเจ้าประทับอยู่ ณ พระ-
เชตวัน อารามของอนาถบิณฑิกคหบดี เขตพระนครสาวัตถี ครั้งนั้น พระ-
ฉัพพัคคีย์ชักชวนกัน เดินทางไกลร่วมกับพวกภิกษุณี คนทั้งหลายพากันเพ่งโทษ
ติเตียนโพนทะนาว่า พระสมณะเชื้อสายพระศากยบุตรเหล่านี้เที่ยวไปกับพวก
ภิกษุณี เหมือนพวกเรากับภรรยาเดินเที่ยวกันฉะนั้น ภิกษุทั้งหลายได้ยินคน
พวกนั้นเพ่งโทษติเตียนโพนทะนาอยู่ บรรดาที่เป็นผู้มักน้อย. . . ต่างก็เพ่งโทษ
ติเตียนโพนทะนาว่า ไฉนพระฉัพพัคคีย์จึงได้ชักชวนกัน แล้วเดินทางไกลร่วม
กับพวกภิกษุณีเล่า แล้วกราบทูลเรื่องนั้นแด่พระผู้มีพระภาคเจ้า . . .
ทรงสอบถาม
พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงสอบถามพระฉัพพัคคีย์ว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย
ข่าวว่า พวกเธอชักชวนกันแล้ว เดินทางไกลร่วมกับพวกภิกษุณี จริงหรือ.
พระฉัพพัคคีย์ทูลรับว่า จริง พระพุทธเจ้าข้า.
ทรงติเตียนแล้วบัญญัติสิกขาบท
พระผู้มีพระภาคพุทธเจ้าทรงติเตียนว่า ดูก่อนโมฆบุรุษทั้งหลาย ไฉน
พวกเธอจึงชักชวนกัน แล้วเดินทางไกลร่วมกับพวกภิกษุณีเล่า การกระทำของ
พวกเธอนั่นไม่เป็นไปเพื่อความเลื่อมใสของชุมชนที่ยังไม่เลื่อมใสหรือเพื่อความ
เลื่อมใสยิ่งของชุมชนที่เลื่อมใสแล้ว . . .

423
หมวด/เล่ม
พระวินัยปิฎก มหาวิภังค์ เล่ม ๒ – หน้าที่ 424 (เล่ม 4)

พระบัญญัติ
๗๖.๗ ก. อนึ่ง ภิกษุได้ชวนกันแล้ว เดินทางไกลด้วย
กันกับภิกษุณี โดยที่สุดแม้สิ้นระยะบ้านหนึ่ง เป็นปาจิตตีย์.
ก็สิกขาบทนี้ ย่อมเป็นอันพระผู้มีพระภาคเจ้าทรงบัญญัติแล้วแก่ภิกษุ
ทั้งหลาย ด้วยประการฉะนี้.
เรื่องพระฉัพพัคคีย์ จบ
เรื่องภิกษุและภิกษุณีหลายรูป
[๔๕๒] ก็โดยสมัยนั้นแล ภิกษุและภิกษุณี ลายรูปด้วยกัน จะพากัน
เดินทางไกลจากเมืองสาเกต ไปพระนครสาวัตถี ครั้งนั้น ภิกษุณีพวกนั้นพบ
ภิกษุ พวกเธอนั้นได้กล่าวคำนี้ว่า แม้พวกดิฉันก็จักไปกับพวกพระคุณเจ้าด้วย
ภิกษุพวกนั้น พูดว่า ดูก่อนน้องหญิง การชักชวนกันแล้วเดินทางไกล
ร่วมกันกับภิกษุณีไม่สมควร พวกเธอจะไปก่อน หรือพวกฉันจักไป
ภิกษุณีพวกนั้นตอบว่า พวกพระคุณเจ้าเป็นชายผู้ล้ำเลิศ พระคุณเจ้า
นั่นแหละจงไปก่อน
เมื่อภิกษุณีพวกนั้นเดินทางไปภายหลัง พวกโจรในระหว่างทางได้พา
กันแย่งชิงและประทุษร้าย ครั้นภิกษุณีพวกนั้น ไปถึงพระนครสาวัตถี ได้แจ้ง
เรื่องนั้นแก่ภิกษุณีทั้งหลาย ๆ ได้แจ้งเรื่องนั้นแก่ภิกษุทั้งหลาย ๆ ได้กราบทูล
เรื่องนั้นแด่พระผู้มีพระภาคเจ้า
ทรงอนุญาตให้ได้เดินทางร่วม
ลำดับนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงทำธรรมีกถา ในเพราะเหตุเป็น
เค้ามูลนั้น ในเพราะเหตุแรกเกิดนั้น แล้วรับสั่งกะภิกษุทั้งหลายว่า ดูก่อน

424
หมวด/เล่ม
พระวินัยปิฎก มหาวิภังค์ เล่ม ๒ – หน้าที่ 425 (เล่ม 4)

ภิกษุทั้งหลาย ในหนทางที่จะต้องไปกับพวกเกวียน รู้กันอยู่ว่าเป็นที่น่ารังเกียจ
มีภัยเฉพาะหน้า เราอนุญาตให้ชักชวนกันแล้วเดินทางไกลร่วมกับภิกษุณีได้
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ก็แลพวกเธอพึงยกสิกขาบทนี้ขึ้นแสดงอย่างนี้
ว่าดังนี้:-
พระอนุบัญญัติ
๗๖. ข. อนึ่ง ภิกษุใดชักชวนกันแล้วเดินทางไกลด้วยกัน
กับภิกษุณี โดยที่สุดแม้สั้นระยะบ้านหนึ่ง เว้นไว้แต่สมัย เป็น
ปาจิตตีย์. ในสมัยในเรื่องนั้น ทางเป็นที่จะต้องไปด้วยพวกเกวียน
รู้กันอยู่ว่าเป็นที่น่ารังเกียจ มีภัยเฉพาะหน้า นี้สมัยในเรื่องนั้น.
เรื่องภิกษุและภิกษุณีหลายรูป จบ
สิกขาบทวิภังค์
[๔๕๓] บทว่า อนึ่ง. . .ใด ความว่า ผู้ใด คือ ผู้เช่นใด. . .
บทว่า ภิกษุ ความว่า ที่ชื่อว่า ภิกษุ เพราะอรรถว่าเป็นผู้ขอ. . .นี้
ชื่อว่า ภิกษุ ที่ทรงประสงค์ในอรรถนี้.
ผู้ชื่อว่า ภิกษุณี ได้แก่ สตรีผู้อุปสมบทแล้วในสงฆ์ ๒ ฝ่าย.
บทว่า กับ คือ ร่วมกัน.
บทว่า ชักชวนกันแล้ว คือ ชักชวนกันว่า ไปกันเถิดน้องหญิง
ไปกันเถิดพระคุณเจ้า ไปกันเถิดเจ้าค่ะ ไปกันเถิดจ้ะ พวกเราไปกันในวันนี้
ไปกันในวันพรุ่งนี้ หรือไปกันในวันมะรืนนี้ ดังนี้ต้องอาบัติทุกกฏ.
บทว่า โดยที่สุดแม้สิ้นระยะบ้านหนึ่ง คือ ในหมู่บ้านกำหนด
ชั่วไก่บินตก ต้องอาบัติปาจิตตีย์ทุก ๆ ระยะบ้าน ในป่าหาบ้านมิได้ต้องอาบัติ
ปาจิตตีย์ ทุก ๆ กึ่งโยชน์.

425
หมวด/เล่ม
พระวินัยปิฎก มหาวิภังค์ เล่ม ๒ – หน้าที่ 426 (เล่ม 4)

บทว่า เว้นไว้แต่สมัย คือ ยกไว้แต่สมัย.
หนทางที่ชื่อว่า จะต้องไปด้วยพวกเกวียน คือ เว้นพวกเกวียน
แล้วไม่สามารถจะไปได้
ที่ชื่อว่า เป็นที่น่ารังเกียจ คือในหนทางนั้นมีสถานที่พวกโจรซ่องสุม
บริโภค ยืน นั่ง นอน ปรากฏอยู่
ที่ชื่อว่า มีภัยเฉพาะหน้า คือ ในหนทางนั้น มีมนุษย์ถูกพวกโจรฆ่า
ปล้น ทุบที ปรากฏอยู่.
ภิกษุพาไปตลอดทางที่มีภัยเฉพาะหน้า ถึงทางที่ปลอดภัยแล้ว พึงส่ง
พวกภิกษุณีไปด้วยคำว่า ไปเถิดน้องหญิงทั้งหลาย.
บทภาชนีย์
ติกปาจิตตีย์
[๔๕๘] ชักชวนกันแล้ว ภิกษุสำคัญว่าชักชวนกันแล้วเดินทางไกล
ด้วยกัน โดยที่สุดแม้สิ้นระยะบ้านหนึ่ง เว้นไว้แต่สมัย ต้องอาบัติปาจิตตีย์.
ชักชวนกันแล้ว ภิกษุสงสัย เดินทางไกลด้วยกัน โดยที่สุดแม้สิ้นระยะ
บ้านหนึ่ง เว้นไว้แต่สมัย ต้องอาบัติปาจิตตีย์.
ชักชวนกันแล้ว ภิกษุสำคัญว่าไม่ได้ชักชวนกัน เดินทางไกลด้วยกัน
โดยที่สุดแม้สิ้นระยะบ้านหนึ่ง เว้นไว้แต่สมัย ต้องอาบัติปาจิตตีย์.
ติกทุกกฏ
ภิกษุชักชวน ภิกษุณีไม่ได้ชักชวน. . .ต้องอาบัติทุกกฏ.
ไม่ได้ชักชวน ภิกษุสำคัญว่าชักชวน. . .ต้องอาบัติทุกกฏ.
ไม่ได้ชักชวน ภิกษุสงสัย. . .ต้องอาบัติทุกกฏ.

426
หมวด/เล่ม
พระวินัยปิฎก มหาวิภังค์ เล่ม ๒ – หน้าที่ 427 (เล่ม 4)

ไม่ต้องอาบัติ
ไม่ได้ชักชวน ภิกษุสำคัญว่าไม่ได้ชักชวน. . .ไม่ต้องอาบัติ.
อนาปัตติวาร
[๔๕๕] มีสมัย ๑ ไม่ได้ชักชวนกันไป ๑ ภิกษุณีชักชวน ภิกษุไม่
ได้ชักชวน ๑ ไปผิดนัด ๑ มีอันตราย ๑ ภิกษุวิกลจริต ๑ ภิกษุอาทิกัมมิกะ ๑
ไม่ต้องอาบัติแล.
โอวาทวรรค สิกขาบทที่ ๗ จบ
ภิกขุนีวรรค สังวิธานสิกขาบทที่ ๗
พึงทราบวินิจฉัย ในสิกขาบทที่ ๗ ดังต่อไปนี้
คำว่า ปจฺฉา คจฺฉนฺตีนํ โจรา อจฺฉินฺทึสุ มีความว่า เมื่อพวก
ภิกษุณีไปที่หลัง พวกโจรได้ชิงเอาบาตรและจีวรไป.
บทว่า ทูเลสุํ ได้แก่ พวกโจรประทุษร้ายพวกภิกษุณีเหล่านั้น.
อธิบายว่า ให้ถึงความเสียศีล.
บทว่า สํวิธาย คือ ชักชวนกัน, อธิบายว่า ทำการนัดหมายกัน
ในเวลาจะไป.
[อธิบายบ้านชั่วระยะไก่บินถึงเป็นต้น]
ไก่ออกจากบ้านใด แล้วเดินไปยังบ้านอื่น, บ้านนี้ท่านเรียกว่า ชั่วไก่
ไปถึง ในบทว่า กุกฺกุฏสมฺปาเท นี้. ในบทนั้น มีอรรถเฉพาะคำดังต่อไปนี้
ไก่ทั้งหลายย่อมเที่ยวไปถึงที่บ้านนี้ เหตุนั้น บ้านนี้จึงชื่อว่า เป็น
ที่ไปถึง. พวกไหนไปถึง ? พวกไก่. การเที่ยวไปถึงของพวกไก่ ชื่อว่า

427
หมวด/เล่ม
พระวินัยปิฎก มหาวิภังค์ เล่ม ๒ – หน้าที่ 428 (เล่ม 4)

กุกกุฏสัมปาทะ. อีกอย่างหนึ่ง การไปถึง ชื่อว่า สัมปาทะ. การไปถึง
ของพวกไก่ มีอยู่ที่บ้านนี้. เพราะเหตุนั้นบ้านนี้จึงชื่อว่า กุกกุฏสัมปาทะ.
ปาฐะว่า กุกฺกุฏสมฺปาเต ก็มี. ไก่บินโผขึ้นจากหลังคาเรือนแห่งบ้านใด แล้ว
ไปตกลงที่หลังคาเรือนแห่งบ้านอื่น, บ้านนี้ท่านเรียกว่า ชั่วไก่บินถึง ในปาฐะ
ว่า กุกฺกุฏสมฺปาเต นั้น. ส่วนอรรถเฉพาะคำในบทนี้ บัณฑิตพึงทราบ
โดยนัยดังกล่าวแล้วนั่นแหละ.
ก็บ้านแม้มีประการดังกล่าวแล้ว ๒ อย่างนี้ ใกล้ชิดกันนัก ย่อมไม่ได้
อุปจาร ในอรรถกถาท่านกล่าวไว้ว่า ก็เสียงไก่ขันอยู่ในเวลาใกล้รุ่งในบ้านใด
ได้ยินไปถึงในบ้านที่ถัดไป ต้องปาจิตตีย์ทุก ๆ ละแวกบ้าน ในรัฐที่คับคั่ง
ด้วยหมู่บ้านเช่นนั้น. ท่านได้กล่าวคำนั้นไว้แล้ว แม้ก็จริง, ถึงอย่างนั้น ก็เป็น
อาบัติเหมือนกัน แก่ภิกษุผู้ก้าวลงสู่อุปจารแห่งบ้าน ซึ่งถ้าแม้นมีระยะห่างกัน
ประมาณศอกกำที่พวกชาวบ้านเว้นไว้ เพราะพระบาลีว่า ต้องอาบัติปาจิตตีย์
ทุก ๆ ละแวกบ้าน ดังนี้. คำนั้นไม่สมด้วยพระบาลี. ถ้าว่า บ้านแม้เห็นปานนี้
โดยโวหารที่ได้แล้วอย่างนั้น เพราะไม่ใกล้ชิดกัน ย่อมได้โวหารว่า ชั่วไก่บินถึง
ดังนี้ ก็ดี ว่า ชั่วไก่บินไม่ถึง ดังนี้ก็ดี เพราะเป็นบ้านใกล้ชิดกัน. เพราะ
ฉะนั้น จึงไม่สมกันกับบาลี ฉะนั้นแล. ส่วนในบ้านนอกนี้ การเดินเลยอุปจาร
บ้านนี้ไป และก้าวลงสู่อุปจารบ้านอื่นเท่านั้นไม่ปรากฏ. เพราะฉะนั้น ที่ยก
อาบัติขึ้นปรับ จึงไม่ปรากฏเหมือนกัน.
[ว่าด้วยการกันชวนกันเดินทางร่วมกัน]
วินิจฉัยอาบัติในคำว่า คามนฺตเร คามนฺตเร อาปตฺติ ปาจิตฺติยสฺส
นั้น ดังต่อไปนี้ จริงอยู่ ในเวลาชักชวนกัน ถ้าว่าภิกษุและภิกษุณีแม้ทั้ง
๒ ยืนชักชวนกัน ในสำนักภิกษุณีก็ดี ในระหว่างวัดก็ดี ในโรงฉันก็ดี ในที่
อยู่แห่งเดียรถีย์ก็ดี ไม่เป็นอาบัติ. ได้ยินว่า ภูมินี้ เป็นกัปปิยภูมิ. เพราะเหตุนั้น

428
หมวด/เล่ม
พระวินัยปิฎก มหาวิภังค์ เล่ม ๒ – หน้าที่ 429 (เล่ม 4)

ท่านอาจารย์ทั้งหลายจึงไม่ปรับอาบัติทุกกฏ เพราะการชักชวนเป็นปัจจัย ใน
สำนักแห่งภิกษุณีเป็นต้นนี้ เป็นปาจิตตีย์ตามวัตถุทีเดียว แก่ภิกษุผู้เดินไป.
แต่ถ้าว่า ภิกษุกับภิกษุณีชักชวนกัน ภายในบ้าน ที่ถนนใกล้ประตู
สำนักของภิกษุณีก็ดี ในที่เหล่าอื่น มีทาง ๔ แยก ๓ แยก และโรงช้างเป็นต้น
ก็ดี, ภิกษุไม่ต้องทุกกฏ. ครั้นชักชวนกันอย่างนั้นแล้ว จึงออกจากบ้านไป.
ไม่เป็นอาบัติเพราะการออกจากบ้าน. แต่ในเพราะย่างลงสู่อุปจารแห่งบ้านที่
ถัดไป เป็นปาจิตตีย์แก่ภิกษุ. ท่านกล่าวไว้ในในมหาปัจจรีว่า แม้ในการย่างลงสู่
อุปจารนั้น เป็นทุกกฏในย่างเท้าที่ ๑ เป็นปาจิตตีย์ในย่างเท้าที่ ๒. ก็ภิกษุ
ออกจากบ้านแล้ว แต่ยังไม่ย่างลงสู่อุปจารแห่งบ้านถัดไปเพียงใด, แม้เมื่อ
ชักชวนกันในระหว่างนี้ ก็เป็นทุกกฏแก่ภิกษุเพียงนั้น. ในการย่างลงสู่อุปจาร
แห่งบ้านถ้า ไป ไม่เป็นอาบัติโดยนัยก่อนเหมือนกัน. ถ้าภิกษุกับภิกษุณีมีความ
ประสงค์จะไปสู่บ้านไกลมาก, เป็นอาบัติทุก ๆ ครั้งที่ย่างลง (สู่อุปจารแห่งบ้าน)
โดยนับอุปจารแห่งบ้าน
ท่านกล่าวไว้ในมหาปัจจรีว่า แต่ไม่เป็นอาบัติในเพราะการเดินเลยบ้าน
นั้น ๆ ไป. แต่ถ้าภิกษุณีคิดว่า เราจักไปยังบ้านชื่อโน้น แล้วเดินออกจาก
สำนักไป, ฝ่ายภิกษุก็คิดว่า เราจักไปยังบ้านโน้น แล้วเดินออกจากวิหาร
มุ่งหน้าไปยังบ้านนั้นนั่นแล, ถ้าภิกษุกับภิกษุณีแม้ทั้ง ๒ ไปพบกันที่ประตูบ้าน
แล้ว ถามกันว่า ท่านจะไปไหน ? จะไปบ้านโน้น, ท่านจะไปไหน ? กล่าวว่า
แม้เราก็จะไปที่บ้านนั้นเหมือนกัน จึงชักชวนกันว่า มาเถิดท่าน พวกเราจะ
ไปกันเดี๋ยวนี้ แล้วเดินไป ไม่เป็นอาบัติ. เพราะเหตุไร ? เพราะเหตุว่า
ภิกษุกับภิกษุณีต่างออกไปด้วยใส่ใจว่า เราจักไปตั้งแต่แรกนั่นเอง. คำที่กล่าว
ในมหาปัจจรีนั้น ไม่สมด้วยบาลี และไม่สมด้วยอรรถกถาที่เหลือ.
สองบทว่า อฑฺฒโยชเน อฑฺฒโยชเน มีความว่า ภิกษุเดินเลย
กึ่งโยชน์หนึ่ง ๆ ไปในขณะที่คิดว่า บัดนี้ เราจักเดินเลยไป เป็นทุกกฏใน

429
หมวด/เล่ม
พระวินัยปิฎก มหาวิภังค์ เล่ม ๒ – หน้าที่ 430 (เล่ม 4)

ย่างเท้าที่ ๑ เป็นปาจิตตีย์ในย่างเท้าที่ ๒. แท้จริง นัยนี้เป็นอาบัติในขณะที่
เดินเลยไป ไม่เป็นอาบัติในขณะย่างลง.
สองบทว่า ภิกฺขุ สํวิทหติ มีความว่า ภิกษุเห็นภิกษุณีที่ประตูเมือง
หรือที่ถนน กล่าวว่า ท่านเคยไปสู่บ้านชื่อโน้นไหม ? ภิกษุณีตอบว่า ดิฉัน
ยังไม่เคยไป พระผู้เป็นเจ้า ภิกษุกล่าวว่า มาเถิด เราจักไปด้วยกัน หรือว่า
ฉันจักไปพรุ่งนี้ แม้เธอก็พึงมาด้วย ดังนี้ก็ดี.
สองบทว่า ภิกฺขุนี สํวิทหติ มีความว่า ภิกษุณีเห็นภิกษุออกจาก
บ้าน เพื่อจะไหว้พระเจดีย์ในบ้านอื่น จึงกล่าวว่า พระผู้เป็นเจ้า ท่านจะ
ไปไหน ภิกษุตอบว่า ฉันจะไปยังบ้านโน้น เพื่อไหว้พระเจดีย์ ดังนี้.
ภิกษุณีนั่น แล ชักชวนแม้อย่างนี้ว่า พระผู้เป็นเจ้า ! แม้ดิฉันก็จักไปด้วย.
ภิกษุไม่ได้ชักชวน.
วินิจฉัยในคำว่า วิสงฺเกเตน นี้ พึงทราบดังนี้ ภิกษุกับภิกษุณี
กล่าวว่า เราจักไปกันก่อนฉัน แล้วไปภายหลังฉัน กล่าวว่า เราจะมากันใน
วันนี้ แล้วไปเสียวันพรุ่งนี้, อย่างนี้ไม่เป็นอาบัติ เพราะผิดนัดเวลาแล. แต่
แม้เมื่อมีการผิดนัดหมายประตู หรือผิดนัดหมายหนทาง เป็นอาบัติแท้.
บทว่า อาปทาสุ มีความว่า ในเพราะรัฐถูกปล้น ชาวชนบททั้งหลาย
พากันขึ้นสู่ล้อทางเดินหรือล้อเกวียนอพยพไป, ไม่เป็นอาบัติ ในอันตรายมีรูป
เห็นปานนี้. คำที่เหลือตื้นทั้งนั้นแล.
สิกขาบทนี้มีสมุฏฐาน ๔ เกิดขึ้นทางกาย ๑ ทางกายกับวาจา ๑
ทางกายกับจิต ๑ ทางกายวาจากับจิต ๑ เป็นกิริยา โนสัญญาวิโมกข์ อจิตตกะ
ปัณณัตติวัชชะ กายกรรม วจีกรรม มีจิต ๓ มีเวทนา ๓ ดังนี้แล.
สังวิธานสิกขาบทที่ ๗ จบ

430