บทว่า ปฏิภาณจิตฺตํ ได้แก่ มีความงดงามอันทำด้วยปฏิภาณของตน.
ได้ยินว่า พระโลลุทายีนั้น ย้อมจีวรแล้ว ได้กระทำรูปหญิงกับชายกำลังทำ
เมถุนกัน ด้วยสีต่าง ๆ ในท่ามกลางแห่งจีวรนั้น เพราะเหตุนั้น พระธรรม
สังคาหกาจารย์ทั้งหลาย จึงได้กล่าวว่า มชฺเฌ ปฏิภาณจิตฺตํ วุฏฺฐาเปตฺวา
เป็นต้น.
บทว่า ยถาสํหริตฺวา คือ ตามที่พับไว้แล้วนั่นแหละ.
บทว่า จีวรํ ได้แก่ จีวรที่ภิกษุอาจเพื่อจะนุ่งหรือห่มได้. จริงอยู่
ในมหาปัจจรี เป็นต้น ท่านก็ได้กล่าวไว้อย่างนี้.
ในคำว่า สยํ สิพฺเพติ นี้ พึงทราบวินิจฉัยดังนี้ ภิกษุกะก็ดี
ตัดก็ดี ด้วยตั้งใจว่า. เราจักเย็บ เป็นทุกกฏ. แต่เป็นปาจิตตีย์ในเพราะการ
สอยเข็มทุก ๆ ครั้งที่สอย แก่ภิกษุผู้เย็บอยู่ เพราะพระบาลีว่า (ต้องปาจิตตีย์)
ทุก ๆ รอยเข็ม ดังนี้. แต่ถ้าว่าภิกษุไม่ชักเข็มออกหมดทั้งเล่ม แทงด้นไป
แม้ทั้งร้อยครั้ง เพื่อด้นด้ายเนาแล้วจึงนำออก เป็นปาจิตตีย์ตัวเดียว.
คำว่า สกึ อาณตฺโต ได้แก่ ภิกษุผู้สั่งครั้งเดียวว่า จงเย็บจีวร.
คำว่า พหุมฺปิ สิพฺพติ มีความว่า ถ้าแม้นว่า ผู้รับสั่งให้สุจิกรรม
ทั้งหมดเสร็จสิ้นแล้ว ให้จีวรสำเร็จลง ก็เป็นปาจิตตีย์เพียงตัวเดียว. แต่ถ้าเธอ
ได้รับคำสั่งว่า กรรมที่จะพึงทำในจีวรนี้ เป็นภาระของเธอ ดังนี้ แล้วจึงทำ
เป็นปาจิตตีย์แก่ผู้รับสั่งทุก ๆ รอยเข็ม รอยเข็มละ ๑ ตัว. เป็นปาจิตตีย์แม้
มากตัว เพราะคำพูดคำเดียวแก่ภิกษุผู้สั่ง. ส่วนในการสั่งบ่อย ๆ ไม่มีคำที่จะ
พึงกล่าวเลย.
ถ้าเมื่ออาจารย์และอุปัชฌาย์ กำลังเย็บจีวร เพื่อพวกภิกษุณีผู้เป็นญาติ
ของตน, ฝ่ายนิสิตก์เหล่าใดของท่านเหล่านั้น เย็บด้วยตั้งใจว่า พวกเราจักทำ