No Favorites




หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย เถรคาถา เล่ม ๒ ภาค ๓ ตอน ๓ – หน้าที่ 112 (เล่ม 52)

บทว่า ภาเวนฺโต สติปฏฺฐาเน ความว่า ยังสติปัฏฐาน ๔ มี
กายานุปัสสนาเป็นต้น อันนับเนื่องในมรรค ให้เกิดและให้เจริญ.
บทว่า อินฺทฺริยานิ ได้แก่ อินทรีย์ ๕ มีสัทธินทรีย์เป็นต้น อันนับ
เนื่องในมรรคนั้นเอง.
บทว่า พลานิ ได้แก่ พละ ๕ มีศรัทธาเป็นต้น ก็เหมือนกัน. บทว่า
โพชฺฌงฺคานิ ได้แก่ โพชฌงค์ ๗ มีสติสัมโพชฌงค์เป็นต้นก็เหมือนกัน.
ด้วย จ ศัพท์ ท่านสงเคราะห์ สมัมัปปธาน อิทธิบาท และองค์มรรค.
จริงอยู่ การคำนวณธรรมเหล่านั้น ย่อมมีโดยการจัดธรรมเหล่านั้น
นั่นเอง เพราะไม่มีการเว้นธรรมเหล่านั้น. บทว่า วิหริสฺสามิ ความว่า
ข้าพระองค์ เมื่อเจริญโพธิปักขิยธรรมตามที่กล่าวแล้ว จักอยู่ด้วยสุขอัน
เกิดแต่มรรค สุขอันเกิดแต่ผลอันสำเร็จมาแต่การบรรลุมรรคนั้น และ
สุขอันเกิดแต่พระนิพพาน.
บทว่า อารทฺธวีริเย ความว่า ผู้ประกอบความเพียร ด้วยสามารถ
แห่งสัมมัปปธาน ๔. บทว่า ปหิตตฺเต ได้แก่ ผู้มีจิตส่งไปเฉพาะแล้วสู่
พระนิพพาน. บทว่า นิจฺจํ ทฬฺหปรกฺกเน ได้แก่ ผู้มีความเพียรไม่ย่อหย่อน
ตลอดกาล. ชื่อว่า ผู้มีความพร้อมเพรียง ด้วยอำนาจไม่วิวาทกัน และ
ด้วยอำนาจการให้กายสามัคคี. เพราะเห็นเพื่อนสพรหมจารีทั้งหลาย
ผู้ประกอบด้วยความเป็นผู้เสมอกันด้วยทิฏฐิและศีล. ด้วยคำนั้นท่านแสดง
ถึงความเพียบพร้อมด้วยกัลยาณมิตร.
บทว่า อนุสรนฺโต สมฺพุทฺธํ ความว่า ไม่เกียจคร้าน ระลึกถึง
พระองค์ผู้ชื่อว่า สัมมาสัมพุทธเจ้า เพราะตรัสรู้ธรรมทั้งปวงโดยชอบและ
ด้วยพระองค์เอง ชื่อว่า ผู้เลิศ เพราะเป็นผู้สูงสุดกว่าสัตว์ทั้งปวง ชื่อว่า

112
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย เถรคาถา เล่ม ๒ ภาค ๓ ตอน ๓ – หน้าที่ 113 (เล่ม 52)

ฝึกตนแล้วด้วยการฝึกอันสูงสุด ชื่อว่า ผู้มีจิตตั้งมั่นด้วยสมาธิอันยอดเยี่ยม
โดยนัยมีอาทิว่า แม้เพราะเหตุนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้านั้นเป็นพระอรหันต์
ดังนี้ ทั้งกลางคืนและกลางวันทุกเวลาอยู่. ด้วยคำนี้ ท่านจึงกล่าวการ
ประกอบพระกรรมฐานในที่ทั้งปวง เพราะแสดงถึงอาการประกอบในการ
เจริญพุทธานุสสติ กล่าวถึงการประกอบปาริหาริยกรรมฐาน ด้วยคำต้น.
ก็พระเถระครั้นกล่าวอย่างนี้แล จึงบำเพ็ญวิปัสสนา บรรลุ
พระอรหัต. เพราะเหตุนั้นท่านจึงกล่าวไว้ในอปทาน๑ว่า
สมเด็จพระผู้นำมีพระนามอันรุ่งเรือง มีพระคุณนับ
ไม่ได้ พระนามว่า ปทุมุตตระ เสด็จอุบัติขึ้นแล้วใน
แสนกัป แต่ภัทรกัปนี้ พระองค์ทรงพระนามว่า ปทุมุตตระ
ก็เพราะมีพระพักตร์เหมือนดอกปทุม มีพระฉวีวรรณงาม
ไม่มีมลทินเหมือนดอกปทุม ไม่เปื้อนด้วยโลก เหมือนดอก
ปทุมไม่เปื้อนด้วยน้ำฉะนั้น เป็นนักปราชญ์ มีพระอินทรีย์
ดังใบปทุมและน่ารักเหมือนดอกปทุม ทั้งมีพระโอษฐ์มี
กลิ่นอุดม เหมือนกลิ่นในกลีบของดอกปทุม เพราะฉะนั้น
พระองค์จึงทรงพระนานว่า ปทุมุตตระ พระองค์เป็นผู้เจริญ
กว่าโลก ไม่ทรงถือพระองค์ เปรียบเสมือนเป็นนัยน์ตา
ให้คนตาบอด มีพระอิริยาบถสงบ เป็นที่เก็บพระคุณ เป็น
ที่รองรับกรุณาและมติ ถึงในครั้งไหน ๆ พระมหาวีรเจ้า
พระองค์นั้น ก็เป็นผู้อันพรหม อสูรและเทวดาบูชา เป็น
พระชินะผู้สูงสุดในท่ามกลางหมู่ชนและเกลื่อนกล่นไปทั้ง
๑. ขุ. อ. ๓๓/ข้อ ๑๒๒.

113
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย เถรคาถา เล่ม ๒ ภาค ๓ ตอน ๓ – หน้าที่ 114 (เล่ม 52)

เทวดาและมนุษย์ เพื่อจะยังบริษัททั้งปวงให้ยินดี ด้วย
พระสำเนียงอันเสนาะ และด้วยพระธรรมเทศนาอัน
เพราะพริ้ง จึงได้ชมสาวกของพระองศ์ว่า ภิกษุอื่นที่พ้น
กิเลสด้วยศรัทธามีมติดี ขวนขวายในการดูเรา เช่นกับ
วักกลิภิกษุนี้ ไม่มีเลย ครั้งนั้นเราเป็นบุตรของพราหมณ์
ในพระนครหังสาวดี ได้สดับพระพุทธสุภาษิตนั้น จึง
ชอบใจฐานันดรนั้น ครั้งนั้นเราได้นิมนต์พระตถาคตผู้
ทศจากมลทินพระองค์นั้น พร้อมด้วยพระสาวก ให้
เสวยตลอด ๗ วัน แล้วให้ครองผ้า เราหมอบศีรษะลงแล้ว
จบลงในสาคร คืออนันตคุณของพระศาสดาพระองค์นั้น
เต็มเปี่ยมไปด้วยปีติ ได้กราบทูล ดังนี้ว่า ข้าแต่พระมหา-
มุนี ขอให้ข้าพระองค์ได้เป็นเช่นกันกับภิกษุผู้ศรัทธาธิมุตติ
ที่พระองค์ทรงชมเชยว่าเป็นเลิศว่าภิกษุมีศรัทธาในพระ-
ศาสนานี้เถิด เมื่อเราได้กราบทูลดังนี้แล้ว พระมหามุนีผู้มี
ความเพียรใหญ่ มีพระทัสสนะมิได้มีเครื่องกีดกัน ได้ตรัส
พระดำรัสนี้ในท่านกลางบริษัทว่า จงดูมาณพผู้นี้ ผู้นุ่งผ้า
เนื้อเกลี้ยงสีเหลือง นี้อวัยวะอันบุญสร้างสม ให้คล้าย
ทองคำ ดูดดื่มตาและใจของหมู่ชน ในอนาคตกาล มาณพ
ผู้นี้จักได้เป็นพระสาวกของพระโคดมผู้แสวงหาคุณอันยิ่ง-
ใหญ่ เป็นเลิศกว่าภิกษุทั้งหลายฝ่ายศรัทธาธิมุตติ เขาเป็น
เทวดาหรือมนุษย์ก็ตาม จักเป็นผู้เว้นจากความเดือดร้อน
ทั้งปวง รวบรวมโภคทรัพย์ทุกอย่าง มีความสุขท่องเที่ยวไป

114
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย เถรคาถา เล่ม ๒ ภาค ๓ ตอน ๓ – หน้าที่ 115 (เล่ม 52)

ในที่แสนกัปแต่กัปนี้ พระศาสดานี้พระนามว่า โคดม
ทรงสมภพในวงศ์พระเจ้าโอกกากราช จักเสด็จอุบัติขึ้น
ในโลก มาณพผู้นี้จักเป็นธรรมทายาทของพระศาสดา
พระองค์นั้น จักเป็นโอรสอันธรรมเนรมิต จักเป็นสาวก
ของพระศาสดามีนามว่า วักกลิ เพราะผลกรรมที่เหลือ
นั้น และเพราะตั้งเจตจำนงไว้ เราละร่างมนุษย์แล้ว
ได้ไปสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ เรามีความสุขในที่ทุกสถาน
ท่องเที่ยวไปในภพน้อยใหญ่ ได้เกิดในตระกูลหนึ่งใน
พระนครสาวัตถี มารดาของเราถูกภัยแต่ปิศาจคุกคาม
มีใจหวาดกลัว จึงให้เราผู้ละเอียดอ่อนเหมือนเนยข้น นุ่ม
นิ่มเหมือนใบไม้อ่อน ๆ ซึ่งยังนอนหงาย ให้นอนลง
แทบบาทมูลของพระผู้แสวงหาคุณอันยิ่งใหญ่ กราบทูลว่า
ข้าแต่พระโลกนาถ หม่อมฉันขอถวายทารกนี้แด่พระองค์
ข้าแต่ พระโลกนายก ขอพระองค์จงทรงเป็นที่พึ่งของเขา
ด้วยเถิด ครั้งนั้น สมเด็จพระมุนีผู้เป็นที่พึ่งของหมู่สัตว์
ผู้หวาดกลัว พระองค์ได้ทรงรับเราด้วยฝ่าพระหัตถ์อัน
อ่อนนุ่นมีตาข่าย อันท่านกำหนดด้วยจักรตั้งแต่นั้นมา
เราก็เป็นผู้ถูกรักษาโดยพระพุทธเจ้า จึงเป็นผู้พ้นจาก
ความป่วยไข้ทุกอย่าง อยู่โดยสุขสำราญ เราเว้นจาก
สุคตเสียเพียงครู่เดียวก็รำคาญใจ พออายุได้ ๗ ขวบ
เราก็ออกบวชเป็นบรรพชิต เราเป็นผู้ไม่อิ่มด้วยการดูพระ-
รูปอันประเสริฐเกิดเพราะบารมีทุกอย่าง มีดวงพระเนตร

115
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย เถรคาถา เล่ม ๒ ภาค ๓ ตอน ๓ – หน้าที่ 116 (เล่ม 52)

สีนิล ล้วนเกลื่อนกล่นไปด้วยวรรณสัณฐานอันงดงาม ครั้ง
นั้น พระศาสดาทรงทราบว่าเรายินดีในพระพุทธรูป จึงได้
ตรัสสอนเราว่า อย่าเลยวักกลิ ประโยชน์อะไรในรูปที่น่า
เกลียด ซึ่งคนพาลชอบเล่า ก็บัณฑิตใดเห็นสัทธรรม
บัณฑิตนั้นชื่อว่าเห็นเรา ผู้ไม่เห็นสัทธรรม ถึงจะเห็นเราก็
ชื่อว่าไม่เห็น กายมีโทษไม่สิ้นสุด เปรียบเสมอด้วยต้นไม้
มีพิษ เป็นที่อยู่ของโรคทุกอย่างล้วนเป็นที่ประชุมของทุกข์
เพราะฉะนั้น ท่านจงเบื่อหน่ายในรูป พิจารณาเห็นความ
เกิดขึ้นและความเสื่อมไปแห่งขันธ์ทั้งหลาย จักถึงที่สุด
แห่งสรรพกิเลสได้โดยง่าย เราอันสมเด็จพระโลกนาย
ผู้แสวงหาประโยชน์พระองค์นั้น ทรงพร่ำสอนอย่างนี้
ได้ขึ้นภูเขาคิชฌกูฏ เพ่งดูอยู่ที่ซอกเขา พระพิชิตมาร ผู้
มหามุนีประทับยืนอยู่ที่เชิงเขา เพื่อจะทรงปลอบโยนเรา
ได้ตรัสเรียกว่า วักกลิ เราได้ฟังพระดำรัสนั้นเข้าก็เบิกบาน
ครั้นนั้นเราวิ่งลงไปที่เงื้อมเขา สูงหลายร้อยชั่วบุรุษ แต่
ถึงแผ่นดินได้โดยสะดวกทีเดียวด้วยพุทธานุภาพ พระผู้
มีพระภาคเจ้าทรงแสดงพระธรรมเทศนา คือความเกิดขึ้น-
และความเสื่อมไปแห่งขันธ์ทั้งหลายอีก เรารู้ธรรมนั้น
ทั่วถึงแล้ว จึงได้บรรลุอรหัต ครั้งนั้นพระผู้มีพระภาคเจ้า
ผู้มีพระปรีชาใหญ่ ทรงถึงที่สุดแห่งจรณะ ทรงประกาศใน
ท่ามกลางแห่งมหาบริษัทแห่งสัตบุรุษว่า เราเป็นผู้เลิศ
กว่าภิกษุทั้งหลาย ฝ่ายศรัทธาธิมุตติ ในที่แสนกัปแต่กัปนี้

116
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย เถรคาถา เล่ม ๒ ภาค ๓ ตอน ๓ – หน้าที่ 117 (เล่ม 52)

เราได้ทำกรรมไว้ในกาลนั้น ด้วยกรรมนั้นเรานั้นเราไม่รู้จัก
ทุคติเลย นี้เป็นผลแห่งพุทธบูชา เราเผากิเลสทั้งหลาย
แล้ว...ฯลฯ... พระพุทธศาสนาเราได้ทำเสร็จแล้ว ดังนี้.
ก็พระเถระครั้นบรรลุพระอรหัตแล้ว แม้เมื่อพยากรณ์พระอรหัตผล
ก็ได้กล่าวคาถานี้เหมือนกัน. ลำดับนั้นพระศาสดา ประทับนั่งในท่ามกลาง
ภิกษุสงฆ์ จึงทรงตั้งท่านไว้ในตำแหน่งเป็นผู้เลิศกว่าภิกษุผู้น้อมไปใน
ศรัทธาฉะนี้แล.
จบอรรถกถาวักกลิเถรคาถาที่ ๘

117
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย เถรคาถา เล่ม ๒ ภาค ๓ ตอน ๓ – หน้าที่ 118 (เล่ม 52)

๙. วิชิตเสนเถรคาถา
ว่าด้วยคาถาของพระวิชิตเสนเถระ
[๓๔๓] เราจักระวังจิตนั้นไว้ เหมือนนายหัตถาจารย์ กักช้าง
ไว้ที่ประตูนครฉะนั้น เราจักไม่ประกอบจิตไว้ในธรรม
อันลามก จักไม่ย่อมให้จิตตกลงไปสู่ข่ายแห่งกามอันเกิด
ในร่างกาย เจ้าถูกเรากักไว้แล้ว จักไปตามชอบใจไม่ได้
เหมือนช้างได้ช่องประตูฉะนั้น ดูก่อนจิตผู้ชั่วช้า บัดนี้
เจ้าจักขืนยินดีในธรรมอันลามกเที่ยวไปเนือง ๆ ดังก่อนมิ
ได้ นายควาญช้างมีกำลังแข็งแรง ย่อมบังคับช้างที่จับได้
ใหม่ ยังไม่ได้ฝึก ให้อยู่ในอำนาจด้วยขอ ฉันใด เรา
จักบังคับเจ้าให้อยู่ในอำนาจ ฉันนั้น นายสารถีผู้ฉลาด
ในการฝึกม้าให้ดี เป็นผู้ประเสริฐ ย่อมฝึกม้าให้รอบรู้ได้
ฉันใด เราฝึกเจ้าให้ตั้งอยู่ในพละ ๕ ฉันนั้น จักผูกเจ้า
ด้วยสติ จักฝึกจักบังคับเจ้าให้ทำธุระด้วยความเพียร เจ้า
จักไม่ได้ไปไกลจากอารมณ์ภายในนี้ละนะจิต
จบวิชิตเสนเถรคาถา
อรรถกถาวิชิตเสนเถรคาถาที่ ๙
คาถาของท่านพระวิชิตเสนเถระ มีคำเริ่มต้นว่า โอลคฺเคสฺสามิ
ดังนี้. เรื่องนั้นมีเหตุเกิดขึ้นอย่างไร ?

118
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย เถรคาถา เล่ม ๒ ภาค ๓ ตอน ๓ – หน้าที่ 119 (เล่ม 52)

พระเถระแม้นี้ ได้ทำบุญญาธิการไว้ในพระพุทธเจ้าในปางก่อน
สั่งสมกุศลอันเป็นอุปนิสัยแห่งพระอรหัต ในภพนั้น ๆ ในกาลแห่งพระ-
ผู้มีพระภาคเจ้าทรงพระนามว่าอัตถทัสสี บังเกิดในเรือนมีตระกูล ถึงความ
เป็นผู้รู้เดียงสาแล้ว ละการครองเรือน บวชเป็นฤๅษีอยู่ในป่า เห็นพระผู้มี-
พระภาคเจ้า เสด็จไปทางอากาศ มีจิตเลื่อมใสแสดงอาการน่าเลื่อมใส
ประคองอัญชลีได้ยืนอยู่แล้ว. พระศาสดาทรงทราบอัธยาศัยของท่าน จึง
เสด็จลงจากอากาศ. ท่านน้อมถวายผลไม้อันหวานน่ารื่นรมย์ พระผู้มี-
พระภาคเจ้าทรงรับด้วยความอนุเคราะห์.
ด้วยบุญกรรมนั้น ท่านท่องเที่ยวไปในเทวโลกและมนุษยโลก ใน
พุทธุปบาทกาลนี้ บังเกิดในตระกูลนายหัตถาจารย์ ในโกศลรัฐ ได้นาม
ว่าวิชิตเสนะ ถึงความเป็นผู้รู้เดียงสา, นายหัตถาจารย์ ๒ คน ชื่อว่าเสนะ
และอุปเสนะ ผู้เป็นลุงของท่านฟังธรรมในสำนักของพระศาสดา ได้ศรัทธา
แล้วบรรพชา บำเพ็ญวิปัสสนาธุระ บรรลุพระอรหัตแล้ว.
แม้ท่านวิชิตเสนะ ถึงความสำเร็จในศิลปะช้าง ไม่มีจิตข้องอยู่ใน
การครองเรือน เพราะความที่คนมีอัธยาศัยในการสลัดออก เห็นปาฏิหาริย์
ของพระศาสดา ได้ศรัทธาบวชในสำนักของพระเถระผู้เป็นลุง กระทำ
กรรมด้วยวิปัสสนา อันเป็นโอวาทานุสาสนีของพระเถระผู้เป็นลุงเหล่านั้น
ดำเนินตามวิปัสสนาวิถี เมื่อจะสอนจิตของตน อันพล่านไปในอารมณ์
ต่าง ๆ ในภายนอก จึงได้กล่าวคาถา๑ว่า
เราจักระวังจิตนั้นไว้ เหมือนนายหัตถาจารย์ กักช้าง
ไว้ที่ประตูพระนครฉะนั้น เราจักไม่ประกอบจิตไว้ในธรรม
๑. ขุ. เถร. ๒๖/ข้อ ๓๔๓.

119
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย เถรคาถา เล่ม ๒ ภาค ๓ ตอน ๓ – หน้าที่ 120 (เล่ม 52)

อันลามก จักไม่ยอมให้จิตตกลงไปสู่ข่ายแห่งกามอันเกิด
ในร่างกาย เจ้าถูกเรากักไว้แล้ว จักไปตามชอบใจ
ไม่ได้ เหมือนช้างได้ช่องประตูฉะนั้น ดูก่อนจิตผู้ชั่วช้า
บัดนี้ เจ้าจักขืนยินดีในธรรมอันลามกเที่ยวไปเนือง ๆ
ดังก่อนมิได้ นายควาญช้างมีกำลังแข็งแรง ย่อมบังคับ
ช้างที่จับได้ใหม่ยังไม่ฝึก ให้อยู่ในอำนาจด้วยขอฉันใด
เราจักบังคับเจ้าให้อยู่ในอำนาจฉันนั้น นายสารถีผู้ฉลาด
ในการฝึกม้าให้ดีผู้ประเสริฐ ย่อมฝึกม้าให้รอบรู้ฉันใด
เราจักฝึกเจ้าไว้ด้วยสติ จักฝึกจักบังคับเจ้าให้ทำธุระด้วย
ความเพียร เราจักไม่ได้ไปไกลจากอารมณ์ภายในนี้ละ
นะจิต.
บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า โอลคฺเคสฺสามิ ความว่า เราจักระวัง
คือจะห้าม. บทว่า เต แก้เป็น ตํ แปลว่า ซึ่งจิตนั้น จริงอยู่ บทว่า เต
นี้เป็น ฉัฏฐีวิภัตติ ใช้ในอรรถแห่งทุติยาวิภัตติ. อีกอย่างหนึ่ง พึงนำ
บาลีที่เหลือมาเชื่อมเข้าด้วยบทว่า เต คมนํ อีกอย่างหนึ่ง บทว่า หตฺถินํ
ความว่า ซึ่งช้าง. ท่านวิชิตเสนะเรียกจิตของตนว่า จิต.
เมื่อจะแสดงอาการที่ปรารถนาจะห้ามจิตนั้น จึงกล่าวว่า อาณิทฺวาเร
หตฺถินํ. ประตูเล็กของพระนครซึ่งเนื่องกับกำแพง ชื่อว่าประตูพระนคร
ซึ่งเมื่อเขาใส่ลิ่มสลัก แม้ผู้อยู่ภายในเว้นเครื่องยนต์ ไม่สามารถจะเปิดได้
อันเป็นเหตุไม่สามารถให้มนุษย์, โค, ม้า, กระบือ เป็นต้นออกไป. เมื่อใด
นายหัตถาจารย์ปลอบใจช้างผู้ประสงค์จะออกไปภายนอกพระนคร จึงได้
ห้ามการไป.

120
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย เถรคาถา เล่ม ๒ ภาค ๓ ตอน ๓ – หน้าที่ 121 (เล่ม 52)

อีกอย่างหนึ่ง ประตูลิ่มชื่อว่า อาณิทวาร ก็ที่ประตูลิ่มสลักนั้น เขา
วางลิ่มขวางไว้ แล้วร้อยลิ่มกล่าวคือเข็มไม้ไว้ที่หัวลิ่มแล.
บทว่า ปาเป ความว่า จักไม่ประกอบจิตนั้นในบาปธรรมมีอภิชฌา
เป็นต้น อันเกิดขึ้นในอารมณ์ มีรูปเป็นต้น . บทว่า กามชาลา ความว่า
เป็นข่ายแห่งกาม. เหมือนอย่างว่า ชื่อว่า ข่ายของนายพรานเนื้อผู้จับปลา
ได้แก่การที่นายพรานเหล่านั้น ทำสัตว์มีปลาเป็นต้นให้สำเร็จการกระทำตาม
ปรารถนาฉันใด การที่มารทำจิตที่ตกไปตามอโยนิโสมนสิการ ให้สำเร็จ
การกระทำตามความปรารถนาก็ฉันนั้น. เพราะเหตุนั้นแล มารนั้นจึงยัง
สัตว์ทั้งหลายให้ตกไปในความพินาศ.
บทว่า สรีรช แปลว่า ผู้เกิดในสรีระ. จริงอยู่ จิตในปัญจโวการภพ
ท่านเรียกว่าเกิดในสรีระ เพราะมีความเป็นไปเนื่องด้วยรูป.
บทว่า ตวํ โอลคฺโค น คจฺฉสิ ความว่า ดูก่อนจิตชั่ว ท่านอัน
เราห้ามแล้วด้วยปฏักคือสติและสัมปชัญญะ บัดนี้จักไม่ไปตามความชอบใจ
คือจักไม่ได้เป็นไปตามความปรารถนาด้วยอำนาจอโยนิโสมนสิการ.
ถามว่า เหมือนอะไร ? แก้ว่า เหมือนช้างไม่ได้การเปิดประตูฉะนั้น
อธิบายว่า เหมือนช้าง เมื่อไม่ได้ผู้เปิดประตูเพื่อจะออกไปจากนคร หรือ
จากเครื่องปิดกั้นของช้าง.
บทว่า จิตฺตกลิ แปลว่า ดูก่อนจิตกาลกิณี.
บทว่า ปุนปฺปุนํ ได้แก่ ไป ๆ มา ๆ. บทว่า ปสกฺก ความว่า ด้วย
อำนาจการปลอบให้เบาใจด้วยการระลึกได้. บทว่า ปาปรโต แปลว่า
ยินดีในบาปกรรม, อธิบายว่า บัดนี้ จักประพฤติเหมือนในก่อนไม่ได้
คือเราจักไม่ให้เพื่อจะประพฤติเช่นนั้น.

121