บทว่า ภาเวนฺโต สติปฏฺฐาเน ความว่า ยังสติปัฏฐาน ๔ มี
กายานุปัสสนาเป็นต้น อันนับเนื่องในมรรค ให้เกิดและให้เจริญ.
บทว่า อินฺทฺริยานิ ได้แก่ อินทรีย์ ๕ มีสัทธินทรีย์เป็นต้น อันนับ
เนื่องในมรรคนั้นเอง.
บทว่า พลานิ ได้แก่ พละ ๕ มีศรัทธาเป็นต้น ก็เหมือนกัน. บทว่า
โพชฺฌงฺคานิ ได้แก่ โพชฌงค์ ๗ มีสติสัมโพชฌงค์เป็นต้นก็เหมือนกัน.
ด้วย จ ศัพท์ ท่านสงเคราะห์ สมัมัปปธาน อิทธิบาท และองค์มรรค.
จริงอยู่ การคำนวณธรรมเหล่านั้น ย่อมมีโดยการจัดธรรมเหล่านั้น
นั่นเอง เพราะไม่มีการเว้นธรรมเหล่านั้น. บทว่า วิหริสฺสามิ ความว่า
ข้าพระองค์ เมื่อเจริญโพธิปักขิยธรรมตามที่กล่าวแล้ว จักอยู่ด้วยสุขอัน
เกิดแต่มรรค สุขอันเกิดแต่ผลอันสำเร็จมาแต่การบรรลุมรรคนั้น และ
สุขอันเกิดแต่พระนิพพาน.
บทว่า อารทฺธวีริเย ความว่า ผู้ประกอบความเพียร ด้วยสามารถ
แห่งสัมมัปปธาน ๔. บทว่า ปหิตตฺเต ได้แก่ ผู้มีจิตส่งไปเฉพาะแล้วสู่
พระนิพพาน. บทว่า นิจฺจํ ทฬฺหปรกฺกเน ได้แก่ ผู้มีความเพียรไม่ย่อหย่อน
ตลอดกาล. ชื่อว่า ผู้มีความพร้อมเพรียง ด้วยอำนาจไม่วิวาทกัน และ
ด้วยอำนาจการให้กายสามัคคี. เพราะเห็นเพื่อนสพรหมจารีทั้งหลาย
ผู้ประกอบด้วยความเป็นผู้เสมอกันด้วยทิฏฐิและศีล. ด้วยคำนั้นท่านแสดง
ถึงความเพียบพร้อมด้วยกัลยาณมิตร.
บทว่า อนุสรนฺโต สมฺพุทฺธํ ความว่า ไม่เกียจคร้าน ระลึกถึง
พระองค์ผู้ชื่อว่า สัมมาสัมพุทธเจ้า เพราะตรัสรู้ธรรมทั้งปวงโดยชอบและ
ด้วยพระองค์เอง ชื่อว่า ผู้เลิศ เพราะเป็นผู้สูงสุดกว่าสัตว์ทั้งปวง ชื่อว่า