No Favorites




หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย เถรคาถา เล่ม ๒ ภาค ๓ ตอน ๓ – หน้าที่ 92 (เล่ม 52)

๕. วัฑฒเถรคาถา
ว่าด้วยคาถาของพระวัฑฒเถระ
[๓๓๙] โยมมารดาของเราดีแท้ เพราะได้แนะนำเราให้รู้สึก
ตัวเหมือนบุคคลแทงพาหนะด้วยปฏักฉะนั้น เราได้ฟังคำ
ของโยมมารดาที่พร่ำสอนแล้ว ได้ปรารภความเพียร มี
จิตตั้งมั่น ได้บรรลุโพธิญาณอย่างสูงสุด เราเป็นพระ-
อรหันต์ควรแก่ทักษิณา มีวิชชา ๓ ได้เห็นอมตธรรม
ชนะเสนาแห่งมารไม่มีอาสวะอยู่ อาสวะของเราเหล่าใด
ได้มีแล้วทั้งภายในทั้งภายนอก อาสวะเหล่านั้นทั้งหมด
เราตัดขาดแล้ว และไม่เกิดขึ้นอักต่อไป โยมมารดาของ
เราเป็นผู้แกล้วกล้า ได้กล่าวเนื้อความนี้กะเรา แม้เมื่อ
เราผู้เป็นบุตรของท่านไม่มีกิเลส กิเลสอันเป็นดังหมู่ไม้
ในป่าของท่านคงจะไม่มีเป็นแน่ ทุกข์เราทำให้สิ้นสุดแล้ว
อัตภาพนี้มีในที่สุด สงสาร คือความเกิดตายสิ้นแล้ว
บัดนี้ภพใหม่ไม่มี.
จบวัฑฒเถรคาถา
อรรถกถาวัฑฒเถรคาถาที่ ๕
คาถาของท่านพระวัฑฒเถระมีคำเริ่มต้นว่า สาธู หิ ดังนี้. เรื่อง
นั้นมีเหตุเกิดขึ้นอย่างไร ?
พระเถระแม้นี้ ได้กระทำบุญญาธิการไว้ในพระพุทธเจ้าในปางก่อน

92
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย เถรคาถา เล่ม ๒ ภาค ๓ ตอน ๓ – หน้าที่ 93 (เล่ม 52)

สั่งสมบุญอันเป็นอุปนิสัยแห่งพระนิพพาน ในภพนั้น ๆ ในพุทธุปบาท
กาลนี้ บังเกิดในตระกูลแห่งคฤหบดี ในภารุกัจฉนคร ได้นามว่าวัฑฒะ
เจริญโดยลำดับ. ลำดับนั้น มารดาของท่าน เกิดความสังเวชในสงสาร
ได้มอบบุตรให้แก่พวกญาติ บวชในสำนักนางภิกษุณีทั้งหลาย บำเพ็ญ
วิปัสสนากรรม บรรลุพระอรหัต สมัยต่อมาให้บุตรผู้ถึงความเป็นผู้รู้
เดียงสาแล้วบรรพชาในสำนักพระเวฬุทันตเถระ. ท่านบวชแล้วเรียน
พุทธพจน์เป็นพหูสูต เป็นธรรมกถึก นำคันถธุระ วันหนึ่งคิดว่าเราผู้เดียว
เป็นผู้ยิ่งในภายใน จักไปเยี่ยมมารดาดังนี้แล้ว จึงได้ไปยังสำนักนางภิกษุณี
มารดาเห็นท่านแล้วท้วงว่า เพราะเหตุไร ท่านเป็นผู้ยิ่งโนภายในจึงมาใน
ที่นี้แต่ผู้เดียว. ท่านเมื่อถูกมารดาทักท้วงเกิดความสังเวชว่า เราทำกรรม
อันไม่ควร ไปยังวิหารนั่งในที่พักในกลางวัน เห็นแจ้งบรรลุพระอรหัต
เมื่อจะพยากรณ์พระอรหัตผลแก่มารดา โดยยกการประกาศการถึงพร้อม
ด้วยโอวาทเป็นประธาน จึงได้กล่าวคาถา๑ว่า
โยมมารดาของเราดีแท้ ได้แนะนำเราให้รู้สึกตัว
เหมือนบุคคลแทงพาหนะด้วยปฏักฉะนั้น เราได้ฟังคำ
ของโยมมารดาที่พร่ำสอนแล้ว ได้ปรารภความเพียรมีจิต
ตั้งมั่น ได้บรรลุโพธิญาณอันสูงสุด เราเป็นพระอรหันต์
ควรแก่ทักษิณา มีวิชขา ๓ ได้เห็นอมตธรรม ชนะเสนา
แห่งมารไม่มีอาสวะอยู่ อาสวะของเราเหล่าใด ได้มีแล้วทั้ง
ภายในทั้งภายนอก อาสวะเหล่านั้นทั้งหมด เราตัดขาดแล้ว
และไม่เกิดขึ้นอีกต่อไป โยมมารดาของเราเป็นผู้แกล้วกล้า
๑. ขุ. ถร. ๒๖/ ข้อ ๓๓๕.

93
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย เถรคาถา เล่ม ๒ ภาค ๓ ตอน ๓ – หน้าที่ 94 (เล่ม 52)

ได้กล่าวเนื้อความนี้กะเรา แม้เมื่อเราผู้เป็นบุตรของท่าน
ไม่มีกิเลส กิเลสอันเป็นดังหมู่ไม้ในป่าของท่านคงไม่มี
เป็นแน่ ทุกข์เราทำให้สิ้นสุดแล้ว อัตภาพนี้มีในที่สุด
สงสารคือความเกิดตายสิ้นแล้ว บัดนี้ภพใหม่ไม่มี ดังนี้.
บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า สาธู หิ กโร เม มาตา ปโตทํ
อุปทํสยิ ความว่า ดีหนอ โยมมารดา แสดงปฏักกล่าวคือโอวาทแก่เรา
เพราะฉะนั้น จึงให้เรามีความวีริยะกล้าหาญเจาะบนกระหม่อม คือ ปัญญา
อันสูงสุด
บทว่า ยสฺสา ได้แก่ มารดาของเราใด.
บทว่า สมฺโพธึ ได้แก่ พระอรหัต, ก็ในข้อนี้มีโยชนาดังนี้ว่า
เราอันมารดาผู้ที่ให้กำเนิดสั่งสอน ฟังคำที่ท่านพร่ำสอนแล้ว ปรารภความ
เพียร มีตนส่งไปแล้วอยู่ บรรลุสัมโพธิญาณอันสูง คือผลอันเลิศได้แก่
พระอรหัต; เราชื่อว่า อรหันต์ เพราะเป็นผู้ไกลจากกิเลสนั้นนั่นเอง
เป็นทักขิไณยบุคคล คือเป็นผู้ควรแก่ทักษิณา เพราะเป็นบุญเขต.
ชื่อว่า มีวิชชา ๓ เพราะมีวิชชา ๓ มีปุพเพนิวาสญาณเป็นต้น ชื่อว่า
ผู้เห็นอมตะเพราะทำให้แจ้งซึ่งพระนิพพาน ย่อมชำนะเสนาของมาร ชื่อว่า
นมุจิ คือพาหนะของกิเลส ด้วยเสนาคือโพธิปักขิยธรรม จึงเป็นผู้ชื่อว่า
ไม่มีอาสวะเพราะชำนะเสนาแห่งมารนั้นนั่นแลอยู่เป็นสุข.
บัดนี้ เมื่อจะกระทำเนื้อความที่ท่านกล่าวไว้ว่า อนาสโว ให้ปรากฏ
ชัด จึงกล่าวคาถาว่า อชฺฌตฺตญฺจ ดังนี้ เป็นต้น.
คำแห่งคาถานั้น มีอธิบายว่า กิเลสเหล่าใดมีวัตถุภายในเป็นที่ตั้ง
และมีวัตถุภายนอกเป็นที่ตั้งมีอยู่ก่อน คือเกิดก่อนแต่การบรรลุอริยมรรค

94
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย เถรคาถา เล่ม ๒ ภาค ๓ ตอน ๓ – หน้าที่ 95 (เล่ม 52)

แห่งเรา อาสวะเหล่านั้นทั้งหมด เราตัดแล้ว ตัดขาดแล้ว คือละได้แล้ว
โดยเด็ดขาด บัดนี้ แม้ในกาลบางคราวก็ไม่เกิดอีก คือจักไม่เกิดเลย.
บัดนี้ เมื่อจะทำคำมารดาให้เป็นดุจขอสับ จึงชมเชยมารดา เพราะ
เหตุที่ตนบรรลุพระอรหัต จึงกล่าวคาถาว่า วิสารทา ดังนี้.
บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า วิสารทา โข แปลว่า ปราศจากความ
ขลาดโดยส่วนเดียว. เมื่อจะยกภาวะที่ตนเป็นบุตรคือโอรสของพระศาสดา
เพราะมารดาและตนบรรลุพระอรหัต ด้วยอาการอย่างนี้ จึงกล่าวกะมารดา
ว่า ภคนี ดังนี้.
บทว่า เอตมตฺถํ อภาสยิ ความว่า ได้กล่าวอรรถอัน เป็นโอวาท
แก่เรานี้. ก็มารดาเมื่อให้โอวาทเราอย่างนี้ ไม่จัดว่าเป็นผู้แกล้วกล้าอย่าง
เดียวเท่านั้น โดยที่แท้ ท่านก็เป็นผู้ไม่มีตัณหา ทั้งในบุตรของท่าน คือ
เห็นจะไม่สนิทสนม ทั้งในบุตรของท่าน, หรือจะประโยชน์อะไร ด้วยการ
กำหนดนี้ หมู่ไม้อันตั้งอยู่ในป่าไม่มีแก่ท่าน คือหมู่ไม้คือกิเลสมีอวิชชา
เป็นต้นไม่มีในสันดานของท่านเลย ซึ่งท่านแนะนำให้เราประกอบในความ
สิ้นภพ.
บัดนี้ เมื่อจะแสดงว่า เราดำเนินตามโดยอาการที่ท่านแนะนำให้
นั่นเอง จึงกล่าวคาถาสุดท้ายว่า ปริยนฺตกตํ ทุกข์เราทำให้สิ้นแล้วดังนี้.
ความของคำอันเป็นคาถานั้น รู้ได้ง่ายแล.
จบวัฑฒเถรคาถาที่ ๕

95
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย เถรคาถา เล่ม ๒ ภาค ๓ ตอน ๓ – หน้าที่ 96 (เล่ม 52)

๖. นทีกัสสปเถรคาถา
ว่าด้วยคาถาของพระนทีกัสสปเถระ
[๓๔๐] พระพุทธเจ้าเสด็จมาสู่แม่น้ำเนรัญชรา เพื่อประ-
โยชน์แก่เราหนอ เพราะเราได้ฟังธรรมของพระองค์แล้ว
ละมิจฉาทิฏฐิได้ เมื่อเราเป็นปุถุชนยังมืดมนอยู่ สำคัญว่า
การบูชายัญนี้เป็นความบริสุทธิ์ จึงได้บูชายัญสูงๆ ต่ำๆ
และได้บูชาไฟ แล่นไปสู่การถือทิฏฐิ ลุ่มหลงไปด้วยการ
เชื่อถือ เป็นคนตาบอดให้รู้แจ้ง สำคัญความไม่บริสุทธิ์ว่า
เป็นความบริสุทธิ์ บัดนี้ เราละมิจฉาทิฏฐิได้แล้ว ทำลาย
ภพทั้งปวงหมดแล้ว เราบูชาไฟ คือพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
ผู้เป็นทักขิไณยบุคคล เราขอนมัสการพระตถาคต ความ
ลุ่มหลงทั้งปวงเราละหมดแล้ว ตัณหาอันจะนำไปสู่ภพ
เราทำลายแล้ว ชาติสงสารสิ้นแล้ว บัดนี้ ภพใหม่มิได้มี.
จบนทีกัสสปเถรคาถา
อรรถกถานทีกัสสปเถรคาถาที่ ๖
คาถาของท่านพระนทีกัสสปเถระ มีคำเริ่มต้นว่า อตฺถาย วต เม
ดังนี้. เรื่องนั้นมีเหตุเกิดขึ้นอย่างไร ?
พระเถระแม้นี้ ได้กระทำบุญญาธิการไว้ในพระพุทธเจ้าในปางก่อน
สั่งสมกุศลอันเป็นอุปนิสสัยแห่งพระนิพพาน ในภพนั้น ๆ ในกาลแห่ง

96
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย เถรคาถา เล่ม ๒ ภาค ๓ ตอน ๓ – หน้าที่ 97 (เล่ม 52)

พระผู้มีพระภาคเจ้าพระนามว่าปทุมุตตระ บังเกิดในเรือนมีตระกูล ถึงความ
เป็นผู้รู้เดียงสาแล้ว วันหนึ่งเห็นพระศาสดากำลังเที่ยวบิณฑบาตอยู่ มีจิต
เลื่อมใสได้ถวายผลมะม่วงผลหนึ่ง มีสีเหมือนมโนศิลา ซึ่งเกิดขึ้นครั้งแรก
ของต้นมะม่วงที่ตนปลูกไว้.
ด้วยบุญกรรมนั้น ท่านท่องเที่ยวไปในเทวโลกและมนุษยโลก ใน
พุทธุปบาทกาลนี้ บังเกิดเป็นน้องชายของอุรุเวลกัสสปะ ในตระกูล
พราหมณ์ ในมคธรัฐ เจริญวัยแล้ว ไม่ปรารถนาการอยู่ครองเรือน เพราะ
มีอัธยาศัยในการสลัดออก จึงบวชเป็นดาบส พร้อมด้วยดาบส ๓๐๐ คน
สร้างอาศรมอยู่ที่ฝั่งแม่น้ำเนรัญชรา. จริงอยู่ เพราะท่านอยู่ที่ฝั่งแม่น้ำ
และเพราะท่านเป็นกัสสปโคตร ท่านจึงได้นามว่า นทีกสัสปะ, พระผู้มี-
พระภาคเจ้าได้ประทานอุปสมบทแก่ท่านพร้อมด้วยบริวาร โดยเอหิภิกษุ-
ภาวะ เรื่องทั้งหมดมาแล้วในขันธกะนั่นแล. ท่านดำรงอยู่ในพระอรหัต
ด้วยอาทิตตปริยายสูตร. ด้วยเหตุนั้นท่านจึงกล่าวไว้ในอปทาน๑ว่า
เมื่อพระพุทธเจ้าพระนามว่าปทุมุตตระเชษฐบุรุษของ
โลก ผู้คงที่ ผู้ทรงยศอันสูงสุด กำลังเสด็จเที่ยวบิณฑบาต
อยู่ ข้าพระองค์มีใจเลื่อมใส ได้ถือเอาผลชมพู่อย่างดีมา
ถวายแด่พระศาสดา ผู้เป็นทักขิไณยบุคคล เป็นนัก-
ปราชญ์ ข้าแต่พระองค์ผู้เป็นใหญ่กว่าสัตว์ เชษฐบุรุษ
ของโลก ประเสริฐกว่านรชน เพราะกรรมนั้น ข้าพระองค์
จงเป็นผู้ละความชนะและความแพ้แล้ว ได้ถึงฐานะที่
ไม่หวั่นไหว ในแสนกัปแต่กัปนี้ ข้าพระองค์ได้ถวายทาน
๑. ขุ. อ. ๓๓/ข้อ ๓๐.

97
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย เถรคาถา เล่ม ๒ ภาค ๓ ตอน ๓ – หน้าที่ 98 (เล่ม 52)

ใดในกาลนั้น ด้วยทานนั้นข้าพระองค์ไม่รู้จักทุคติเลย นี้
เป็นผลแห่งการถวายผลไม้อย่างดีเป็นทาน ข้าพระองค์เผา
กิเลสทั้งหลายแล้ว ...ฯลฯ...พระพุทธศาสนาข้าพระองค์
ได้ทำเสร็จแล้ว ดังนี้.
ก็ท่านดำรงอยู่ในพระอรหัตแล้ว ภายหลังพิจารณาการปฏิบัติของ
ตน เมื่อจะพยากรณ์พระอรหัตผล โดยระบุการถอนทิฏฐิขึ้นเป็นประธาน
จึงได้กล่าวคาถา ๕ คาถา๑เหล่านี้ว่า
พระพุทธเจ้าเสด็จมาสู่แม่น้ำเนรัญชรา เพื่อประ-
โยชน์แก่เราหนอ เพราะเราได้ฟังธรรมของพระองค์แล้ว
ละมิจฉาทิฏฐิได้ เมื่อเราเป็นปุถุชนยังมืดมนอยู่ สำคัญว่า
การบูชายัญนี้เป็นความบริสุทธิ์ จึงได้บูชายัญสูง ๆ ต่ำ ๆ
และได้บูชาไฟ แล่นไปสู่การถือทิฏฐิ ลุ่มหลงไปด้วยการ
เชื่อถือ เป็นคนตาบอดไม่รู้แจ้ง สำคัญความไม่บริสุทธิ์ว่า
เป็นความบริสุทธิ์ บัดนี้ เราละมิจฉาทิฏฐิได้แล้ว ทำลาย
ภพทั้งปวงหมดแล้ว เราบูชาไฟ คือพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
ผู้เป็นทักขิไณยบุคคล เราขอนมัสการพระตถาคต ความ
ลุ่มหลงทั้งปวงเราละหมดแล้ว ตัณหาอันจะนำไปสู่ภพเรา
ทำลายแล้ว ชาติสงสารสิ้นแล้ว บัดนี้ ภพใหม่มิได้มี.
บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า อตฺถาย วต เม ความว่า เพื่อ
ประโยชน์ คือเพื่อประโยชน์เกื้อกูลแก่เราหนอ.
บทว่า พุทฺโธ ได้แก่ พระสัพพัญญูพุทธเจ้า.
๑. ขุ. เถร. ๒๖/ข้อ ๓๔๐.

98
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย เถรคาถา เล่ม ๒ ภาค ๓ ตอน ๓ – หน้าที่ 99 (เล่ม 52)

บทว่า นทึ เนรญฺชรํ อคา ความว่า ได้ไปสู่แม่น้ำชื่อว่าเนรัญชรา.
อธิบายว่า ไปสู่อาศรมของอุรุเวลกัสสปะ พี่ชายของเรา ใกล้ฝั่งแห่ง
แม่น้ำนั้น .
บัดนี้ เพื่อจะไขความตามที่กล่าวแล้วจึงกล่าวว่า ยสฺสาหํ ดังนี้
เป็นต้น.
บทว่า ยสฺส ได้แก่ พระผู้มีพระภาคเจ้าพระองค์ใด.
บทว่า ธมฺมํ สุตฺวา ความว่า ฟังธรรมอันเกี่ยวด้วยสัจจะ ๔ คือ
ได้รับฟังตามกระแสแห่งโสตทวาร.
บทว่า มิจฺฉาทิฏฺฐึ วิวชฺชยึ ความว่า ละซึ่งการเห็นผิดตรงกันข้าม
(ผิดแผก) อันเป็นไปโดยนัยมีอาทิว่า ความบริสุทธิ์ย่อมมีด้วยยัญเป็นต้น
เพื่อจะแสดงให้พิสดาร ซึ่งความที่กล่าวด้วยบทว่า มิจฺฉาทิฏฺฐึ
วิวชฺชยึ นี้ จึงกล่าวคำมีอาทิว่า ยชึ ดังนี้ .
บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า ยชึ อุจฺจาวเจ ยญฺเญ ความว่า บูชายัญ
ที่ปรากฏ คือยัญต่าง ๆ มีการบวงสรวงพระจันทร์ และการบูชาด้วย
ข้าวตอกและน้ำที่ควรดื่มเป็นต้น.
บทว่า อคฺคิหุตฺตํ ชุหึ อหํ ความว่า เมื่อรับวัตถุที่เขานำมาบูชา
ด้วยอำนาจการบูชายัญเหล่านั้น จึงบำเรอไฟ.
บทว่า เอสา สุทฺธีติ มญฺญนฺโต ความว่า สำคัญอยู่ว่า ยัญกิริยา
คือการบำเรอไฟนี้ เป็นการบริสุทธิ์โดยความเป็นเหตุให้บริสุทธิ์ คือเป็น
การหมดจดจากสงสารย่อมมีแก่เราด้วยอาการอย่างนี้.
บทว่า อนฺธภูโต ปุถุชฺชโน ความว่า ชื่อว่าเป็นปุถุชนคนบอด
เพราะบกพร่องทางจักขุคือปัญญา ได้แก่ เพราะไม่มีปัญญาจักษุ. การ

99
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย เถรคาถา เล่ม ๒ ภาค ๓ ตอน ๓ – หน้าที่ 100 (เล่ม 52)

ยึดถือคือทิฏฐิ ชื่อว่า ทิฏฐิคหนะ เพราะอรรถว่าล่วงได้โดยยาก เหมือน
พงหญ้าและชัฏภูเขาเป็นต้นฉะนั้น แล่นไป คือเข้าไปสู่รกชัฏคือทิฏฐินั้น
เพราะฉะนั้น จึงชื่อว่า ทิฏฐิคหนปักขันทะ แล่นไปสู่ชัฏคือทิฏฐิ.
บทว่า ปรามาเสน ความว่า ด้วยการก้าวล่วงสภาวะแห่งธรรมเสีย
ยึดถือผิด กล่าวคือ การยึดถือโดยยึดถือว่า นี้เท่านั้นจริง.
บทว่า โมหิโต ความว่า ให้ถึงความเป็นผู้หลงงมงาย.
บทว่า อสุทฺธึ มญฺญิสํ สุทฺธึ ความว่า สำคัญคือเข้าใจหนทาง
อันไม่บริสุทธิ์ ว่าทางบริสุทธิ์ ดังนี้.
ท่านกล่าวเหตุในข้อนั้นว่า เป็นคนบอด คือคนไม่รู้. เป็นคนบอด
เพราะอวิชชาใด คือไม่รู้ธรรมและอธรรม และสิ่งที่ควรและไม่ควรนั้น
นั่นแล ฉะนั้น จึงสำคัญอย่างนั้น.
บทว่า มิจฺฉาทิฏฺฐิ ปหีนา เม ความว่า เมื่อเราฟังธรรมกถา คือ
สัจจะ ๔ ในที่พร้อมพระพักตร์พระศาสดาผู้เป็นอย่างนั้น ปฏิบัติอยู่โดย
อุบายอันแยบคาย เป็นอันละมิจฉาทิฏฐิแม้ทั้งหมด ด้วยสัมมาทิฏฐิอัน
สัมปยุตด้วยอริยมรรค โดยสมุจเฉทปหาน.
บทว่า ภวา ความว่า ภพทั้งปวงมีกามภพเป็นต้น เราทำลายเสีย
แล้ว คือกำจัดเสียแล้วด้วยศัสตรา คืออริยมรรค.
บทว่า ชุหามิ ทกฺขิเณยฺยคฺคึ ความว่า เราละไฟ มีไฟอันบุคคลพึง
นำมาบูชาเป็นต้น แล้วบูชาคือบำเรอไฟคือพระทักขิไณย คือพระสัมมาสัม-
พุทธเจ้า เพราะทรงเป็นพระทักขิไณยบุคคลของโลกพร้อมทั้งเทวโลก และ
เพราะเผาบาปทั้งปวง การบำเรอไฟคือพระทักขิไณยของเรานี้นั้น มิได้มุ่ง
ถึงวัตถุมีนมส้ม เนยข้น เปรียง และเนยใสเป็นต้น เป็นการนมัสการ

100
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย เถรคาถา เล่ม ๒ ภาค ๓ ตอน ๓ – หน้าที่ 101 (เล่ม 52)

พระศาสดาเท่านั้น เพราะฉะนั้น ท่านจึงกล่าวว่า นมสฺสามิ ตถาคตํ
เราขอนมัสการพระตถาคต ดังนี้.
อีกอย่างหนึ่ง บทว่า ชุหามิ ทกฺขิเณยฺยคฺคึ ความว่า ย่อมบูชา
คือบำเรอตน อันเป็นทักขิเณยยัคคิ ด้วยการกระทำทักขิณาของทายกให้
มีผลมาก และด้วยการเผาบาป. ย่อมบำเรอด้วยประการนั้น ๆ คือจะ
นมัสการเทวดาคือไฟ แต่บัดนี้เราจะนมัสการพระตถาคต.
บทว่า โมหา สพฺเพ ปหีนา เม ความว่า โมหะทั้งปวงต่าง
ด้วยความไม่รู้ในทุกข์เป็นต้น เราละได้แล้ว คือตัดขาดแล้ว เพราะเหตุ
นั้นนั่นแล เราจึงชื่อว่า ทำลายภวตัณหาได้แล้ว.
เม ศัพท์ พึงนำมาประกอบเข้าในบททั้ง ๓ ว่าชาติสงสารของเรา
สิ้นแล้ว บัดนี้ภพใหม่ของเราไม่มี ดังนี้แล.
จบอรรถกถานทีกัสสปเถรคาถาที่ ๖

101