หมวด/เล่ม
พระวินัยปิฎก มหาวิภังค์ เล่ม ๒ – หน้าที่ 321 (เล่ม 4)

เสนาสนวรรค ทุติยเสนาสนสิกขาบทที่ ๕
พึงทราบวินิจฉัย ในทุติยเสนาสนสิกขาบท ตั้งต่อไปนี้
[ว่าด้วยที่นอนมีฟูกเป็นต้น]
ฟูกเตียงก็ดี ฟูกตั่งก็ดี ชื่อว่า ฟูก. เครื่องลาดมีเครื่องลาดรักษา
ผิวพื้นเป็นต้น มีประการดังกล่าวแล้วในสิกขาบทก่อนนั่น แล. ผ้าปูนั่งมีชาย
พึงทราบว่า นิสีทนะ. ท่านกล่าวคำเพียงเท่านี้ว่า ผ้าปาวาร ผ้าโกเชาว์
(พรม) ชื่อว่า ผ้าปูนอน.
เครื่องลาดหญ้าชนิดใดชนิดหนึ่ง ชื่อว่า เครื่องลาดทำด้วยหญ้า.
ในเครื่องลาดทำด้วยใบไม้ก็นัยนี้.
ในคำว่า ปริกฺเขปํ อติกฺกาเมนฺตสฺส นี้ พึงทราบวินิจฉัยดังนี้
เป็นทุกกฏแก่ภิกษุผู้ก้าวเท้าแรกไป, เป็นปาจิตตีย์ ในย่างเท้าที่ ๒. ๒ เลฑฑุ
บาตจากเสนาสนะ ชื่อว่า อุปจารแห่งอารามที่ไม่ได้ล้อม.
[ว่าด้วยการบอกลาและเก็บเครื่องเสนาสนะ]
ในคำว่า อนาปุจฺฉํ วา คจฺเฉยฺย นี้ พึงทราบวินิจฉัย ดังนี้
เมื่อมีภิกษุ พึงบอกลาภิกษุ. เมื่อภิกษุนั้นไม่มี พึงบอกลาสามเณร เมื่อ
สามเณรนั้นไม่มี พึงบอกลาคนทำการวัด. แม้เมื่อคนทำการวัดนั้นก็ไม่มี พึง
บอกลาเจ้าของวิหาร ผู้สร้างวัด หรือผู้ใดผู้หนึ่ง ในวงศ์ตระกูลของเขา. แม้
เมื่อเจ้าของวิหาร หรือผู้เกิดในวงศ์ตระกูลของเขานั้น ก็ไม่มี. ภิกษุพึงวาง
เตียงลงบนหิน ๔ ก้อน แล้วยกเตียงตั่งที่เหลือขึ้นวางบนเตียงนั้นรวมที่นอน
ทั้ง ๑๐ อย่าง มีฟูกเป็นต้นกองไว้ข้างบน แล้วเก็บงำภัณฑะไม้ ภัณฑะดิน
ปิดประตูและหน้าต่าง บำเพ็ญคมิยวัตรแล้วจึงไป.

321
หมวด/เล่ม
พระวินัยปิฎก มหาวิภังค์ เล่ม ๒ – หน้าที่ 322 (เล่ม 4)

ก็ถ้าเสนาสนะฝนรั่วได้, และหญ้า หรืออิฐที่เขานำมาเพื่อมุงหลังคา
ก็มีอยู่. ถ้าอาจ ก็พึงมุง. ถ้าไม่อาจ พึงเก็บเตียงและตั่งไว้ในโอกาสที่ฝนจะ
ไม่รั่วรด แล้วจึงไป. ถ้าเสนาสนะฝนรั่วทั้งหมด, เมื่อสามารถพึงเก็บไว้ใน
เรือนของพวกอุบาสก ภายในบ้าน. ถ้าแม้พวกอุบาสกเหล่านั้น ไม่ยอมรับ
กล่าวว่า ท่านขอรับ ธรรมดาของสงฆ์เป็นของหนัก, พวกกระผมกลัวภัย
มีไฟไหม้เป็นต้น ดังนี้ ภิกษุจะวางเตียงลงข้างบนหิน แม้ในโอกาสกลางแจ้ง
แล้วเก็บเตียงตั่งเป็นต้นที่เหลือ โดยนัยดังกล่าวแล้วในก่อนนั่นแล เอาจำพวก
หญ้า และใบไม้ปกปิดแล้วจึงไป ก็ควร. จริงอยู่ ของที่ยังเหลือยู่ในที่นั้น
แม้จะเป็นเพียงชิ้นส่วน ( ตัวเตียงตั่ง) ก็จักเป็นอุปการะแก่พวกภิกษุเหล่าอื่น
ผู้มาในที่นั้น ฉะนี้แล.
พึงทราบวินิจฉัยในคำว่า วิหารสฺส อุปจาเร เป็นต้น ดังนี้
บริเวณ ชื่อว่า อุปจารแห่งวิหาร. โรงฉันที่เขาสร้างไว้ในบริเวณชื่อว่า
อุปัฏฐานศาลา. ปะรำที่เขาสร้างไว้ในบริเวณ ชื่อว่า มณฑป. โคนไม้
ในบริเวณ ชื่อว่า รุกขมูล. นี้เป็นนัยที่ท่านกล่าวไว้ในอรรถกถากุรุนทีก่อน.
ท่านกล่าวนัยไว้แล้ว แม้ก็จริง ถึงกระนั้น ห้องภายในก็ดี เสนาสนะที่คุ้ม
กันได้ บังทั้งหมดอย่างอื่นก็ดี พึงทราบว่า วิหาร.
สองบทว่า วิหารสฺส อุปจาเร ได้แก่ ในโอกาสภายนอกใกล้
วิหารนั้น.
บทว่า อุปฏฺฐานสาลายํ วา ได้แก่ ในโรงฉันก็ดี.
บทว่า มณฺฑเป วา ได้แก่ ในมณฑปเป็นที่ประชุมแห่งคนมาก
ซึ่งไม่ได้บังหรือแม้บังก็ดี. ในโคนไม้ไม่มีคำที่จะพึงกล่าว.

322
หมวด/เล่ม
พระวินัยปิฎก มหาวิภังค์ เล่ม ๒ – หน้าที่ 323 (เล่ม 4)

สองบทว่า อาปตฺติ ทุกฺกฏสฺส มีความว่า ก็เพราะเมื่อภิกษุปูลาด
ที่นอน ๑๐ อย่าง มีประการดังที่กล่าวแล้วในภายในห้อง เป็นต้น และในที่
คุ้มกันได้ แล้วไปเสีย, ที่นอนก็ดี เสนาสนะก็ดี ย่อมเสียหายเพราะปลวก
เป็นต้น จะกลายเป็นจอมปลวกไปทีเดียว ฉะนั้น ท่านจึงปรับเป็นปาจิตตีย์.
แต่สำหรับภิกษุผู้ปูไว้ในที่มีอุปัฏฐานศาลาเป็นต้น ในภายนอกแล้วไป เพียง
แต่ที่นอนเท่านั้นเสียหายไป เพราะสถานที่คุ้มกันไม่ได้, เสนาสนะไม่เสียหาย.
เพราะฉะนั้น ท่านจึงปรับเป็นทุกกฏในอุปัฏฐานศาลาเป็นต้นนี้.
วินิจฉัยในคำว่า มญฺจํ วา ปีฐํ วา เป็นต้นนี้ พึงทราบดังนี้
ก็เพราะตัวปลวกทั้งหลายไม่อาจเพื่อจะกัดเตียงและตั่งทันที ฉะนั้นภิกษุวาง
เตียงตั่งนั้นไว้แม้ในวิหารแล้วไป ท่านก็ปรับเป็นทุกกฏ. ส่วนในอุปจารแห่ง
วิหาร พวกภิกษุแม้เมื่อเที่ยวตรวจดูวิหาร เห็นเตียงและตั่งนั้นแล้วจักเก็บ.
วินิจฉัยในคำว่า อุทฺธริตฺวา คจฺฉติ นี้ พึงทราบดังนี้ ภิกษุ
เมื่อจะเก็บเองแล้วไป พึงรื้อเอาเครื่องถักร้อยเตียงและตั่งออกหมดแล้ว ม้วน
แขวนไว้ที่ราวจีวรแล้วจึงไป. ถึงภิกษุผู้มาอยู่ภายหลัง ถักเตียงและตั่งใหม่
เมื่อจะไป ก็พึงกระทำอย่างนั้นเหมือนกัน. ภิกษุผู้ปูที่นอนจากภายในฝาไปถึง
ภายนอกฝาแล้วอยู่ ในเวลาจะไป พึงเก็บไว้ในที่ที่คนถือเอามาแล้ว ๆ นั่นเทียว.
แม้ภิกษุผู้ยกลงมาจากชั้นบนแห่งปราสาทแล้วอยู่ภายใต้ปราสาท ก็นัยนี้นั่นแล
แม้ภิกษุจะตั้งเตียงและตั่งไว้ในที่พักกลางวัน และที่พักกลางคืนแล้ว ในเวลา
จะไปพึงเก็บไว้ตามเดิม ในที่ซึ่งคนถือเอามานั่นแล.
[ว่าด้วยสถานที่ต้องบอกลาและไม่ต้องบอกลา]
ในคำว่า อาปุจฺฉํ คจฺฉติ นี้ มีวินิจฉัยสถานที่ควรบอกลา และ
ไม่ควรบอกลา ดังต่อไปนี้

323
หมวด/เล่ม
พระวินัยปิฎก มหาวิภังค์ เล่ม ๒ – หน้าที่ 324 (เล่ม 4)

ศาลาใด เป็นศาลายาวก็ดี เป็นศาลาใบไม้ก็ดี อยู่บนพื้นดิน, หรือว่า
เรือนที่เขาสร้างบนเสาไม้ทั้งหลายหลังใด เป็นที่ปลวกขึ้นได้ก่อน, ภิกษุเมื่อ
จะหลีกไปจากศาลายาวเป็นต้นนั้น พึงบวกลาก่อนแล้วจึงหลีกไป. เพราะว่า
เมื่อสถานที่นั้นไม่มีใครปฏิบัติเพียง ๒-๓ วัน ตัวปลวกทั้งหลายย่อมตั้งขึ้น
ส่วนเสนาสนะใด เป็นเสนาสนะที่เขาสร้างไว้บนหินดาด หรือบนเสา
หินก็ดี ถ้าที่ภูเขาหินก็ดี เสนาสนะที่ฉาบโบกปูนขาวก็ดี ในเสนาสนะใดไม่มี
ความสงสัยในเรื่องปลวก (จะขึ้น), เมื่อภิกษุจะหลีกไปจากที่นั้น จะบอกลา
ก็ตาม ไม่บอกลาก็ตาม ไปเสีย ก็ควร. แต่การบอกลาย่อมเป็นธรรมเนียม
(ของผู้เตรียมจะไป). ถ้าตัวปลวกทั้งหลายจะขึ้นทางข้างหนึ่งในเสนาสนะแม้
เช่นนั้นได้ ควรบอกลาก่อนแล้วจึงไป.
ฝ่ายภิกษุอาคันตุกะใดประพฤติตามภิกษุผู้ถือเสนาสนะของสงฆ์อยู่ ไม่
ถือเสนาสนะสำหรับคนอยู่. เสนาสนะนั้น เป็นธุระของภิกษุรูปก่อนนั่นแล
ตราบเท่าที่ภิกษุนั้นยังไม่ถือ (เสนาสนะสำหรับคน). ก็จำเดิมแต่ภิกษุนั้นถือ
เอาเสนาสนะแล้วอยู่โดยอิสระของตน เป็นธุระของภิกษุอาคันตุกะนั่นเอง. ถ้า
แม้ทั้ง ๒ รูปแจกกันแล้วถือเอา, เป็นธุระแม้ของท่านทั้ง ๒ รูป.
แต่ในมหาปัจจรีท่านกล่าวไว้ว่า ถ้าภิกษุ ๒-๓ รูป ร่วมกันจัดตั้ง,
ในเวลาจะไปควรบอกลาทุกรูป. ถ้าบรรดาภิกษุเหล่านั้น รูปหนึ่งไปก่อน ทำ
ความผูกใจว่า รูปหลัง จักปฏิบัติ แล้วไป ย่อมสมควร. ความพ้น (จาก
อาบัติ) ย่อมไม่มีแก่รูปหลัง เพราะความผูกใจ. ภิกษุมากรูป ส่งภิกษุรูปหนึ่ง
ให้ไปปู. ในเวลาจะไป ภิกษุทั้งหมดจึงบอกลา, หรือพึงส่งภิกษุรูปหนึ่งไป
บอกลา. ภิกษุนำเอาเตียงและตั่งเป็นต้นมาจากที่อื่น แม้อยู่ในที่อื่น ในเวลา
จะไป พึงนำไปไว้ในที่เดิมนั้นนั่นแหละ. ถ้าเมื่อภิกษุนำมาจากที่อื่นแล้วใช้อยู่,

324
หมวด/เล่ม
พระวินัยปิฎก มหาวิภังค์ เล่ม ๒ – หน้าที่ 325 (เล่ม 4)

ภิกษุอื่นผู้แก่กว่ามา อย่าพึงห้ามท่าน พึงเรียนว่า ท่านขอรับ เตียงตั่ง
กระผมนำมาจากอาวาสอื่น ท่านพึงทำให้เป็นปกติเติม. เมื่อภิกษุผู้แก่กว่านั้น
รับรองว่า เราจักทำอย่างนั้น ดังนี้ ภิกษุนอกนี้จะไป ก็ควร. จริงอยู่ เมื่อ
ภิกษุแม้นำไปในที่อึ่นอย่างนี้ ใช้สอยอย่างใช้สอยเป็นของสงฆ์ เตียงและตั่งนั้น
จะเสียหายไปก็ตาม เก่าชำรุดไปก็ตาม ถูกพวกโจรลักไปก็ตาม ไม่เป็นสินใช้
แต่เมื่อภิกษุใช้สอยอย่างใช้สอยเป็นของบุคคล ย่อมเป็นสินใช้. อนึ่ง ภิกษุ
ใช้สอยเตียงตั่งของผู้อื่น อย่างใช้สอยเป็นของสงฆ์ก็ตาม อย่างใช้สอยเป็นของ
ส่วนบุคคลก็ตาม เตียงตั่งเสียหายไป เป็นสินใช้เหมือนกัน .
ข้อว่า เกนจิ ปลิพุทฺธํ โหติ มีความว่า เสนาสนะมีเหตุบางอย่าง
บรรดาเหตุมีภิกษุผู้แก่กว่า อิสรชน ยักษ์ สีหะ เนื้อร้าย และงูเห่าเป็นต้น
ขัคขวาง.
ในคำว่า สาเปกฺโข คนฺตฺวา ตตฺถ  ิโต อาปุจฺฉติ เกนจิ
ปลิพุทฺโธ โหติ พึงทราบวินิจฉัยดังนี้ ภิกษุยังมีห่วงใยอย่างนี้ว่า เรา
จักมาปฏิบัติในวันนี้นั่นแหละ ไปยังฝั่งแม่น้ำ หรือละแวกบ้านแล้ว ยืนอยู่ใน
ที่ที่เธอเถิดความคิดที่จะไปนั้นนั่นเอง ส่งใคร ๆ ไปบอกลา. หรือมีเหตุบ้าง
อย่าง บรรดาเหตุมีแม่น้ำเต็มฝั่ง พระราชาและโจรเป็นต้น ขัดขวาง. ภิกษุ
ถูกอันตรายขัดขวาง ไม่อาจจะกลับมาได้. ด้วยเหตุดังกล่าวนี้ ไม่เป็นอาบัติ
แม้แก่ภิกษุนั้น . บทที่เหลือพร้อมทั้งสมุฏฐานเป็นต้น มีนัยดังกล่าวแล้วใน
ปฐมสิกขาบทนั่นแล.
ทุติยเสนาสนสิกขาบทที่ ๕ จบ

325
หมวด/เล่ม
พระวินัยปิฎก มหาวิภังค์ เล่ม ๒ – หน้าที่ 326 (เล่ม 4)

ภูตคามวรรค สิกขาบทที่ ๖
เรื่องพระฉัพพัคคีย์
[๓๘๓] โดยสมัยนั้น พระผู้มีพระภาคพุทธเจ้าประทับอยู่ ณ พระ
เชตวัน อารามของอนาถบิณฑิกคหบดี เขตพระนครสาวัตถี ครั้งนั้น
พระฉัพพัคคีย์เกียดกันที่นอนดี ๆ ไว้ให้พระเถระทั้งหลายย้ายไปเสีย แล้วคิด
กันว่า ด้วยอุบายอะไรหนอ พวกเราจะพึงอยู่จำพรรษา ณ ที่นี้แหละ แล้ว
สำเร็จการนอนแทรกแซงพระเถระทั้งหลายด้วยหมายใจว่า ผู้ใดมีความดับใจ
ผู้นั้นจักหลีกไปเอง บรรดาภิกษุที่มักน้อย . . .ต่างก็เพ่งโทษติเตียนโพนทะนา
ว่า ไฉนพระฉัพพัคคีย์จึงได้สำเร็จการนอนแทรกแซงพระเถระทั้งหลาย แล้ว
กราบทูลเนื้อความนั้นแด่พระผู้มีพระภาคเจ้า. . .
ทรงสอบถาม
พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสถานว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ข่าวว่าพวกเธอ
สำเร็จการนอนแทรกแซงพระเถระทั้งหลาย จริงหรือ.
พระฉัพพัคคีย์ทูลรับว่า จริง พระพุทธเจ้าข้า.
ทรงติเตียน
พระผู้มีพระภาคพุทธเจ้าทรงติเตียนว่า ดูก่อนโมฆบุรุษทั้งหลาย ไฉน
พวกเธอจึงได้สำเร็จการนอนแทรกแซงพระเถระทั้งหลายเล่า การกระทำของ
พวกเธอนั่น ไม่เป็นไปเพื่อความเลื่อมใสของชุมชนที่ยังไม่เลื่อมใส หรือเพื่อ
ความเลื่อมใสยิ่งของชุมชนที่เลื่อมใสแล้ว . . .

326
หมวด/เล่ม
พระวินัยปิฎก มหาวิภังค์ เล่ม ๒ – หน้าที่ 327 (เล่ม 4)

ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ก็แลพวกเธอพึงยกสิกขาบทนี้ขึ้นแสดงอย่างนี้
ว่าดังนี้
พระบัญญัติ
๖๕. ๖. อนึ่ง ภิกษุใด รู้อยู่ สำเร็จการนอนแทรกแซงภิกษุ
ผู้เข้าไปก่อน ในวิหารของสงฆ์ ด้วยหมายว่า ผู้ใดมีความคับใจ
ผู้นั้นจักหลีกไปเอง ทำความหมายอย่างนี้เท่านั้นให้เป็นปัจจัย หาใช่
อย่างอื่นไม่ เป็นปาจิตตีย์.
เรื่องพระฉัพพัคคีย์ จบ
สิกขาบทวิภังค์
[๓๘๔] บทว่า อนึ่ง.. .ใด ความว่า ผู้ใด คือ ผู้เช่นใด.
บทว่า ภิกษุ ความว่า ที่ชื่อว่า ภิกษุ เพราะอรรถว่าเป็นผู้ขอ... นี้
ชื่อว่า ภิกษุ ที่ทรงประสงค์ในอรรถนี้.
วิหารที่ชื่อว่า ของสงฆ์ ได้แก่ วิหารที่เขาถวายแล้ว สละแล้วแก่สงฆ์.
ที่ชื่อว่า รู้ คือ รู้ว่าเป็นพระผู้เฒ่า รู้ว่าเป็นพระอาพาธ รู้ว่าเป็นพระที่
สงฆ์มอบวิหารให้.
บทว่า แทรกแซง คือ เข้าไปเบียดเสียด.
บทว่า สำเร็จการนอน ความว่า ภิกษุปูไว้เองก็ดี ให้คนอื่นปูไว้
ก็ดี ซึ่งที่นอน ในสถานที่ใกล้เตียงก็ดี ตั่งก็ดี ทางเข้าออกก็ดี ต้องอาบัติทุกกฏ
นั่งทับก็ดี นอนทับก็ดี ต้องอาบัติปาจิตตีย์.

327
หมวด/เล่ม
พระวินัยปิฎก มหาวิภังค์ เล่ม ๒ – หน้าที่ 328 (เล่ม 4)

คำว่า ทำความหมายอย่างนี้เท่านั้นให้เป็นปัจจัย หาใช่อย่าง
อื่นไม่ ความว่า ไม่มีอะไรอื่นเป็นปัจจัยเพื่อสำเร็จการนอนแทรกแซง.
บทภาชนีย์
ติกปาจิตตีย์
[๓๘๕] วิหารของสงฆ์ ภิกษุสำคัญว่าของสงฆ์ สำเร็จการนอน
แทรกแซง ต้องอาบัติปาจิตตีย์.
วิหารของสงฆ์ ภิกษุสงสัย สำเร็จการนอนแทรกแซง ต้องอาบัติ
ปาจิตตีย์.
วิหารของสงฆ์ ภิกษุสำคัญว่าของบุคคล สำเร็จการนอนแทรกแซง
ต้องอาบัติปาจิตตีย์.
ทุกกฏ
เว้นอุปจาร เตียง ตั่ง หรือทางเข้าออกได้ ภิกษุปูเองก็ดี ให้คนอื่นปู
ก็ดี ซึ่งที่นอน ต้องอาบัติทุกกฏ นั่งทับก็ดี นอนทับก็ดี ต้องอาบัติทุกกฏ.
ภิกษุปูเองก็ดี ให้คนอื่นปูก็ดี ซึ่งที่นอน ในอุปจารวิหารก็ดี ใน
โรงฉันก็ดี ในมณฑปก็ดี ใต้ต้นไม้ก็ดี ในที่แจ้งก็ดี ต้องอาบัติทุกกฏ
นั่งทับก็ดี นอนทับก็ดี ต้องอาบัติทุกกฏ.
วิหารของบุคคล ภิกษุสำคัญว่าของสงฆ์ . . . ต้องอาบัติทุกกฏ.
วิหารของบุคคล ภิกษุสงสัย ...ต้องอาบัติทุกกฏ.
วิหารของบุคคล ภิกษุสำคัญว่าของบุคคล . .. ต้องอาบัติทุกกฏ เพราะ
เป็นของส่วนตัวของผู้อื่น.
วิหารเป็นส่วนตัวของตน . . . ไม่ต้องอาบัติ

328
หมวด/เล่ม
พระวินัยปิฎก มหาวิภังค์ เล่ม ๒ – หน้าที่ 329 (เล่ม 4)

อนาปัตติวาร
[๓๘๖] ภิกษุอาพาธเข้าอยู่ ๑ ภิกษุถูกความหนาวหรือความร้อน
เบียดเบียนแล้วเข้าไปอยู่ ๑ ภิกษุมีอันตราย ๑ ภิกษุวิกลจริต ๑ ภิกษุอาทิ-
กัมมิกะ ๑ ไม่ต้องอาบัติแล.
ภูตคามวรรค สิกขาบทที่ ๖ จบ
เสนาสนวรรค อนูปขัชชสิกขาบทที่ ๖
พึงทราบวินิจฉัย ในสิกขาบทที่ ๖ ดังต่อไปนี้
[แก้อรรถปฐมบัญญัติ เรื่องเข้าไปนอนแทรกแซง]
บทว่า ปลิพุทฺธนฺติ มีความว่า พวกภิกษุฉัพพัคคีย์ไปถึงก่อนขน
บาตรและจีวรไปยืนกั้นอยู่.
ข้อว่า เถเร กิกฺขู วุฏฺฐาเปนฺติ มีความว่า ถือเอาตามลำดับ
พรรษากล่าวว่า ท่านผู้มีอายุ (ที่นี้) ถึงแก่พวกเรา ดังนี้ แล้วให้ย้ายออก
ไปเสีย.
คำว่า อนุปขชฺช เสยฺยํ กปฺเปนฺติ มีความว่า พวกภิกษุฉัพพัคคีย์
เข้าไปแทรกแซงกล่าวว่า ท่านขอรับ เฉพาะที่เตียงเท่านั้น ถึงแก่พวกท่าน
ไม่ใช่วิหารทั้งหมด, บัดนี้ ที่นี้ ถึงแก่พวกกระผม ดังนี้ จัดวางเตียงและตั่ง
แล้วนั่งบ้าง นอนบ้าง กระทำการสาธยายบ้าง.
บทว่า ชานํ ได้เเก่ รู้อยู่ว่า ภิกษุนี้ไม่ควรถูกย้าย. ด้วยเหตุนั้น
นั่นเอง ในวิภังค์แห่งบทว่า ชานํ นั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าจึงตรัสคำเป็นต้นว่า
วุฑฺโฒติ ชานาติ แปลว่า รู้อยู่ว่าเป็นพระผู้เฒ่า. จริงอยู่ ภิกษุผู้เฒ่าเป็น

329
หมวด/เล่ม
พระวินัยปิฎก มหาวิภังค์ เล่ม ๒ – หน้าที่ 330 (เล่ม 4)

ผู้ไม่ควรให้ย้าย เพราะตนเป็นผู้เฒ่า, ภิกษุผู้อาพาธเป็นผู้ไม่ควรให้ย้าย เพราะ
เธอเป็นผู้อาพาธ ก็สงฆ์กำหนดความเป็นผู้มีอุปการะและความเป็นผู้มีคุณ
พิเศษ แห่งภิกษุภัณฑาคาริกก็ดี แห่งภิกษุผู้เป็นพระธรรมกถึก และพระ
วินัยธรเป็นต้น ก็ดี แห่งภิกษุผู้เป็นอาจารย์สอนคณะก็ดี จึงสมมติวิหารให้
เพื่อต้องการให้อยู่ประจำ. เพราะเหตุนั้น สงฆ์ให้วิหารแก่ภิกษุใด, ภิกษุแม้นั้น
ชื่อว่า เป็นผู้ไม่ควรให้ย้าย. ก็ในคำว่า วุฑฺโฒติ ชานาติ เป็นต้นนี้
สงฆ์เท่านั้นจะให้เสนาสนะที่สมควรแม้แก่ภิกษุผู้อาพาธก็จริง, ถึงกระนั้น ภิกษุ
อาพาธก็แยกตรัสไว้แผนกหนึ่ง เพื่อแสดงว่า แม้เป็นผู้มีเสนาสนะอันสงฆ์ยัง
ไม่อปโลกน์ให้ ก็ไม่ควรบีบคั้น ควรอนุเคราะห์ ดังนี้.
ในคำว่า อุปจาเร นี้ พึงทราบวินิจฉัยดังนี้. หนึ่งศอกคืบโดยรอบ
ในวิหารใหญ่ ชื่ออุปจารแห่งเตียงและตั่งก่อน. ในวิหารเล็กหนึ่งศอกคืบจากที่
พอจะดังเตียงตั่งได้ (ชื่อว่า อุปจารแห่งเตียงตั่ง). ทางกว้างศอกคืบชั่วระยะ
ถึงเตียงและตั่ง จากที่วางก้อนหินสำหรับล้างเท้าซึ่งวางไว้ที่ประตูและที่ถ่าย
ปัสสาวะ สำหรับภิกษุผู้ล้างเท้าแล้วเข้าไป และภิกษุผู้ออกไปเพื่อต้องการถ่าย
ปัสสาวะ ชื่ออุปจาร. ภิกษุใดใคร่จะสำเร็จการนอนแทรกแซง ปูลาดเองก็ดี
ให้ปูลาดก็ดี ซึ่งที่นอนในอุปจารแห่งภิกษุผู้ยืนอยู่ที่อุปจารแห่งเตียงหรือตั่งนั้น
ก็ดี ผู้เข้าหรือออกอยู่ก็ดี ภิกษุนั้นต้องทุกกฏ.
ในคำว่า อภินีสีทติ วา อภินิปชฺชติ วา นี้ พึงทราบวินิจฉัย
ดังนี้. เป็นปาจิตตีย์ เพราะเหตุสักว่านั่งทับบ้าง เพราะเหตุสักว่านอนทับ
บ้าง, แต่ถ้าภิกษุทำการนั่งและทำการนอนทั้ง ๒ อย่าง เป็นปาจิตตีย์ ๒ ตัว.
เมื่อผุดลุกผุดนั่งหรือผุดลุกผุดนอน เป็นปาจิตตีย์ทุก ๆ ประโยค.

330