หมวด/เล่ม
พระวินัยปิฎก มหาวิภังค์ เล่ม ๒ – หน้าที่ 301 (เล่ม 4)

บทเหล่านี้ว่า อุชฺฌาปนกํ นาม อุปสมฺปนฺนํ สงฺเฆน สมฺมตํ
เสนาสนปญฺญาปกํ วา ฯปฯ อปฺปมตฺตกวิสฺสชฺชกํ วา ดังนี้
เชื่อมความกับบทว่า มงฺกุกตฺตุกาโม (มีความประสงค์จะทำให้อัปยศ) นี้ .
ด้วยอำนาจแห่งบทเหล่านี้ว่า อวณฺณํ กตฺตุกาโม อยสํ กตฺตุกาโม
บัณฑิตพึงกระทำการเปลี่ยนวิภัตติในบทว่า อุปสมฺปนฺนํ เป็นต้น อย่างนี้ว่า
อุปสมฺปนฺนสฺส ดังนี้.
ก็เพราะในคำว่า อุชฺฌาเปติ วา ขิยฺยติ วา อาปตฺติ ปาจิตฺติยสฺส
นี้ พระผู้มีพระภาคเจ้า แม้ทรงยกบทมาติกาขึ้นอย่างนี้ว่า ขียนกํ นาม
ดังนี้แล้ว จะพึงตรัสวิภังค์ที่ตรัสแล้วนั้นแหละ แห่งบทว่า อุชฺฌาปนกํ นาม
นี้ (แต่) ความแปลกันอย่างอื่น (ในสิกขาบทนี้) ไม่มี เหมือนในอัญญ-
วาทสิกขาบท เพราะฉะนั้น บัณฑิตพึงทราบว่า พระผู้มีพระภาคเจ้าไม่ทรง
ยกขึ้น ทั้งไม่ทรงแจกบทมาติกานั้น แยกไว้ต่างหาก ทรงทำคำนิคมเท่านั้น
ไว้รวมกัน.
ในคำเป็นต้นว่า ธมฺมกมฺเม ธมฺมกมฺเมสญฺญี นี้ บัณฑิตพึงทราบ
ใจความโดยนัยนี้ว่า สมมติกรรมใด สงฆ์ทำแล้วเพื่อุปสัมบันนั้น ถ้ากรรม
นั้นเป็นกรรมชอบธรรม และภิกษุนั้นมีความสำคัญในกรรมนั้นว่า กรรมชอบ
ธรรม ย่อมทำการโพนทะนา และบ่นว่า ลำดับนั้น ภิกษุนั้น ต้องอาบัติ-
ปาจิตตีย์ ในเพราะความเป็นผู้โพนทะนาและบ่นว่านั้น.
ในคำว่า อนุปสมฺปนฺนํ อุชฺฌาเปติ วา ขิยฺยติ วา มีเนื้อ
ความว่า ภิกษุย่อมยังอนุปสัมบันอื่นให้โพนทะนา อุปสัมบันผู้อันสงฆ์สมมติแล้ว
หรือให้ดูหมิ่นก็ดี บ่นว่าเธอในสำนักแห่งอนุปสัมบันนั้นก็ดี.

301
หมวด/เล่ม
พระวินัยปิฎก มหาวิภังค์ เล่ม ๒ – หน้าที่ 302 (เล่ม 4)

คำว่า อุปสมฺปนฺนํ สงฺเฆน อสมฺมตํ มีความว่า ผู้อันสงฆ์
มิได้สมมติด้วยกรรมวาจา คือ ผู้อันสงฆ์ยกภาระให้ว่า นี้ เป็นภาระของท่าน
อย่างเดียว หรือว่าผู้นำภาระนั้นไปด้วยตนเอง เพื่อต้องการความอยู่สบายของ
ภิกษุทั้งหลาย อีกอย่างหนึ่ง อธิบายว่า (ย่อมให้โพนทะนาอุปสัมบัน) ผู้กระทำ
กรรมเช่นนั้น ในอาวาสที่มีภิกษุอยู่ ๒-๓ รูป.
ก็การให้สมมติ ๑๓ อย่าง แก่อนุปสัมบันย่อมไม่ควร แม้โดยแท้
ถึงอย่างนั้น อนุปสัมบันผู้ได้รับสมมติในคราวเป็นอุปสัมบัน ภายหลังทั้งอยู่
ในความเป็นอนุปสัมบัน พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสหมายเอาอนุปสัมบันนั้นว่า
หรือผู้อันสงฆ์สมมติ ในคำว่า อนุปสมฺปนฺนํ สงฺเฆน สมฺมตํ วา อสมฺมตํ
วา นี้. แต่สงฆ์หรือภิกษุที่สงฆ์สมมติ มอบภาระแก่สามเณรรูปใด ผู้ฉลาด
อย่างเดียวว่า เธอจะกระทำกรรมนี้ ดังนี้, พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสหมายถึง
สามเณรเช่นนั้นว่า หรือผู้อันสงฆ์ไม่ได้สมมติ. บทที่เหลือ ตื้นทั้งนั้น.
สิกขาบท มีสมุฏฐาน ๓ เกิดขึ้น ทางกายกับจิต ๑ ทางวาจากับจิต ๑
ทางกายวาจากับจิต ๑ เป็นกิริยา สัญญาวิโมกข์ สจิตตกะ โลกวัชชะ กายกรรม
วจีกรรม อกุศลจิต เป็นทุกขเวทนา แล.
อุชฌาปนสิกขาบทที่ ๓ จบ

302
หมวด/เล่ม
พระวินัยปิฎก มหาวิภังค์ เล่ม ๒ – หน้าที่ 303 (เล่ม 4)

ภูตคามวรรค สิกขาบทที่ ๔
เรื่องภิกษุมากรูป
[๓๗๔] โดยสมัยนั้น พระผู้มีพระภาคพุทธเจ้าประทับอยู่ ณ พระ
เชตวัน อารามของอนาถบิณฑิกคหบดี เขตพระนครสาวัตถี ครั้งนั้น เป็น
ฤดูหนาว ภิกษุทั้งหลายจัดตั้งเสนาสนะในที่กลางแจ้ง ผิงกายอยู่ ครั้นเขาบอก
ภัตกาล เมื่อจะหลีกไป ไม่เก็บเอง ไม่ให้คนอื่นเก็บ ซึ่งเสนาสนะนั้น
ไม่บอกมอบหมายแล้วหลีกไป เสนาสนะถูกน้ำค้างและฝนตกชะ บรรดาภิกษุ
ที่มักน้อย... ต่างก็เพ่งโทษติเตียนโพนทะนาว่า ไฉนภิกษุทั้งหลายจัดตั้ง
เสนาสนะในที่แจ้งแล้ว เมื่อจะหลีกไป จึงได้ไม่เก็บเอง ไม่ให้คนอื่นเก็บ ซึ่ง
เสนาสนะนั้น ไม่บอกมอบหมาย แล้วหลีกไป เสนาสนะถูกน้ำค้างและฝนตกชะ
แล้วกราบทูลเนื้อความนั้นแด่พระผู้มีพระภาคเจ้า
ทรงสอบถาม
พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงสอบถามภิกษุทั้งหลายว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย
ข่าวว่าภิกษุทั้งหลายจัดตั้งเสนาสนะในที่แจ้งแล้ว เมื่อจะหลีกไป ไม่เก็บเอง
ไม่ให้คนอื่นเก็บ ซึ่งเสนาสนะนั้น ไม่บอกมอบหมาย แล้วหลีกไป เสนาสนะ
ถูกน้ำค้างและฝนตกชะ จริงหรือ.
ภิกษุ ทั้งหลายทูลรับว่า จริง พระพุทธเจ้าข้า.
ทรงติเตียนแล้วบัญญัติสิกขาบท
พระผู้มีพระภาคพุทธเจ้าทรงติเตียนว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ไฉน
โมฆบุรุษเหล่านั้น จัดตั้งเสนาสนะในที่แจ้งแล้ว เมื่อจะหลีกไป จึงได้ไม่

303
หมวด/เล่ม
พระวินัยปิฎก มหาวิภังค์ เล่ม ๒ – หน้าที่ 304 (เล่ม 4)

เก็บเอง ไม่ให้คนอื่นเก็บ ซึ่งเสนาสนะนั้น ไม่บอกมอบหมายแล้วหลีกไปเล่า
เสนาสนะถูกน้ำค้างและฝนตกชะ การกระทำของพวกโมฆบุรุษนั้นนั่น ไม่เป็น
ไปเพื่อความเลื่อมใสของชุมชนที่ยังไม่เลื่อมใส หรือเพื่อความเลื่อมใสยิ่งของ
ชุมชนที่เลื่อมใสแล้ว . . .
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ก็แลพวกเธอพึงยกสิกขาบทนี้ขึ้นแสดงอย่างนั้น
ว่าดังนี้:-
พระบัญญัติ
๖๓.๔ อนึ่ง ภิกษุใดวางไว้แล้วก็ดี ให้วางไว้แล้วก็ดี ซึ่ง
เตียงก็ดี ตั่งก็ดี ฟูกก็ดี เก้าอี้ก็ดี อันเป็นของสงฆ์ในที่แจ้ง เมื่อ
หลีกไป ไม่เก็บเองก็ดี ไม่ให้เก็บก็ดี ซึ่งเสนาสนะที่วางไว้นั้น
หรือไม่บอกมอบหมาย ไปเสีย เป็นปาจิตตีย์.
ก็สิกขาบทนี้ ย่อมเป็นอันพระผู้มีพระภาคเจ้าทรงบัญญัติแล้วแก่ภิกษุ
ทั้งหลาย ด้วยประการฉะนี้.
เรื่องภิกษุมากรูป จบ
พระพุทธานุญาตให้เก็บเสนาสนะ
[๓๗๕] ก็สมัยนั้น ภิกษุทั้งหลายอยู่ในที่แจ้ง รีบเก็บเสนาสนะก่อน
กาลอันสมควร พระผู้มีพระภาคเจ้าได้ทอดพระเนตรเห็นภิกษุเหล่านั้น ผู้รีบเก็บ
เสนาสนะก่อนกาลอันสมควร ครั้นแล้วจึงทรงทำธรรมีกถาในเพราะเหตุเป็น
เค้ามูลนั้น ในเพราะเหตุแรกเกิดนั้น แล้วรับสั่งกะภิกษุทั้งหลายว่า
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เราอนุญาตให้เก็บเสนาสนะไว้ในปะรำ
หรือที่โคนไม้ หรือในที่ซึ่งนกกา หรือนกเหยี่ยวจะไม่ถ่ายมูลรดได้
ตลอด ๘ เดือน ซึ่งกำหนดว่ามิใช่ฤดูฝน.

304
หมวด/เล่ม
พระวินัยปิฎก มหาวิภังค์ เล่ม ๒ – หน้าที่ 305 (เล่ม 4)

สิกขาบทวิภังค์
[๓๗๖] บทว่า อนึ่ง . . .ใด ความว่า ผู้ใด คือ ผู้เช่นใด. . .
บทว่า ภิกษุ ความว่า ที่ชื่อว่า ภิกษุ เพราะอรรถว่าเป็นผู้ขอ. . .
นี้ชื่อว่า ภิกษุ ที่ประสงค์ในอรรถนี้.
ที่ชื่อว่า อันเป็นของสงฆ์ ได้แก่ ของที่เขาถวายแล้ว สละแล้ว
แก่สงฆ์
ที่ชื่อว่า เตียง ได้แก่ เตียง ๔ ชนิด คือ เตียงมีแม่แคร่สอดเข้าใน
ขา ๑ เตียงมีแคร่เนื่องเป็นอันเดียวกันกับขา ๑ เตียงมีขาดังก้ามปู ๑ เตียงมีขา
จรดแม่แคร่ ๑
ที่ชื่อว่า ตั่ง ได้แก่ ตั่ง ๔ ชนิด คือ ตั่งมีแม่แคร่สอดเข้าในขา ๑
ตั้งมีแม่แคร่เนื่องเป็นอันเดียวกัน กับขา ๑ ตั่งมีขาดังก้ามปู ๑ ตั่งมีขาจรดแม่
แคร่ ๑
ที่ชื่อว่า ฟูก ได้แก่ ฟูก ๕ ชนิด คือ ฟูกขนสัตว์ ๑ ฟูกเปลือกไม้ ๑
ฟูกเศษผ้า ๑ ฟูกหญ้า ๑ ฟูกใบไม้ ๑
ที่ชื่อว่า เก้าอี้ ได้แก่ เก้าอี้ที่เขาถักร่วมใน สำเร็จด้วยเปลือกไม้ก็มี
สำเร็จด้วยหญ้าคมแฝกก็มี สำเร็จด้วยหญ้ามุงกระต่ายก็มี สำเร็จด้วยหญ้าปล้อง
ก็มี.
บทว่า วางไว้แล้ว คือ วางไว้เอง.
บทว่า ให้วางไว้แล้ว คือ ให้คนอื่นวางไว้
ใช้อนุปสัมบันให้วาง เป็นธุระของอนุปสัมบันผู้วาง
ใช้อุปสัมบันให้วาง เป็นธุระของอุปสัมบันผู้วาง.

305
หมวด/เล่ม
พระวินัยปิฎก มหาวิภังค์ เล่ม ๒ – หน้าที่ 306 (เล่ม 4)

คำว่า เมื่อหลีกไป ไม่เก็บเอง ซึ่งเสนาสนะที่วางไว้นั้น คือ
ไม่เก็บด้วยตนเอง
คำว่า ไม่ให้เก็บ คือ ไม่ให้คนอื่นเก็บ
คำว่า หรือไม่บอกมอบหมาย ไปเสีย ความว่า ภิกษุไม่บอกมอบ
หมายภิกษุ สามเณร หรือคนทำการวัด แล้วเดินล่วงเลฑฑุบาตของมัชฌิม
บุรุษไป ต้องอาบัติปาจิตตีย์.
บทภาชนีย์
ติกปาจิตตีย์
[๓๗๗] เสนาสนะของสงฆ์ ภิกษุสำคัญว่าของสงฆ์ วางไว้เองก็ดี
ให้คนอื่นวางไว้ก็ดี ในที่แจ้ง เมื่อหลีกไป ไม่เก็บเองก็ดี ไม่ให้คนอื่นเก็บก็ดี
ซึ่งเสนาสนะนั้น หรือไม่ได้บอกมอบหมายไปเสีย ต้องอาบัติปาจิตตีย์.
เสนาสนะของสงฆ์ ภิกษุสงสัย วางไว้เองก็ดี ให้คนอื่นวางไว้ก็ดี
ในที่แจ้ง เมื่อหลีกไป ไม่เก็บเองก็ดี ไม่ให้คนอื่นเก็บก็ดี ซึ่งเสนาสนะนั้น
หรือไม่ได้บอกมอบหมาย ไปเสีย ต้องอาบัติปาจิตตีย์.
เสนาสนะของสงฆ์ ภิกษุสำคัญว่าของบุคคล วางไว้เองก็ดี ให้คนอื่น
วางไว้ก็ดี ในที่แจ้ง เมื่อหลีกไป ไม่เก็บเองก็ดี ไม่ให้คนอื่นเก็บก็ดี ซึ่ง
เสนาสนะนั้น หรือไม่ได้บอกมอบหมาย ไปเสีย ต้องอาบัติปาจิตตีย์.
ภิกษุวางไว้เองก็ดี ให้คนอื่นวางไว้ก็ดี ซึ่งเครื่องลาดรักษาผิวฟื้นก็ดี
เครื่องลาดเตียงก็ดี เครื่องลาดฟื้นก็ดี เสื่ออ่อนก็ดี ท่อนหนังก็ดี เครื่อง-
เช็ดเท้าก็ดี ตั่งกระดานก็ดี ในที่แจ้ง เมื่อหลีกไป ไม่เก็บเองก็ดี ไม่ให้

306
หมวด/เล่ม
พระวินัยปิฎก มหาวิภังค์ เล่ม ๒ – หน้าที่ 307 (เล่ม 4)

คนอื่นเก็บก็ดี ซึ่งเครื่องลาดรักษาผิวฟื้นเป็นต้นนั้น หรือไม่ได้บอกมอบหมาย
ไปเสีย ต้องอาบัติทุกกฏ.
ติกทุกกฏ
เสนาสนะของบุคคล ภิกษุสำคัญว่าของสงฆ์ . ..ต้องอาบัติทุกกฏ.
เสนาสนะของบุคคล ภิกษุสงสัย . . . ต้องอาบัติ ทุกกฏ.
เสนาสนะของบุคคล ภิกษุสำคัญว่าของบุคคล . . .ต้องอาบัติทุกกฏ
เพราะเป็นของส่วนตัวของผู้อื่น.
เสนาสนะเป็นส่วนตัวของตน . . .ไม่ต้องอาบัติ.
อานาปัตติวาร
[๓๗๘] ภิกษุเก็บเองแล้วไป ๑ ภิกษุให้คนอื่นเก็บแล้วไป ๑ ภิกษุ
บอกมอบหมายแล้วไป ๑ ภิกษุเอาออกผึ่งแดดไว้ ไปด้วยตั้งใจจักกลับมาเก็บ ๑
เกิดเหตุฉุกเฉินขึ้น ๑ ภิกษุมีอันตราย ๑ ภิกษุวิกลจริต ๑ ภิกษุอาทิกัมมิกะ ๑
ไม่ต้องอาบัติแล.
ภูตคามวรรค สิกขาบทที่ ๔ จบ

307
หมวด/เล่ม
พระวินัยปิฎก มหาวิภังค์ เล่ม ๒ – หน้าที่ 308 (เล่ม 4)

เสนาสนวรรค ปฐมเสนาสนสิกขาบทที่ ๔
พึงทราบวินิจฉัย ในสิกขาบทที่ ๔ ดังต่อไปนี้
[แก้อรรถปฐมบัญญัติ เรื่องภิกษุหลายรูป]
สองบทว่า เหมนฺติเก กาเล ได้แก่ ในฤดูเหมันต์ คือ ในคราว
หิมะตก.
สองบทว่า กายํ โอตาเปนฺตา ได้แก่ นั่งบนเตียงและตั่งเป็นต้น
แล้ว ผิงกายด้วยแดดอ่อนอยู่.
สองบทว่า กาเล อาโรเจติ ได้แก่ เมื่อเขาบอกเวลาแห่งอาหาร
อย่างใดอย่างหนึ่ง มียาคูและภัตเป็นต้น .
สองบทว่า โอวุฏฐํ โหติ ได้แก่ ถูกฝนหิมะตกชะเปียก.
บทว่า อวสฺสิกสงฺเกเต มีความว่า ตลอด ๘ เดือน คือ ๔ เดือน
ในฤดูเหมันต์ ๔ เดือนในฤดูคิมหันต์ ที่มิได้บัญญัติอย่างนี้ว่า เดือนทั้งหลาย
แห่งฤดูฝน.
บทว่า มณฺฑเป ได้แก่ ในปะรำทำด้วยกิ่งไม้ หรือในปะรำทำด้วย
ไม้เลียบ.
บทว่า รุกฺขมูเล วา ได้แก่ ภายใต้แห่งต้นไม้ต้นใดต้น หนึ่ง.
[ว่าด้วยสถานที่ควรเก็บเตียงตั่ง]
หลายบทว่า ยตฺถ กากา วา กุลลา วา น อูทหนฺติ มีความว่า
นกกาและนกตะกรุมเหล่านี้ หรือนกเหล่าอื่นทำรังอยู่ ด้วยการอยู่ประจำใน
ต้นไม้ใด จะไม่ถ่ายมูลรดเสนาสนะนั้น เราอนุญาตให้เก็บไว้ที่โคนไม้เช่นนั้น

308
หมวด/เล่ม
พระวินัยปิฎก มหาวิภังค์ เล่ม ๒ – หน้าที่ 309 (เล่ม 4)

เพราะเหตุอย่างนี้นั้น นกทั้งหลายเสาะแสวงหาเหยื่อ พักผ่อนที่ต้นไม้ใดแล้ว
บินไป จะเก็บไว้ที่โคนแห่งต้นนั้นก็ควร. แต่ว่า นกทั้งหลายทำรังอยู่ด้วยการ
อยู่เป็นประจำที่ต้นไม้ใด อย่าพึงเก็บไว้ที่โคนต้นไม้นั้น
เพราะพระบาลีว่า อฏฺฐ มาเส ดังนี้ ในชนบทเหล่าใด ฝนไม่ตก
ในฤดูฝน, แม้ในชนบทเหล่านั้น จะเก็บไว้ตลอด ๔ เดือน ก็ไม่ควรเหมือนกัน.
เพราะพระบาลีว่า อวสฺสิกสงฺเกเต ดังนี้ ในชนบทเหล่าใดฝนตก
ในฤดูเหมันต์ ในชนบทเหล่านั้น จะเก็บไว้ในที่แจ้ง แม้ในฤดูเหมันต์ ก็ไม่ควร.
ส่วนในฤดูคิมหันต์ ท้องฟ้าบริสุทธิ์ปราศจากเมฆในที่ทั่วไป ในเวลาเช่นนี้
จะเก็บเตียงและตั่งไว้ในที่แจ้ง ด้วยกรณีจำเป็นบางอย่าง ย่อมควร.
แม้ภิกษุผู้ถืออัพโภกาสิกธุดงค์ ก็ควรรู้วัตร. จริงอยู่ ถ้าเธอมีเตียง
ส่วนบุคคล ก็พึงนอนบนเตียงส่วนบุคคลนั่นแล เมื่อจะถือเอาเตียงของสงฆ์
พึงถือเอาเตียงที่ถักด้วยหวาย หรือด้วยปอ. เมื่อเดียงถักด้วยหวายหรือด้วยปอ
นั้นไม่มี พึงถือเอาเดียงเก่า. เมื่อเตียงเก่านั้นไม่มี พึงถือเอาเตียงที่ถักใหม่ ๆ
หรือที่บุด้วยหนัง ก็แล ครั้นถือเอาแล้ว คิดว่า เราจะถือรุกขมูลอย่างเคร่ง
ถืออัพโภกาสอย่างเคร่ง ดังนี้ แล้วไม่ทำแม้ซึ่งกุฎีจีวร (เพดานทำด้วยจีวร)
จัดตั้งเตียงตั่งนั้นในที่แจ้ง หรือที่โคนไม้ แล้วนอนในคราวที่มิใช่สมัย ย่อม
ไม่ควร. ก็ถ้าว่า ภิกษุไม่อาจเพื่อจะรักษากุฎีที่ทำด้วยจีวรแม้ทั้ง ๔ ชั้น ไม่ให้
เปียกได้ มีฝนตกพรำตลอด ๗ วัน, (จะจัดตั้งเตียงน้อยนอน) ก็ควร เพราะ
เตียงนอนเป็นไปตามร่างกายของภิกษุ.
พวกมนุษย์มีจิตเลื่อมใสในสีลสัมปทาของภิกษุทั้งหลายผู้อยู่ในกระท่อม
ใบไม้ในป่า จึงถวายเตียงและตั่งใหม่กล่าวว่า ขอท่านทั้งหลายจงใช้สอย โดย
ใช้สอยเป็นของสงฆ์. ภิกษุทั้งหลายผู้อยู่แล้วจะไป พึงส่งข่าว (ไปบอก) แก่

309
หมวด/เล่ม
พระวินัยปิฎก มหาวิภังค์ เล่ม ๒ – หน้าที่ 310 (เล่ม 4)

ภิกษุผู้ชอบพอกันในวิหารที่ใกล้เคียงแล้วจึงไป. เมื่อไม่มีพวกภิกษุผู้ชอบกัน
พึงเก็บไว้ในที่ที่ฝนจะไม่รั่วรดแล้วจึงไป. เมื่อไม่มีที่ที่ฝนไม่รั่วรด พึงแขวน
ไว้ที่ต้นไม้ แล้วจึงไป.
[ว่าด้วยสถานที่ควรเก็บไม้กวาดและวิธีกวาด]
ภิกษุถือเอาไม่กวาดที่ลานพระเจดีย์ไปกวาดลานหอฉันก็ดี ลานโรง-
อุโบสถก็ดี ที่แห่งใดแห่งหนึ่ง มีบริเวณที่พักกลางวัน และโรงไฟเป็นต้น
ล้าง เคาะ (ไม่กวาดนั้น) แล้ว พึงเก็บไม่กวาดไว้ในโรงนั่นแหละอีก. แม้
ภิกษุผู้ถือเอาไม้กวาด ในที่แห่งใดแห่งหนึ่งมีโรงอุโบสถเป็นต้น ไปกวาด
บริเวณที่เหลือ ก็นัยนี้นั่นแล. ส่วนภิกษุใดกวาดทางเที่ยวภิกขาจารประสงค์
จะไป (บิณฑบาต) เลย. ภิกษุนั้นกวาดแล้ว พึงเก็บไว้ที่ศาลาซึ่งถ้ามีอยู่ใน
ระหว่างทางนั้น. ถ้าศาลาไม่มี กำหนดว่าเมฆฝนยังไม่ตั้งเค้าขึ้น รู้ว่า ฝนจัก
ยังไม่ตก จนกว่าเราจะออกมาจากบ้าน เก็บไว้ในที่แห่งใดแห่งหนึ่ง แล้วกลับมา
พึง (นำมา) เก็บไว้ในที่เดิมอีก
ในมหาปัจจรีท่านกล่าวว่า ถ้าภิกษุรู้อยู่ว่า ฝนจักตก วางไว้ในกลางแจ้ง
เป็นทุกกฏ ดังนี้. แต่ถ้าว่า ไม้กวาดเป็นของอันเขาเก็บไว้เพื่อประโยชน์สำหรับ
กวาดในที่นั้น ๆ นั่งเอง ภิกษุจะกวาดที่นั้น ๆ แล้ว เก็บไว้ในที่นั้น ๆ แล
สมควรอยู่. ภิกษุผู้จะกวาดโรงฉัน ควรรู้จักวัตร. วัตรในการกวาดโรงฉันนั้น
ดังนี้ พึงกวาดทรายตั้งแต่ท่ามกลางตะล่อมมาไว้ตรงหน้าที่เท้ายืน. พึงเอา
มือทั้งสองกอบหยากเยื่อออกไปทิ้งข้างนอก.
[ว่าด้วยลักษณะเตียงตั่งเป็นต้น ]
เตียงที่เขาทำเจาะที่เท้าเตียง สอดแม่แคร่ทั้งหลายเข้าไปในเท้าเตียงนั้น
ชื่อว่า มสารกะ (เตียงมีแม่แคร่สอดเข้าในขา).

310