No Favorites




หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย คาถาธรรมบท เล่ม ๑ ภาค ๒ ตอน ๔ – หน้าที่ 304 (เล่ม 43)

จึงกล่าวอย่างนั้นนั่นแล. บุตรเศรษฐีนั้นทราบความที่นางขับร้องปรารภ
ตน จึงถามว่า " หล่อนพูดหมายถึงฉันหรือ ?"
ภรรยา. จ้ะ ฉันพูดหมายถึงท่าน.
บุตรเศรษฐี. เมื่อเช่นนั้นฉันจักหนีละ.
นางกล่าวว่า " ก็จะประโยชน์อะไรของฉัน ด้วยท่านผู้หนีไปหรือ
มาแล้ว " ดังนี้แล้ว ก็ขับเพลงบทนั้นนั่นแลเรื่อยไป.
ได้ยินว่า นางอาศัยรูปสมบัติของตน และทรัพย์ซึ่งเป็นรายได้ จึง
มิได้เกรงใจบุตรเศรษฐีนั้น ในเรื่องอะไร ๆ.
บุตรเศรษฐีนั้น คิดอยู่ว่า "นางนี้ มีการถือตัวเช่นนี้ เพราะอาศัย
อะไรเล่าหนอ ?" ทราบว่า " เพราะอาศัยศิลปะ" จึงคิดว่า " ช่างเถิด,
เราก็จักเรียนศิลปะ " แล้วก็เข้าไปหาพ่อตา เรียนศิลปะอันเป็นความรู้ของ
พ่อตานั้น แสดงศิลปะ ในบ้านนิคมเป็นต้นอยู่ มาถึงกรุงราชคฤห์โดย
ลำดับ ให้ป่าวร้องว่า " ในวันที่ ๗ แต่วันนี้ บุตรเศรษฐีชื่ออุคคเสน
จักแสดงศิลปะแก่ชาวพระนคร."
อุคคเสนแสดงศิลปะ
ชาวพระนคร ให้ผูกเตียงซ้อนๆ กันเป็นต้นแล้ว ประชุมกันใน
วันที่ ๗.
ฝ่ายอุคคเสนนั้น ได้ขึ้นไปสู่ไม้แป้น (สูง) ๖๐ ศอก ยืนอยู่บนปลาย
ไม้แป้นนั้น.
ในวันนั้น พระศาสดาทรงตรวจดูสัตวโลก ในเวลาใกล้รุ่ง ทรง
เห็นอุคคเสนนั้น เข้าไปในข่ายคือพระญาณของพระองค์ จึงทรงใคร่-

304
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย คาถาธรรมบท เล่ม ๑ ภาค ๒ ตอน ๔ – หน้าที่ 305 (เล่ม 43)

ครวญอยู่ว่า " เหตุอะไรหนอ ? จักมี " ได้ทราบว่า " พรุ่งนี้บุตรเศรษฐี
จักยืนบนปลายไม้เป็น ด้วยหวังว่า " จักแสดงศิลปะ ' มหาชนจักประชุม
กันเพื่อดูเขา, เราจักแสดงคาถาประกอบด้วยบท ๔ ในสมาคมนั้น; การ
บรรลุธรรมจักมีแก่สัตว์ ๘๔,๐๐๐ เพราะฟังธรรมนั้น, แม้อุคคเสนก็จัก
ตั้งอยู่ในพระอรหัต."
ในวันรุ่งขึ้น พระองค์ทรงกำหนดเวลาแล้ว มีภิกษุสงฆ์แวดล้อม
เสด็จเข้าไปยังกรุงราชคฤห์ เพื่อบิณฑบาต. ฝ่ายอุคคเสน เมื่อพระศาสดา
ยังไม่ทันเสด็จเข้าไปภายในพระนครนั่นแล จึงให้สัญญาด้วยนิ้วมือแก่
มหาชน เพื่อต้องการให้เอิกเกริก ยืนบนปลาไม้แป้นหกคะเมนในอากาศ
นั่นเองสิ้น ๗ ครั้ง ลงมาแล้วได้ยืนบนปลายไม้เป็นอีก.
อุคคเสนแสดงศิลปะแก่พระมหาโมคคัลลานะ
ขณะนั้น พระศาสดากำลังเสด็จไปสู่พระนคร, ทรงกระทำโดย
อาการที่บริษัทไม่แลดูเขา, ให้ดูเฉพาะพระองค์เท่านั้น. อุคคเสนแลดู
บริษัทแล้ว ถึงความเสียใจว่า " บริษัทจะไม่แลดูเรา " จึงคิดว่า " ศิลปะ
นี้เราพึ่งแสดง (ประจำ) ปี, ก็เมื่อพระศาสดาเสด็จเข้าไปยังพระนคร
บริษัทไม่แลดูเรา แลดูแต่พระศาสดาเท่านั้น; การแสดงศิลปะของเรา
เปล่า (ประโยชน์) แล้วหนอ."
พระศาสดาทรงทราบความคิดของเขา จึงตรัสเรียกพระมหาโมค-
คัลลานะมาแล้ว ตรัสว่า "โมคคัลลานะ เธอจงไป, พูดกะบุตรเศรษฐีว่า
" นัยว่า ท่าน๑จงแสดงศิลปะ" พระเถระไปยืนอยู่ ณ ภายใต้ไม้แป้นนั่นแล
เรียกบุตรเศรษฐีมาแล้ว กล่าวคาถานี้ว่า:-
๑. คำว่า ' ท่าน ' ในที่นี้ เป็นปฐมบุรุษ.

305
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย คาถาธรรมบท เล่ม ๑ ภาค ๒ ตอน ๔ – หน้าที่ 306 (เล่ม 43)

" เชิญเถิด อุคคเสน บุตรคนฟ้อน ผู้มีกำลังมาก
เชิญท่านจงดู, เชิญท่านทำความยินดีแก่บริษัทเถิด,
เชิญท่านทำให้มหาชนร่าเริงเถิด."
เขาได้ยินถ้อยคำของพระเถระแล้ว เป็นผู้มีใจยินดี หวังว่า " พระ-
ศาสดามีพระประสงค์จะดูศิลปะของเรา " จึงยืนบนปลายไม้แป้นแล้วกล่าว
คาถานี้ว่า :-
" เชิญเถิด ท่านโมคคัลลานะ ผู้มีปัญญามาก มี
ฤทธิ์มาก เชิญท่านจงดู, กระผมจะทำความยินดีแก่
บริษัท, จะยังมหาชนให้ร่าเริง."
ก็แลครั้นกล่าวอย่างนั้นแล้ว ก็กระโดดจากปลายไม้แป้น ขึ้นสู่
อากาศ หกคะเมน ๑๔ ครั้งในอากาศแล้ว ลงมายืนอยู่บนปลายไม้แป้น
(ตามเดิม).
ลำดับนั้น พระศาสดาตรัสกะเขาว่า " อุคคเสน ธรรมดาบัณฑิต
ต้องละความอาลัยรักใคร่ในขันธ์ทั้งหลาย ทั้งที่เป็นอดีต อนาคต และ
ปัจจุบันเสียแล้ว พ้นจากทุกข์ทั้งหลายมีชาติเป็นต้นจึงควร ดังนี้แล้ว ตรัส
พระคาถานี้ว่า:-
๖. มุญฺจ ปุเร มุญฺจ ปจฺฉโต
มชฺเฌ มุญฺจ ภวสฺส ปารคู
สพฺพตฺถ วิมุตฺตมานโส
น ปุน ชาติชรํ อุเปหิสิ.
" ท่านจงเปลื้อง (อาลัย) ในก่อนเสีย จงเปลื้อง

306
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย คาถาธรรมบท เล่ม ๑ ภาค ๒ ตอน ๔ – หน้าที่ 307 (เล่ม 43)

(อาลัย) ข้างหลังเสีย, จงเปลื้อง (อาลัย) ในท่าม-
กลางเสีย, จึงเป็นผู้ถึงฝั่งแห่งภพ มีใจหลุดพ้นใน
ธรรมทั้งปวง จะไม่เข้าถึงชาติและชราอีก."
แก้อรรถ
บรรดาบทเหล่านั้น สองบทว่า มุญฺจ ปุเร ความว่า จงเปลื้อง
อาลัย คือความยินดี หมกมุ่น ปรารถนา ขลุกขลุ่ย ความถือ ลูบคลำ
ความอยาก ในขันธ์ทั้งหลายที่เป็นอดีตเสีย.
บทว่า ปจฺฉโต ความว่า จงเปลื้องอาลัยเป็นต้น ในขันธ์ทั้งหลาย
ที่เป็นอนาคตเสีย.
บทว่า มชฺเฌ ความว่า จงเปลื้องอาลัยเหล่านั้น ในขันธ์ทั้งหลาย
แม้ที่เป็นปัจจุบันเสีย.
สองบทว่า ภวสฺส ปารคู ความว่า เมื่อปฏิบัติได้อย่างนั้น จักเป็น
ผู้ถึงฝั่ง คือไปแล้วสู่ฝั่งแห่งภพแม้ทั้ง ๓ อย่างได้ ด้วยอำนาจแห่งอัน
กำหนดรู้ ละ เจริญ และทำให้แจ้งด้วยปัญญาอันยิ่ง มีใจพ้นแล้วใน
สังขตธรรมทั้งปวง ต่างด้วยขันธ์ ธาตุ อายตนะ เป็นต้นอยู่ ต่อไปไม่
ต้องเข้าถึงชาติ ชรา และมรณะ.
ในกาลจบเทศนา การตรัสรู้ธรรมได้มีแก่สัตว์ทั้ง ๘๔,๐๐๐ แล้ว.
อุคคเสนทูลขอบรรพชาอุปสมบท
ฝ่ายบุตรเศรษฐี กำลังยืนอยู่บนปลายไม้แป้น บรรลุพระอรหัต
พร้อมด้วยปฏิสัมภิทาแล้ว ลงจากไม้แป้นมาสู่ที่ใกล้พระศาสดา ถวาย
บังคมด้วยเบญจางคประดิษฐ์ ทูลขอบรรพชากะพระศาสดา. ลำดับนั้น

307
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย คาถาธรรมบท เล่ม ๑ ภาค ๒ ตอน ๔ – หน้าที่ 308 (เล่ม 43)

พระศาสดาทรงเหยียดพระหัตถ์เบื้องขวาตรัสกะนายอุคคเสนนั้นว่า " ท่าน
จงเป็นภิกษุมาเถิด." อุคคเสนนั้นได้เป็นผู้ทรงไว้ซึ่งบริขาร ๘ ประหนึ่ง
พระเถระมีพรรษาตั้ง ๖๐ ในขณะนั้นนั่นเอง.
ต่อมา พวกภิกษุถามท่านว่า " คุณอุคคเสน เมื่อคุณลงจากปลาย
ไม้แป้น (สูง) ตั้ง ๖๐ ศอก ขึ้นชื่อว่าความกลัว ไม่ได้มีหรือ ? " เมื่อ
ท่านตอบว่า " คุณ ความกลัวย่อมไม่มีแก่ผมเลน," จึงกราบทูลแด่พระ-
ศาสดาว่า " พระเจ้าข้า พระอุคคเสนพูดอยู่ว่า ' ผมไม่กลัว ' เธอพูดไม่
จริง ย่อมอวดคุณวิเศษ" พระศาสดาตรัสว่า " ภิกษุทั้งหลาย พวกภิกษุ
ผู้มีสังโยชน์อันตัดได้แล้ว เช่นกับอุคคเสนผู้บุตรของเรา หากลัว หา
พรั่นพรึงไม่" ดังนี้แล้วตรัสพระคาถานี้ในพราหมณวรรคว่า :-
" เรา กล่าวผู้ที่ตัดสังโยชน์ทั้งหมดได้ ไม่สะดุ้ง
ผู้ล่วงกิเลสเป็นเครื่องข้อง ไม่ประกอบด้วยโยคะ
กิเลสแล้วว่า เป็นพราหมณ์.
ในกาลจบเทศนา การบรรลุธรรมพิเศษ ได้มีแล้วแก่ชนเป็นอัน
มาก.
รุ่งขึ้นวันหนึ่ง พวกภิกษุสนทนากันในโรงธรรมว่า " ผู้มีอายุ
ทั้งหลาย เหตุคือการอาศัยลูกสาวนักฟ้อน เที่ยวไปกับด้วยนักฟ้อนของ
ภิกษุผู้ถึงพร้อมด้วยอุปนิสัยแห่งพระอรหัตอย่างนี้ เป็นอย่างไรหนอแล ?
เหตุแห่งอุปนิสัยพระอรหัตเป็นอย่างไร ?"

308
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย คาถาธรรมบท เล่ม ๑ ภาค ๒ ตอน ๔ – หน้าที่ 309 (เล่ม 43)

พระศาสดาตรัสบอกอุปนิสัยของพระอุคคเสน
พระศาสดาเสด็จมาแล้ว ตรัสถามว่า " ภิกษุทั้งหลาย บัดนี้พวกเธอ
นั่งประชุมกันด้วยเรื่องอะไร ?" เมื่อภิกษุเหล่านั้นกราบทูลว่า " ด้วยเรื่อง
ชื่อนี้ " ดังนี้แล้ว ตรัสว่า " ภิกษุทั้งหลาย เหตุแม้ทั้งสองนั่น อัน
อุคคเสนนี้ผู้เดียวทำไว้แล้ว " เมื่อจะทรงประกาศเนื้อความนั้น จึงทรง
ชักอดีตนิทานมา (ตรัส ) ว่า :-
" ดังได้สดับมา ในอดีตกาล เมื่อสุพรรณเจดีย์สำหรับพระกัสสป-
ทศพล อันเขากระทำอยู่ พวกกุลบุตรชาวพระนครพาราณสี บรรทุกของ
เคี้ยวของบริโภคเป็นอันมากในยานทั้งหลาย กำลังไปสู่เจดีย์สถาน ด้วย
ตั้งใจว่า " พวกเราจักทำหัตถกรรม" พวกพระเถระองค์หนึ่ง กำลังเข้าไป
เพื่อบิณฑบาตในระหว่างทางแล้ว . ลำดับนั้นนางกุลธิดาคนหนึ่ง แลเห็น
พระเถระแล้ว จึงกล่าวกะสามีว่า " นาย พระผู้เป็นเจ้าของเราเข้ามาอยู่
เพื่อบิณฑบาต, อนึ่ง ของเคี้ยวของบริโภคของเราในยาน มีเป็นอันมาก,
นายจงนำบาตรของท่านมา, เราทั้งสองจักถวายภิกษา." สามีน้ำบาตรมา
แล้ว. ภรรยายังบาตรนั้นให้เต็ม ด้วยของควรเคี้ยวของควรบริโภคแล้ว
ให้สามีวางลงในมือของพระเถระ แม้ทั้งสองคนทำความปรารถนาว่า "ท่าน
เจ้าข้า ดิฉันทั้งสองคนพึงมีส่วนแห่งธรรมอันท่านเห็นแล้วนั่นเทียว."
พระเถระแม้นั้น เป็นพระขีณาสพ, เพราะฉะนั้น เมื่อท่านเล็งดู ทราบ
ภาวะ คืออันจะสำเร็จความปรารถนาของเขาทั้งสองนั้นแล้ว ได้ทำการยิ้ม.
หญิงนั้นเห็นอาการนั้นเข้า จึงพูดกะสามีว่า " นาย พระคุณเจ้าของเรา
ย่อมทำอาการยิ้ม, ท่านจักเป็นเด็กนักฟ้อน." ผ่ายสามีของนางตอบว่า
" นางผู้เจริญ ก็จักเป็นอย่างนั้น" ดังนี้แล้ว หลีกไป. นี้เป็นบุรพกรรม
ของเขาทั้งสองนั้น.

309
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย คาถาธรรมบท เล่ม ๑ ภาค ๒ ตอน ๔ – หน้าที่ 310 (เล่ม 43)

สามีภรรยานั้น ดำรงอยู่ในอัตภาพนั้นชั่วอายุแล้ว ก็เกิดในเทวโลก
เคลื่อนจากที่นั้นแล้ว, หญิงนั้นเกิดในเรือนของคนนักฟ้อน, ชายเกิดใน
เรือนของเศรษฐี. พระอุคคเสนนั้น เพราะความที่ให้คำตอบแก่ภรรยา
นั้นว่า " จักเป็นอย่างนั้น นางผู้เจริญ" จึงต้องเที่ยวไปกับพวกนักฟ้อน,
อาศัยบิณฑบาตที่ถวายแล้วแก่พระเถรผู้ขีณาสพ จึงบรรลุพระอรหัตแล้ว,
ฝ่ายธิดาของนักฟ้อนนั้น คิดว่า " อันใดเป็นคติของสามีของเรา,
อันนั้นเอง ก็เป็นคติแม้ของเรา" ดังนี้แล้ว บรรพชาในสำนักของภิกษุณี
ทั้งหลายแล้ว ดำรงอยู่ในพระอรหัต ดังนี้แล.
เรื่องบุตรเศรษฐีชื่ออุคคเสน จบ.

310
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย คาถาธรรมบท เล่ม ๑ ภาค ๒ ตอน ๔ – หน้าที่ 311 (เล่ม 43)

๗. เรื่องจุฬธนุคคหบัณฑิต [๒๔๖]
ข้อความเบื้องต้น
พระศาสดา เมื่อประทับอยู่ในพระเชตวัน ทรงปรารภภิกษุหนุ่ม
รูปหนึ่ง ตรัสพระธรรมเทศนานี้ว่า " วิตกกฺมถิตสฺส " เป็นต้น.
ภิกษุหนุ่มรักใคร่หญิงรุ่นสาว
ดังได้สดับมา ภิกษุหนุ่มรูปหนึ่งจับสลากของตนในโรงสลาก ถือ
เอาข้าวต้มตามสลากไปสู่โรงฉัน ดื่มอยู่. ภิกษุนั้น ไม่ได้น้ำในโรงฉันนั้น
ได้ไปยืนยังเรือนหลังหนึ่ง เพื่อต้องการน้ำ, หญิงรุ่นสาวคนหนึ่งในเรือน
นั้น พอเห็นภิกษุนั้น ก็เกิดความสิเนหา กล่าวว่า " ท่านผู้เจริญ เมื่อมี
ความต้องการด้วยน้ำดื่ม ท่านพึงมาในเรือนนี้แหละ แม้อีก."
ตั้งแต่นั้น ภิกษุนั้นไม่ได้น้ำดื่มในกาลใด, ก็ไปเรือนนั้นนั่นแล
ในกาลนั้น.
ฝ่ายหญิงนั้น รับบาตรของเธอแล้ว ถวายน้ำดื่ม. เมื่อกาลล่วงไป
ด้วยอาการอย่างนั้น รุ่งขึ้นวันหนึ่ง นางถวายแม้ข้าวต้มแล้วนิมนต์ให้นั่ง
ในเรือนนั้นแล ได้ถวายข้าวสวยแล้ว. นางนั่ง ณ ที่ใกล้ภิกษุนั้นแล้ว
เอ่ยถ้อยคำขึ้นว่า " ท่านผู้เจริญ ในเรือนนี้ อะไร ๆ ชื่อว่า ย่อมไม่มี
หามีไม่, ดิฉันยังไม่ได้แต่คนจัดการเท่านั้น."
ภิกษุนั้น สดับถ้อยคำของหญิงนั้นแล้ว โดย ๒-๓ วันเท่านั้น
ก็กระสันแล้ว.
ภิกษุหนุ่มถูกนำตัวไปเฝ้าพระศาสดา
ต่อมาวันหนึ่ง พวกภิกษุอาคันตุกะพบภิกษุนั้น จึงถามว่า " ผู้มีอายุ
เหตุไร ? ท่านจึงเป็นผู้ผอมเหลืองหนักขึ้น," เมื่อภิกษุนั้นตอบว่า " ผู้มีอายุ

311
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย คาถาธรรมบท เล่ม ๑ ภาค ๒ ตอน ๔ – หน้าที่ 312 (เล่ม 43)

ผมเป็นผู้กระสัน," จึงนำไปสู่สำนักพระอาจารย์และอุปัชฌายะ. อาจารย์
และอุปัชฌาย์แม้เหล่านั้น ก็นำภิกษุนั้นไปสู่สำนักพระศาสดา กราบทูล
ความนั้นแล้ว.
พระศาสดาทรงแสดงบุรพกรรมของภิกษุหนุ่มนั้น
พระศาสดาตรัสถามว่า " ภิกษุ นัยว่า เธอเป็นผู้กระสันจริงหรือ ?"
เมื่อภิกษุนั้นทูลว่า " จริง " จึงตรัสว่า " ภิกษุ เหตุไร ? เธอบวชใน
ศาสนาของพระพุทธเจ้า ผู้ปรารภความเพียรเช่นดังเรา จึงไม่ให้เขาเรียก
ตนว่า ' พระโสดาบัน ' หรือ ' พระสกทาคามี ' กลับให้เขาเรียกว่า
' เป็นผู้กระสัน ' ได้, เธอทำกรรมหนักเสียแล้ว" จึงทรงซักถามว่า
" เพราะเหตุไร ? เธอจึงเป็นผู้กระสัน " เมื่อภิกษุนั้นทูลว่า " ข้าแต่
พระองค์ผู้เจริญ หญิงคนหนึ่ง พูดกะข้าพระองค์อย่างนี้," จึงตรัสว่า
" ภิกษุ กิริยาของนางนั่น ไม่น่าอัศจรรย์: เพราะในกาลก่อน นางละบัณฑิต
ผู้เลิศในชมพูทวีปทั้งสิ้นแล้ว ยังความสิเนหาในบุรุษคนหนึ่ง ซึ่งตนเห็น
ครู่เดียวนั้นให้เกิดขึ้น ทำบัณฑิตผู้เลิศนั้นให้ถึงความสิ้นชีวิต" อันภิกษุ
ทั้งหลายทูลอาราธนาเพื่อให้ทรงประกาศเรื่องนั้น จึงทรงทำให้แจ้งซึ่ง
ความที่จูฬธนุคคหบัณฑิต เรียนศิลปะในสำนักของอาจารย์ทิศาปาโมกข์
ในกรุงตักกสิลา พาธิดาผู้อันอาจารย์นั้นยินดีให้แล้ว ไปสู่กรุงพาราณสี
เมื่อตนฆ่าโจรตาย ๔๙ คน ด้วยลูกศร ๔๙ ลูก ที่ปากดงแห่งหนึ่ง, เมื่อ
ลูกศรหมดแล้ว จึงจับโจรผู้หัวหน้าฟาดให้ล้มลงที่พื้นดิน. กล่าวว่า " นาง
ผู้เจริญ หล่อนจงนำดาบมา," นาง (กลับ) ทำความสิเนหาในโจรซึ่งตน
เห็นในขณะนั้นแล้ว วางด้ามดาบไว้ในมือโจร ให้โจรฆ่าแล้วในกาลเป็น
จูฬธนุคคหบัณฑิต ในอดีตกาล และภาวะคือโจรพาหญิงนั้นไป พลางคิด

312
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย คาถาธรรมบท เล่ม ๑ ภาค ๒ ตอน ๔ – หน้าที่ 313 (เล่ม 43)

ว่า " หญิงนี้เห็นชายอื่นแล้ว จักให้เขาฆ่าเราบ้างเช่นเดียวกับสามีของตน,
เราจักต้องการอะไรด้วยหญิงนี้" เห็นแม่น้ำสายหนึ่ง จึงพักนางไว้ที่ฝั่งนี้
ถือเอาห่อภัณฑะของนางไป สั่งว่า " หล่อนจงรออยู่ ณ ที่นี้แหละ จนกว่า
ฉันนำห่อภัณฑะข้ามไป " ละนางไว้ ณ พี่นั้นนั่นเอง (หนี) ไปเสีย แล้ว
ตรัสจูฬธนุคคหชาดก๑นี้ในปัญจกนิบาต ให้พิสดารว่า:-
" พราหมณ์ ท่านถือเอาภัณฑะทั้งหมด ข้ามฝั่ง
ได้แล้ว, จงรีบกลับมารับฉัน ให้ข้ามไปในบัดนี้โดยเร็ว
บ้างนะ ผู้เจริญ."
" แม่นางงาม ยอมแลกฉัน ผู้มิใช่ผัว ไม่ได้
เชยชิด ด้วยผัวผู้เชยชิดมานาน, แม่นางงาม พึง
แลกชายอื่นแม้ด้วยฉัน, ฉันจักไปจากที่นี้ให้ไกล
ที่สุดที่จะไกลได้."
" ใครนี้ ทำการหัวเราะอยู่ที่กอตะไคร้น้ำ, ในที่นี้
การฟ้อนก็ดี การขับก็ดี การประโคมก็ดี ที่บุคคลจัด
ตั้งขึ้น มิได้มี, แม่นางงาม ผู้มีตะโพกอันผึ่งฝาย
ทำไมเล่า ? แม่จึงซิกซี้ในกาลเป็นที่ร้องไห้.๒"
" สุนัขจิ้งจอก ชาติชัมพุกะ ผู้โง่เขลา ทราม
ปัญญา เจ้ามีปัญญาน้อย, เจ้าเสื่อมจากปลาและชิ้น
(เนื้อ) แล้วก็ซบเซาอยู่ ดุจสัตว์กำพร้า."
๑. ขุ. ชา. ๒๗/ข้อ ๘๑๘. อรรถกถา. ๔/๑๕๐๖. ๒. โดยพยัญชนะ แปลว่า ในกาลใช่กาล
เป็นที่หัวเราะ.

313