No Favorites




หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก อังคุตรนิกาย ทสก-เอกาทสกนิบาต เล่ม ๕ – หน้าที่ 369 (เล่ม 38)

ทั้งหลาย พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงแสดงอุเทศโดยย่อว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย
สิ่งที่ไม่เป็นธรรมและสิ่งที่เป็นธรรมบุคคลควรทราบ... พึงปฏิบัติตามสิ่งที่
เป็นธรรม ตามสิ่งที่เป็นประโยชน์ ดังนี้ ไม่ทรงจำแนกอรรถโดยพิสดาร
เสด็จลุกจากอาสนะเข้าไปสู่พระวิหาร ใครหนอแล พึงจำแนกอรรถแห่ง
อุเทศอันพระผู้มีพระภาคเจ้าทรงแสดงแล้วโดยย่อ ไม่ทรงจำแนกอรรถ
โดยพิสดารนี้ โดยพิสดารได้ ดังนี้ ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ข้าพระองค์
เหล่านั้นแล ได้มีความเห็นร่วมกันว่า ท่านพระอานนท์นี้แล พระศาสดา
ทรงสรรเสริญแล้ว และเพื่อนสพรหมจารีทั้งหลายผู้เป็นวิญญูยกย่องแล้ว
ท่านพระอานนท์ย่อมสามารถเพื่อจำแนกอรรถแห่งอุเทศที่พระผู้มีพระภาค
เจ้าทรงแสดงโดยย่อ ไม่ทรงจำแนกอรรถโดยพิสดารนี้ โดยพิสดารได้
ไฉนหนอ เราทั้งหลายพึงเข้าไปหาท่านพระอานนท์ถึงที่อยู่ ครั้นแล้ว
พึงถามอรรถอันนั้นกะท่านพระอานนท์ ท่านพระอานนท์จักพยากรณ์แก่
เราทั้งหลายด้วยประการใด เราทั้งหลายจักทรงจำไว้ด้วยประการนั้น ดังนี้
ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ลำดับนั้นแล ข้าพระองค์ทั้งหลายได้เข้าไปหาท่าน
พระอานนท์ถึงที่อยู่ ครั้นแล้วได้ถามอรรถอันนั้นกะท่านพระอานนท์
ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ท่านพระอานนท์ได้จำแนกอรรถด้วยดีแก่ข้าพระองค์
เหล่านั้น ด้วยอาการเหล่านี้ ด้วยบทเหล่านี้ ด้วยพยัญชนะเหล่านี้แล
พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ดีแล้ว ๆ ดูก่อนภิกษุ
ทั้งหลาย อานนท์เป็นบัณฑิต อานนท์เป็นผู้มีปัญญามาก แม้หากว่าเธอ
ทั้งหลายพึงเข้ามาหาเราแล้วถามอรรถอันนั้น แม้เราเองก็พึงพยากรณ์
อรรถนั้นเหมือนอย่างที่อานนท์พยากรณ์แล้วนั่นแหละ นั่นเป็นอรรถของ
อุเทศนั้น และเธอทั้งหลายพึงทรงจำอรรถนั้นไว้อย่างนั้นเถิด.
จบตติยอธรรมสูตรที่ ๓

369
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก อังคุตรนิกาย ทสก-เอกาทสกนิบาต เล่ม ๕ – หน้าที่ 370 (เล่ม 38)

อรรถกถาตติยอธรรมสูตรที่ ๓
ตติยอธรรมสูตรที่ ๓ พึงทราบวินิจฉัยดังต่อไปนี้.
บทว่า อุทฺเทสํ อุทฺทิสิตฺวา ได้แก่ ตั้งบทมาติกา. บทว่า สติถุ
เจวํ สํรณฺณิโต ความว่า ท่านพระอานนท์ อันพระศาสดาผู้ทรงสถาปนา
ไว้ในตำแหน่งเอตทัคคะ ในฐานะ ๕ ประการ ทรงสรรเสริญแล้ว . บทว่า
สมฺภาวิโต ความว่า อันเหล่าเพื่อนสพรหมจารีผู้รู้ยกย่องแล้ว ด้วยการ
ยกย่องโดยคุณ. บทว่า ปโหติ แปลว่า ย่อมสามารถ.
บทว่า อติสิตฺวา แปลว่า ล่วงเลย. บทว่า ชานํ ชานาติ
แปลว่า ทรงรู้ข้อที่ควรรู้. บทว่า ปสฺสํ ปสฺสติ แปลว่า ทรงเห็นข้อ
ที่ควรเห็น. บทว่า จกฺขุภูโต ได้แก่ทรงเหมือนมีจักษุบังเกิดแล้ว. บทว่า
ญาณภูโต ได้แก่ทรงมีความรู้เป็นสภาพ. บทว่า ธมฺนภูโต ได้แก่ทรงมี-
ธรรมเป็นสภาพ. บทว่า พฺรหฺมภูโต ได้แก่ ทรงเป็นผู้ประเสริฐสุดเป็น
สภาพ. บทว่า วตฺตา ได้แก่ ทรงสามารถดำเนินการเอง. บทว่า ปวตฺตา
ได้แก่ ทรงใช้ให้ผู้อื่นดำเนินการ. บทว่า อตฺถสฺส นิพฺเพตา ได้แก่
ทรงชักข้อความมาแสดง. บทว่า ยถา โน ภควา แปลว่า พระผู้มี-
พระภาคเจ้าพึงทรงพยากรณ์แก่พวกเราโดยประการใด.
จบอรรถกถาตติยอธรรมสูตรที่ ๓
๔. อาชินสูตร
ว่าด้วยอาชินปริพาชก
[๑๑๖] ครั้งนั้นแล ปริพาชกชื่อว่า อาชินะ เข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระ-
ภาคเจ้าถึงที่ประทับ ได้ปราศรัยกับพระผู้มีพระภาคเจ้า ครั้นผ่านการ

370
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก อังคุตรนิกาย ทสก-เอกาทสกนิบาต เล่ม ๕ – หน้าที่ 371 (เล่ม 38)

ปราศรัยพอให้ระลึกถึงกันไปแล้ว นั่ง ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง ครั้นแล้ว
ได้กราบทูลพระผู้มีพระภาคเจ้าว่า ข้าแต่พระโคดมผู้เจริญ เพื่อนพรหม-
จรรย์ของข้าพเจ้าทั้งหลายชื่อว่าบัณฑิต เพราะคิดจิตตุปบาทได้ ๕๐๐ ดวง
ซึ่งเป็นเครื่องชักถามอัญญเดียรถีย์ทั้งหลาย อัญญเดียรถีย์ทั้งหลายเป็นผู้ถูก
ข่มขี่แล้ว รู้ตัวว่าถูกข่มขี่.
ลำดับนั้นแล พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสกะภิกษุทั้งหลายว่า ดูก่อน
ภิกษุทั้งหลาย เธอทั้งหลายทรงจำเหตุแห่งความเป็นบัณฑิตได้หรือไม่
ภิกษุทั้งหลายกราบทูลว่า ข้าแด่พระผู้มีพระภาคเจ้า กาลนี้เป็นกาลควร
ข้าแต่พระสุคต กาลนี้เป็นกาลควรที่พระผู้มีพระภาคเจ้าพึงทรงภาษิต ภิกษุ
ทั้งหลายได้ฟังพระดำรัสของพระผู้มีพระภาคเจ้าแล้วจักทรงจำไว้ พระผู้-
มีพระภาคเจ้าตรัสว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ถ้าเช่นนั้น เธอทั้งหลายจงฟัง
จงใส่ใจให้ดี เราจักกล่าว ภิกษุเหล่านั้นทูลรับพระผู้มีพระภาคเจ้าแล้ว
พระผู้มีพระภาคเจ้าได้ตรัสว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย บุคคลบางคนในโลกนี้
ย่อมข่มขี่บีบคั้นวาทะอันไม่เป็นธรรมด้วยวาทะอันไม่เป็นธรรม และย่อม
ยังบริษัทผู้ไม่ประกอบด้วยธรรม ให้ยินดีด้วยวาทะอันไม่เป็นธรรม บริษัท
ผู้ไม่ประกอบด้วยธรรมนั้น ย่อมสรรเสริญเสียงเอ็ดอึงเพราะวาทะอันไม่
เป็นธรรมนั้นว่า ดูก่อนท่านผู้เจริญ ท่านผู้นี้เป็นบิณฑิตหนอ ดูก่อน
ท่านผู้เจริญ ท่านผู้นี้เป็นบัณฑิตหนอ.
อนึ่ง บุคคลบางคนในโลกนี้ ย่อมข่มขี่บีบคั้นวาทะที่เป็นธรรมด้วย
วาทะที่ไม่เป็นธรรม และย่อมยังบริษัทผู้ไม่ประกอบด้วยธรรม ให้ยินดี
ด้วยวาทะที่ไม่เป็นธรรม บริษัทผู้ไม่ประกอบด้วยธรรมนั้น ย่อมสรรเสริญ

371
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก อังคุตรนิกาย ทสก-เอกาทสกนิบาต เล่ม ๕ – หน้าที่ 372 (เล่ม 38)

เสียงเอ็ดอึงเพราะวาทะอันไม่เป็นธรรมนั้นว่า ดูก่อนท่านผู้เจริญ ท่านผู้นี้
เป็นบัณฑิตหนอ ดูก่อนท่านผู้เจริญ ท่านผู้เป็นบัณฑิตหนอ.
อนึ่ง บุคคลบางคนในโลกนี้ ย่อมข่มขี่บีบคั้นวาทะที่เป็นธรรมและ
วาทะที่ไม่เป็นธรรมด้วยวาทะที่ไม่เป็นธรรม และย่อมยังบริษัทผู้ไม่ประ-
กอบด้วยธรรมให้ยินดีด้วยวาทะไม่เป็นธรรม บริษัทผู้ไม่ประกอบด้วย
ธรรมนั้น ย่อมสรรเสริญเสียงเอ็ดอึงเพราะวาทะอันไม่เป็นธรรมนั้นว่า
ดูก่อนท่านผู้เจริญ ท่านผู้นี้เป็นบัณฑิตหนอ ดูก่อนท่านผู้เจริญ ท่านผู้นี้
เป็นบัณฑิตหนอ.
อนึ่ง บุคคลบางคนในโลกนี้ ย่อมข่มขี่บีบคั้นวาทะที่ไม่เป็นธรรม
ด้วยวาทะที่เป็นธรรม และย่อมยังบริษัทผู้ไม่ประกอบด้วยธรรมให้ยินดี
ด้วยวาทะที่เป็นธรรม บริษัทผู้ไม่ประกอบด้วยธรรมนั้น ย่อมสรรเสริญ
เสียงเอ็ดอึงเพราะวาทะอันเป็นธรรมนั้นว่า ดูก่อนท่านผู้เจริญ ท่านผู้นี้
เป็นบัณฑิตหนอ ดูก่อนท่านผู้เจริญ ท่านผู้นี้เป็นบัณฑิตหนอ.
อนึ่ง บุคคลบางคนในโลกนี้ ย่อมข่มขี่บีบคั้นวาทะที่เป็นธรรมด้วย
วาทะที่เป็นธรรม และย่อมยังบริษัทผู้ประกอบด้วยธรรมให้ยินดีด้วยวาทะ
ที่เป็นธรรม บริษัทผู้ประกอบด้วย ธรรมนั้น ย่อมสรรเสริญเสียงเอ็ดอึง
เพราะวาทะที่เป็นธรรมนั้นว่า ดูก่อนท่านผู้เจริญ ท่านผู้นี้เป็นบัณฑิตหนอ
ดูก่อนท่านผู้เจริญ ท่านผู้นี้เป็นบัณฑิตหนอ.
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย สิ่งที่ไม่เป็นธรรมและสิ่งที่เป็นธรรมบุคคลควร
ทราบ สิ่งที่ไม่เป็นประโยชน์และสิ่งที่เป็นประโยชน์บุคคลควรทราบ ครั้น
ทรามสิ่งที่ไม่เป็นธรรมและสิ่งที่เป็นธรรม สิ่งที่ไม่เป็นประโยชน์และสิ่งที่

372
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก อังคุตรนิกาย ทสก-เอกาทสกนิบาต เล่ม ๕ – หน้าที่ 373 (เล่ม 38)

เป็นประโยชน์แล้ว พึงปฏิบัติตามสิ่งที่เป็นธรรม ตามสิ่งที่เป็นประโยชน์
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย สิ่งที่ไม่เป็นธรรมเป็นไฉน สิ่งที่ไม่เป็นธรรมเป็นไฉน
สิ่งที่ไม่เป็นประโยชน์เป็นไฉน สิ่งที่เป็นประโยชน์เป็นไฉน
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ความเห็นผิดเป็นสิ่งที่ไม่เป็นธรรม ความเห็น
ชอบเป็นสิ่งที่เป็นธรรม อกุศลธรรมอันลามกมิใช่น้อย ที่เกิดขึ้นเพราะ
ความเห็นผิดเป็นปัจจัย เป็นสิ่งที่ไม่เป็นประโยชน์ ส่วนกุศลธรรมมิใช่
น้อย ย่อมถึงความเจริญบริบูรณ์ เพราะความเห็นชอบเป็นปัจจัย เป็นสิ่ง
ที่เป็นประโยชน์.
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ความดำริผิดเป็นสิ่งที่ไม่เป็นธรรม ความดำริ
ชอบ เป็นสิ่งที่เป็นธรรม ...
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย การเจรจาผิดเป็นสิ่งที่ไม่เป็นธรรม การเจรจา
ชอบเป็นสิ่งที่เป็นธรรม ...
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย การงานผิดเป็นสิ่งที่ไม่เป็นธรรม การงานชอบ
เป็นสิ่งที่เป็นธรรม ...
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย การเลี้ยงชีพผิดเป็นสิ่งที่ไม่เป็นธรรม การ
เลี้ยงชีพชอบ เป็นสิ่งที่เป็นธรรม ...
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ความพยายามผิดเป็นสิ่งที่ไม่เป็นธรรม ความ
พยายามชอบเป็นสิ่งที่เป็นธรรม...
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ความระลึกผิดเป็นสิ่งที่ไม่เป็นธรรม ความ
ระลึกชอบเป็นสิ่งที่เป็นธรรม ...

373
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก อังคุตรนิกาย ทสก-เอกาทสกนิบาต เล่ม ๕ – หน้าที่ 374 (เล่ม 38)

ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ความตั้งใจผิดเป็นสิ่งที่ไม่เป็นธรรม ความ
ตั้งใจชอบเป็นสิ่งที่เป็นธรรม...
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ความรู้ผิดเป็นสิ่งที่ไม่เป็นธรรม ความรู้ชอบ
เป็นสิ่งที่เป็นธรรม...
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ความหลุดพ้นผิดเป็นสิ่งที่ไม่เป็นธรรม ความ
หลุดพ้นชอบเป็นสิ่งที่เป็นธรรม อกุศลธรรมอันลามกมิใช่น้อย ที่เกิดขึ้น
เพราะความหลุดพ้นผิดเป็นปัจจัย เป็นสิ่งที่ไม่เป็นประโยชน์ส่วนกุศลธรรม
มิใช่น้อย ย่อมถึงความเจริญบริบูรณ์ เพราะความหลุดพ้นชอบเป็นปัจจัย
เป็นสิ่งที่เป็นประโยชน์ ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย สิ่งที่ไม่เป็นธรรมและสิ่งที่เป็น
ธรรมบุคคลควรทราบ สิ่งที่ไม่เป็นประโยชน์และสิ่งที่เป็นประโยชน์
บุคคลก็ควรทราบ ครั้นทราบสิ่งที่ไม่เป็นธรรมและสิ่งที่เป็นธรรม สิ่งที่
ไม่เป็นประโยชน์และสิ่งที่เป็นประโยชน์แล้ว พึงปฏิบัติตามสิ่งที่เป็นธรรม
ตามสิ่งที่เป็นประโยชน์ คำที่เรากล่าวดังนี้นั้น เรากล่าวแล้วเพราะอาศัย
เหตุนี้.
จบอาชินสูตรที่ ๔
อรรถกถาอาชินสูตรที่ ๔
อาชินสูตรที่ ๔ พึงทราบวินิจฉัยดังต่อไปนี้.
บทว่า อาชิโน ได้แก่ ปริพาชก มีชื่ออย่างนี้. บทว่า จิตฺตฏฺฐาน-
สตานิ ได้แก่จิตตุปบาท ๑๐๐ ดวง. บทว่า เยหิ แปลว่า ความประกอบ-
อยู่ด้วยจิตตุปบาท ๑๐๐ ดวงเหล่าใด. บทว่า อุปารทฺธาว ชานนฺติ
อุปารทฺธสฺมา ความว่า อัญญเดียรถีย์ ผู้พลาดแล้ว ถือเอาผิดแล้ว ย่อม

374
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก อังคุตรนิกาย ทสก-เอกาทสกนิบาต เล่ม ๕ – หน้าที่ 375 (เล่ม 38)

รู้อย่างนี้ว่าเราเป็นผู้พลาดแล้ว เราเป็นผู้ถือเอาผิดแล้ว เราถูกเขายกโทษ
ขึ้นแล้ว ดังนี้ . บทว่า ปณฺฑิตวตฺลูนิ แปลว่า เหตุเพื่อประโยชน์แก่ความ
เป็นบัณฑิต.
จบอรรถกถาอาชินสูตรที่ ๔
๕. สคารวสูตร
ว่าด้วยฝั่งนี้และฝั่งโน้น
[๑๑๗] ครั้งนั้นแล พราหมณ์ชื่อว่าสคารวะ เข้าไปเฝ้าพระผู้มี-
พระภาคเจ้าถึงที่ประทับ ได้ปราศรัยกับพระผู้มีพระภาคเจ้า ครั้นผ่านการ
ปราศรัยพอให้ระลึกถึงกันไปแล้ว นั่ง ณ ที่สมควรส่วนข้างหนึ่ง ครั้นแล้ว
ได้ทูลถามพระผู้มีพระภาคเจ้าว่า ข้าแต่พระโคดมผู้เจริญ อะไรหนอแล
เป็นฝั่งนี้ อะไรเป็นฝั่งโน้น พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสตอบว่า ดูก่อน
พราหมณ์ มิจฉาทิฏฐิเป็นฝั่งนี้ สัมมาทิฏฐิเป็นฝั่งโน้น มิจฉาสังกัปปะ
เป็นฝั่งนี้ สัมมาสังกัปปะเป็นฝั่งโน้น มิจฉาวาจาเป็นฝั่งนี้ สัมมาวาจา
เป็นฝั่งโน้น มิจฉากัมมันตะเป็นฝั่งนี้ สัมมากัมมันตะเป็นฝั่งโน้น มิจฉา-
อาชีวะเป็นฝั่งนี้ สัมมาอาชีวะเป็นฝั่งโน้น มิจฉาวายามะเป็นฝั่งนี้ สัมมา-
วายามะเป็นฝั่งโน้น มิจฉาสติเป็นฝั่งนี้ สัมมาสติเป็นฝั่งโน้น มิจฉาสมาธิ
เป็นฝั่งนี้ สัมมาสมาธิเป็นฝั่งโน้น มิจฉาญาณะเป็นฝั่งนี้ สัมมาญาณะเป็น
ฝั่งโน้น มิจฉาวิมุตติเป็นฝั่งนี้ สัมมาวิมุตติเป็นฝั่งโน้น ดูก่อนพราหมณ์
นี้แลเป็นฝั่งนี้ นี้เป็นฝั่งโน้น .
ในหมู่มนุษย์ เหล่าชนผู้ไปถึงฝั่งโน้นมีประมาณ
น้อย ส่วนหมู่สัตว์นอกนี้เลาะไปตามฝั่งทั้งนั้น ส่วน

375
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก อังคุตรนิกาย ทสก-เอกาทสกนิบาต เล่ม ๕ – หน้าที่ 376 (เล่ม 38)

ชนเหล่าใดประพฤติตามธรรมในธรรม อันพระตถา-
คตตรัสแล้วโดยชอบ ชนเหล่านั้นจักข้ามพ้นวัฏฏะ
อันเป็นบ่วงมารที่ข้ามพ้นได้แสนยาก แล้วจักถึงฝั่ง
โน้น คือนิพพาน บัณฑิตละธรรมดำเสวยแล้ว พึงยัง
ธรรมขาวให้เจริญ บัณฑิตละกามทั้งหลายแล้ว เป็น
ผู้ไม่มีกังวล ออกจากความอาลัย อาศัยธรรมที่ไม่มี
ความอาลัย พึงปรารถนาความยินดียิ่งในวิเวก ที่
ยินดีได้แสนยาก บัณฑิตพึงชำระตนให้ผ่องแผ้ว
จากเครื่องเศร้าหม่องจิตทั้งหลาย บัณฑิตเหล่าใด
อบรมโดยชอบในองค์ธรรมเป็นเครื่องตรัสรู้ทั้งหลาย
ไม่ถือมั่นแล้ว ยินดีในนิพพาน เป็นที่สละความถือมั่น
บัณฑิตเหล่านั้นสิ้นอาสวะ มีความรุ่งเรื่อง ดับสนิท
แล้วในโลก.
จบสคารวสูตรที่ ๕
อรรถกถาสคารวสูตรที่ ๕
สคารวสูตรที่ ๕ พึงทราบวินิจฉัยดังต่อไปนี้.
บทว่า โอริมํ ตีรํ ได้แก่ โลกิยะ ชื่อว่าฝั่งนี้. บทว่า ปาริมํ ตีรํ
ได้แก่ โลกุตระ ชื่อว่าฝั่งโน้น.
บทว่า ปารคามิโน ได้แก่ ผู้ถึงพระนิพพาน. บทว่า ตีรเนวานุ-
ธารติ ได้แก่ วิ่งแล่นไปสู่ฝั่ง คือ สักกายทิฏฐิ. บทว่า ธมฺเม ธมฺมานุวตฺติโน

376
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก อังคุตรนิกาย ทสก-เอกาทสกนิบาต เล่ม ๕ – หน้าที่ 377 (เล่ม 38)

ความว่า ประพฤติธรรมตามสมควรในโลกุตรธรรม ๙ ที่ตรัสไว้แล้วโดย
ชอบ ได้แก่ประพฤติตามข้อปฏิบัติเบื้องต้นพร้อมกับศีล ที่เหมาะสมแก่
ธรรมนั้น. บทว่า มจฺจุตฺเธยฺยํ สุทุตฺตรํ ได้แก่ ข้ามวัฏฏะที่เป็นไปในภูมิ ๓
อันเป็นที่ตั้งแห่งมัจจุมาร ที่ข้ามได้แสนยาก. บทว่า ปารเมสฺสนฺติ ได้แก่
จักบรรลุพระนิพพาน. บทว่า โอกา อโนกนาคมฺม ได้แก่ อาศัยวิวัฎฏะ
จากวัฏฏะ. บทว่า วิเวเก ยตฺถ ทูรมํ แปลว่า พึงปรารถนาความยินดี
ยิ่งในกายวิเวก จิตตวิเวกและอุปธิวิเวก ซึ่งยินดียิ่งได้ยาก. บทว่า หิตฺวา
กาเม ได้แก่ ละกามแม้ทั้งสอง. บทว่า อกิญฺจโน แปลว่ากิเลสเครื่องกังวล.
บทว่า อาทานปฏินิสฺสคฺเค ได้แก่ ในพระนิพพาน กล่าวคือการสละ
คืนความยึดมั่น. บทว่า อนุปาทาย เย รตา ความว่า ชนเหล่าใดไม่ยึด
ถือแม้สิ่งไร ๆ ด้วยอุปาทาน ๔ ยินดียิ่งแล้ว. บทว่า ปรินิพฺพุตา ได้แก่
ชนเหล่านั้น พึงทราบว่า ชื่อว่า ปรินิพพานแล้วด้วยปรินิพพานที่หาปัจจัย
มิได้.
จบอรรถกถาสคารวสูตรที่ ๕
๖. โอริมสูตร
ว่าด้วยฝั่งนี้และฝั่งโน้น
[๑๑๘] ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เราจักแสดงฝั่งนี้และฝั่งโน้นแก่เธอ
ทั้งหลาย เธอทั้งหลายจงฟัง จงใส่ใจให้ดี เราจักกล่าว ภิกษุเหล่านั้น
ทูลรับแด่พระผู้มีพระภาคเจ้าแล้ว พระผู้มีพระภาคเจ้าได้ตรัสว่า ดูก่อน
ภิกษุทั้งหลาย ฝั่งนี้เป็นไฉน และฝั่งโน้นเป็นไฉน ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย
มิจฉาทิฏฐิเป็นฝั่งนี้ สัมมาทิฏฐิเป็นฝั่งโน้น ฯลฯ มิจฉาวิมุติเป็นฝั่งนี้

377
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก อังคุตรนิกาย ทสก-เอกาทสกนิบาต เล่ม ๕ – หน้าที่ 378 (เล่ม 38)

สัมมาวิมุตติเป็นฝั่งโน้น ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย นี้แลเป็นฝั่งนี้ นี้เป็น
ฝั่งโน้น.
บรรดามนุษย์ทั้งหลาย เหล่าชนที่ไปถึงฝั่งโน้น
มีประมาณน้อย ส่วนหมู่สัตว์นอกนี้เลาะไปตามฝั่งทั้ง
นั้น ส่วนชนเหล่าใดเป็นผู้ประพฤติตามธรรม ใน
ธรรมอันพระตถาคตตรัสแล้วโดยชอบ ชนเหล่านั้น
จักข้ามพ้นวัฏฎะอันเป็นบ่วงมาร ที่ข้ามพ้นได้แสน
ยาก แล้วจักถึงฝั่งโน้น คือนิพพาน บัณฑิตละธรรม
ดำเสียแล้ว พึงยังธรรมขาวให้เจริญ บัณฑิตละกาม
ทั้งหลายแล้ว เป็นผู้ไม่มีกังวล ออกจากความอาลัย
อาศัยธรรมที่ไม่มีความอาลัย ปรารถนาควานยินดียิ่ง
ในวิเวกที่ยินดีได้แสนยาก บัณฑิตพึงยังตนให้ผ่อง
แผ้วจากเครื่องเศร้าหมองจิตทั้งหลาย บัณฑิตเหล่าใด
อบรมจิตแล้วโดยชอบ ในองค์ธรรมเป็นเครื่องตรัสรู้
ทั้งหลาย ไม่ถือมั่นแล้ว ยินดีในนิพพานเป็นที่สละ
ความถือมั่น บัณฑิตเหล่านั้น สิ้นอาสวะ มีความ
รุ่งเรื่อง ดับสนิทแล้วในโลก.
จบโอริมสูตรที่ ๖
อรรถกถาโอริมสูตรที่ ๖
โอริมสูตรที่ ๖ ทรงแสดงแก่ภิกษุทั้งหลาย.
จบอรรถกถาโอริมสูตรที่ ๖

378