No Favorites




หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก อังคุตรนิกาย ติกนิบาต เล่ม ๑ ภาค ๓ – หน้าที่ 229 (เล่ม 34)

องค์ ๕ ละองค์ ๕ คืออะไร คือ ละกามฉันทะ พยาบาท ถีนมิทธะ
อุทธัจจกุกกุจจะ วิจิกิจฉา ผู้มีศีลนั้นเป็นผู้ละองค์ ๕ นี้ ประกอบด้วยองค์
๕ คืออะไร คือ ประกอบด้วยสีลขันธ์ (กองศีล) สมาธิขันธ์ (กองสมาธิ)
ปัญญาขันธ์ (กองปัญญา) วิมุตติขันธ์ (กองวิมุตติ) วิมุตติญาณทัสสนขันธ์
(กองวิมุตติญาณทัสนะ) อันเป็นอเสขะ ผู้มีศีลนั้นเป็นผู้ประกอบด้วยองค์
เราตถาคตกล่าวว่า ทานที่ให้ในผู้มีศีล ที่ละองค์ ๕ ประกอบด้วยองค์ ๕
อย่างนี้ มีผลมาก
ในโคเมียทั้งหลาย เช่น แม่โคสีดำ
สีขาว สีแดง สีเขียว สีด่าง สีปกติ หรือ
สีนกพิราบก็ตาม โคผู้ ซึ่งฝึกแล้วเป็นโค
ทนงาน มีกำลัง ฝีเท้าดี ย่อมเกิดในแม่โค
เหล่านั้นได้ทุกเหล่า คนทั้งหลายใช้มันใน
การหนักเท่านั้น หาได้พิถีพิถันสีของมันไม่
ฉันเดียวกันนั่นแล ในหมู่มนุษย์
ในชนชาติใดชาติหนึ่ง จะเป็นชาติกษัตริย์
พราหมณ์ แพศย์ ศูทร จัณฑาล หรือ
ปุกกุสะ บุคคลผู้ซึ่งฝึกตนแล้ว มีพรต
อันดี ตั้งอยู่ในธรรม ถึงพร้อมด้วยศีลพูด
เป็นสัจ มีใจประกอบด้วยหิริ ละชาติและ
มรณะแล้ว จบพรหมจรรย์แล้ว ปลงของ
หนักแล้ว ปลอดโปร่งแล้ว เสร็จกิจ ไม่มี

229
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก อังคุตรนิกาย ติกนิบาต เล่ม ๑ ภาค ๓ – หน้าที่ 230 (เล่ม 34)

อาสวะ ถึงฝั่งแห่งธรรมทั้งปวง ดับกิเลส
ได้เพราะไม่ยึดถือแล้ว ย่อมเกิดในชาติ
เหล่านั้นได้ทุกชาติ ทักษิณาทานที่ให้ใน
บุคคลนั้นอันเป็นเนื้อนาที่ปราศจากโทษ
ย่อมมีผลไพบูลย์
ส่วนคนเขลาทรามปัญญา มิได้สดับ
ไม่รู้จัก (บุญเขต) ให้ทานไปภายนอก
(เขต) ไม่เข้าใกล้สัตบุรุษทั้งหลายเลย
ฝ่ายคนเหล่าใดเข้าใกล้สัตบุรุษผู้มี
ปัญญานับว่าเป็นปราชญ์ และศรัทธาของ
เขามีรากฐานมั่นคงในองค์พระสุคต คน
เหล่านั้นย่อมไปเทวโลก มิฉะนั้น เกิดใน
สกุล ณ โลกนี้ ก็จะเป็นบัณฑิตได้บรรลุ
พระนิพพานโดยลำดับ.
จบชัปปสูตรที่ ๗
อรรถกถาชัปปสูตร
พึงทราบวินิจฉัยในชัปปสูตรที่ ๗ ดังต่อไปนี้:-
บทว่า มหปฺผลํ แปลว่า มีผลมาก. ในบทว่า ธมฺมสฺส จ
อนุธมฺมํ พฺยากโรนฺติ นี้ พึงทราบอธิบายดังต่อไปนี้ ถ้อยคำที่พระผู้มี
พระภาคเจ้าตรัสแล้ว ชื่อว่า พระธรรม. การตรัสทบทวนซึ่งข้อความที่ตรัส
แล้ว ชื่อว่า อนุธรรม.

230
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก อังคุตรนิกาย ติกนิบาต เล่ม ๑ ภาค ๓ – หน้าที่ 231 (เล่ม 34)

บทว่า สหธมฺมิโก ได้แก่ พร้อมด้วยการณ์ พร้อมด้วยเหตุ. การ
ถือตาม คือการคล้อยตาม อธิบายว่า การประพฤติตามถ้อยคำ ชื่อว่า
วาทานุปาตะ. บทว่า คารยฺหํ ฐานํ ได้แก่เหตุที่ควรตำหนิ. ท่านกล่าว
อธิบายไว้ว่า การคล้อยตามถ้อยคำที่มีเหตุผล อันพระโคดมผู้เจริญตรัสไว้แล้ว
ไม่น่าจะถึงเหตุที่ควรตำหนิไร ๆ เลย. อีกอย่างหนึ่ง พราหมณ์ถามว่า การ
คล้อยตามพฤติการณ์ของวาทะที่มีเหตุ ซึ่งคนเหล่านั้นกล่าวแล้ว จะถึงเหตุที่
น่าตำหนิอะไร ๆ ไหม.
บทว่า อนฺตรายกโร โหติ ความว่า กระทำอันตราย คือความ
พินาศ คือให้ได้รับความลำบาก ได้แก่ให้เกิดความเดือดร้อน. บทว่า
ปาริปนฺถิโก ได้แก่ โจรที่ดักจี้ปล้นคนเดินทาง. บทว่า ขโต จ โหติ
ได้แก่ถูกขุด โดยขุดคุณความดีทิ้งไป. บทว่า อุปหโต ได้แก่ ถูกขจัด
โดยการทำลายคุณงามความดี. บทว่า จนฺทนิกาย ได้แก่ ในบ่อน้ำโคลน
ที่ไม่สะอาด. บทว่า โอฬิคลฺเล ได้แก่ (ท่อ) ที่ยังไม่ได้ล้างโคลน. บทว่า
โส จ ได้แก่ พระขีณาสพที่ท่านกล่าวไว้ว่า ท่านผู้มีศีลนั้น. บทว่า สีลกฺ-
ขนฺเธน แปลว่า ด้วยกองศีล. แม้ในบทที่เหลือก็มีนัยนี้เหมือนกัน. ก็
ปัจจเวกขณญาณ พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสเรียกว่า วิมุตติญาณทัสสนะ ในคำว่า
วิมุตฺติญาณทสฺสกนกฺขนฺเธน นี้. ปัจจเวกขณญาณนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้า
ตรัสว่า อเสขะ เพราะเป็นไปแล้วแก่พระอเสขะ. ญาณนอกนี้ แม้ตัวเองก็
เป็นอเสกขะอยู่แล้ว เพราะบรรลุแล้วในที่สุดแห่งสิกขา. อีกทั้งญาณเหล่านั้น
ก็เป็นโลกุตระ ปัจจเวกขณญาณเป็นโลกิยะ.
บทว่า โรหิณึสุ ได้แก่มีสีแดง. บทว่า สรูปาสุ ได้แก่ มีสีเสมอ
ด้วยลูกโคของตน. บทว่า ปเรวตาสุ ได้แก่ มีสีเหมือนนกพิราบ. บทว่า

231
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก อังคุตรนิกาย ติกนิบาต เล่ม ๑ ภาค ๓ – หน้าที่ 232 (เล่ม 34)

ทนฺโต ได้แก่ หมดพยศแล้ว. โคตัวผู้ ชื่อว่า ปุงฺคโว. บทว่า โธรยฺโห
ได้แก่ โคใช้งาน. บทว่า กลฺยาณชวนิกฺกโม ได้แก่ ประกอบด้วยเชาว์ไว
ไหวพริบดี คือซื่อตรง. บทว่า นาสฺส วณฺณํ ปริกฺขเร ความว่า ไม่สนใจ
ถึงสีร่างกายของโคนั้น แต่สนใจเฉพาะงาน คือการประกอบธุระของมันเท่านั้น.
บทว่า ยสฺมึ กิสฺมิญฺจิ ชาติเย ความว่า เกิดแล้วในตระกูลใด ๆ
บทว่า ยาสุ กาสุจิปิ เอตาสุ ได้แก่ ในกำเนิดอย่างใดอย่างหนึ่ง แยก
ประเภทเป็นกษัตริย์เป็นต้นเหล่านี้. บทว่า พฺรหฺมจริยสฺส เกวลี ความว่า
ประกอบด้วยการอยู่จบพรหมจรรย์ อธิบายว่า ประกอบด้วยความเป็นผู้
บริบูรณ์ด้วยพรหมจรรย์. เพราะว่า พระขีณาสพ ชื่อว่า เป็นผู้ประพฤติ
พรหมจรรย์ทั้งสิ้น ด้วยเหตุนั้น ท่านจึงกล่าวคำนี้ไว้.
บทว่า ปนฺนภาโร ได้แก่ วางภาระแล้ว อธิบายว่า วางภาระคือขันธ์
ภาระคือกิเลส และภาระคือกามคุณลงได้แล้ว. บทว่า กตกิจฺโจ คือ กระทำ
กิจด้วยมรรคทั้ง ๔ เสร็จแล้ว. บทว่า ปารคู สพฺพธมฺมานํ ความว่า
เบญจขันธ์ อายตนะ ๑๒ ธาตุ ๑๘ ตรัสเรียกว่า สรรพธรรม. ชื่อว่า ปารคู
เพราะถึงฝั่ง. ๖ อย่าง คือ ฝั่งคืออภิญญูา ๑ ฝั่งคือปหานะ ๑ ฝั่งคือ
ฌาน ๑ ฝั่งคือภาวนา ๑ ฝั่งคือสัจฉิกิริยา ๑ ฝั่งคือสมาบัติ ๑ แห่ง
สรรพธรรมนั้น. บทว่า อนุปาทาย ได้แก่ไม่ยึดถือ. บทว่า นิพฺพุโต
ได้แก่ เว้นจากความเร่าร้อนเพราะกิเลส. บทว่า วิรเช ได้แก่ เว้นจากธุลี
คือ ราคะ โทสะ และโมหะ.
บทว่า อวิชานนฺตา ได้แก่ ไม่รู้จักบุญเขต. บทว่า ทุมฺเมธา
ได้แก่ไม่มีปัญญา. บทว่า อสฺสุตาวิโน ได้แก่ เว้นจากการได้ยินข้อวินิจฉัย
เกี่ยวกับบุญเขต. บทว่า พหิทฺธา ได้แก่ ภายนอกจากพระศาสนานี้. บทว่า

232
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก อังคุตรนิกาย ติกนิบาต เล่ม ๑ ภาค ๓ – หน้าที่ 233 (เล่ม 34)

น หิ สนฺเต อุปาสเร ความว่า ไม่เข้าไปหาพระพุทธเจ้า พระปัจเจกพุทธเจ้า
และพระขีณาสพทั้งหลาย ผู้เป็นบุรุษสูงสุด. บทว่า ธีรสมฺมเต ได้แก่
บัณฑิตยกย่องแล้ว ชมเชยแล้ว. ด้วยบทว่า มูลชาตา ปติฏฺฐิตา นี้ ทรง
แสดงถึงศรัทธาของพระโสดาบัน. บทว่า กุเล วา อิธ ชายเร ความว่า
หรือเกิดในตระกูลกษัตริย์ ตระกูลพราหมณ์ ตระกูลแพศย์ ในมนุษยโลกนี้.
บุคุคลนี้นี่แหละชื่อว่า มีกุลสมบัติ ๓ ประการ. บทว่า อนุปุพฺเพน นิพฺพานํ
อธิคจฺฉนฺติ ความว่า บำเพ็ญคุณธรรมเหล่านี้ คือ ศีล สมาธิ ปัญญา
ให้สมบูรณ์แล้วบรรลุพระนิพพาน ตามลำดับฉะนี้แล.
จบอรรถกาชัปปสูตรที่ ๗
๘. ติกัณณสูตร
ว่าด้วยวิชชา ๓ ของพราหมณ์และของพุทธ์
[๔๙๘] ครั้งนั้น พราหมณ์ชื่อติกัณณะ เข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระ-
ภาคเจ้า ฯลฯ พราหมณ์ติกัณณะนั่ง ณ ที่ควรส่วนหนึ่งแล้ว กล่าวสรรเสริญ
พวกพราหมณ์ผู้ได้วิชชา ๓ เฉพาะพระพักตร์พระผู้มีพระภาคเจ้าว่า พราหมณ์
ผู้ได้วิชชา ๓ เป็นอย่างนั้นอย่างนี้
พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสถามว่า ดูก่อนพราหมณ์ พราหมณ์ทั้งหลาย
บัญญัติพราหมณ์ผู้ได้วิชชา ๓ อย่างไรกัน.
พราหมณ์ติกัณณะกราบทูลตอบว่า ข้าแต่พระโคดมผู้เจริญ
พราหมณ์เป็นผู้ได้กำเนิดดีทั้ง ๒ ฝ่าย คือทั้งฝ่ายมารดาทั้งฝ่ายบิดามีครรภ์ที่
ถือปฏิสนธิหมดจดดี ไม่ถูกคัดค้านติเตียนเพราะเรื่องกำเนิดถึง ๗ ชั่วปู่

233
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก อังคุตรนิกาย ติกนิบาต เล่ม ๑ ภาค ๓ – หน้าที่ 234 (เล่ม 34)

เล่าเรียนจำมนต์ได้ เจนจบไตรเพทพร้อมทั้งนิฆัณฑุศาสตร์ และเกฏุภศาสตร์
กับอักษรประเภท เป็นห้าทั้งคัมภีร์อิติหาส รู้ตัวบท รู้คำแก้ (ในไตรเพทนั้น)
ปราดเปรื่องในโลกายตศาสตร์ และมหาบุรุษลักษณศาสตร์๑ ข้าแต่พระโคดม
ผู้เจริญ พราหมณ์ทั้งหลายย่อมบัญญัติพราหมณ์ผู้ได้วิชชา ๓ อย่างนี้แล.
พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า พราหมณ์ พราหมณ์ทั้งหลายบัญญัติ
พราหมณ์ผู้ได้วิชชา ๓ อย่างหนึ่ง แต่ผู้ได้วิชชา ๓ ในวินัยของพระอริยะเป็น
อย่างหนึ่ง.
ข้าแต่พระโคดมผู้เจริญ ก็ผู้ได้วิชชา ๓ ในวินัยของพระอริยะเป็น
อย่างไร สาธุ ผู้ได้วิชชา ๓ ในวินัยของพระอริยะเป็นอย่างใด ขอพระโคดม
ผู้เจริญทรงแสดงธรรมอย่างนั้นแก่ข้าพระองค์เถิด.
พราหมณ์ ถ้ากระนั้นท่านจงฟัง ทำในใจให้ดี เราตถาคตจักกล่าว.
พราหมณ์ติกัณณะรับพระพุทธพจน์แล้ว พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัส
พระธรรมเทศนานี้ว่า
พราหมณ์ ภิกษุในพระธรรมวินัยนี้ สงัดจากกาม จากอกุศลธรรม
ทั้งหลาย เข้าปฐมฌานอันประกอบด้วยวิตก วิจาร มีปีติ และสุขอันเกิดแต่
วิเวกอยู่
๑. ไตรเพท พระเวททั้ง ๓ (ความรู้ ๓ อย่าง) เป็นชื่อคัมภีร์แสดงลัทธิไสยศาสตร์ดั้งเดิมของ
พราหมณ์ คือ อิรุพเพท (ฤคเวท) ๑ ยชุพเพท (ยชุรเวท) ๑ สามเพท (สามเวท) ๑
นิฆัณฑุศาสตร์ ว่าด้วยชื่อสิ่งของมีต้นไม้เป็นต้น. เกฏุภศาสตร์ว่าด้วยกิริยาเป็นประโยชน์
แก่กวี, อักษรประเภท ท่านว่าได้แก่ "ศึกษา" และ "นิรุกฺติ" (ภาค ๑ ๆ แห่งเวทางค์ ๖
เวทางค์ ตำราประกอบพระเวท สำหรับช่วยให้เข้าใจพระเวทชัดเจนขึ้น แบ่งเป็น ๖ ภาค คือ
กัลป, วฺยากรณ (ไวยากรณ์), โชฺยติศาสตร์ (ตำราดาว), ศึกษา, นิรุกฺติ (อธิบายคำที่ยาก),
ฉันโทวิจิติ (ตำราฉันท์)
อิติหาส ว่าด้วยพงศาวดารยืดยาว มีภารตยุทธ์เป็นต้น อันกล่าวประพันธ์ไว้แต่กาลก่อน,
ที่ว่า "เป็นห้าทั้งคัมภีร์อิติหาส" นั้น ท่านว่า พระเวท ๓ เติมอาถรรพณเวทเป็น ๔ กับอิติหาส
เป็น ๕
โลกายตศาสตร์ ว่าด้วยเรื่องราวอันไม่น่าเชื่อ ถ้าบุคคลอุปกรณ์นี้ไม่คิดทำบุญ มหา
บุรุษลักษณศาสตร์ ว่าด้วยลักษณะของมหาบุรุษ

234
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก อังคุตรนิกาย ติกนิบาต เล่ม ๑ ภาค ๓ – หน้าที่ 235 (เล่ม 34)

เพราะวิตกวิจารสงบไป เข้าทุติยฌานอันเป็นเครื่องผ่องใสในภายใน
ประกอบด้วยความใจเป็นหนึ่งผุดขึ้น ไม่มีวิตก ไม่มีวิจาร มีปีติและสุขอัน
เกิดแต่สมาธิอยู่
เพราะปีติคลายไปด้วย ภิกษุเพ่งอยู่ด้วย มีสติสัมปชัญญะด้วย เสวยสุข
ทางกายด้วย เข้าตติยฌานซึ่งพระอริยะกล่าว (ผู้ได้ตติยฌานนี้) ว่า ผู้มีสติ
เพ่งอยู่เป็นสุข
เพราะละสุข (กาย) ได้ด้วย เพราะละทุกข์ (กาย) ได้ด้วยเพราะ
โสมนัส (สุขใจ) และโทมนัส (ทุกข์ใจ) ดับไปก่อน เข้าจตุตถฌาน ไม่ทุกข์
ไม่สุข มีความบริสุทธิ์ ด้วยสติอันเกิดเพราะอุเบกขาอยู่*
ภิกษุนั้น เมื่อจิตเป็นสมาธิบริสุทธิ์สะอาดไม่มีมลทิน ปราศจาก
อุปกิเลส เป็นจิตอ่อน ควรแก่งาน ตั้งอยู่ไม่หวั่นไหวอย่างนี้แล้ว น้อมจิต
ไปเพื่อปุพเพนิวาสานุสติญาณ (วิชชาระลึกชาติได้) เธอก็ระลึกชาติได้
อย่างอเนก คืออย่างไร คือแต่ ๑ ชาติ ๒ ชาติ ๓ ชาติ ๔ ชาติ ๕ ชาติ
ถึง ๑๐ ชาติ ๒๐ ชาติ ๓๐ ชาติ ๔๐ ชาติ ๕๐ ชาติ กระทั่ง ๑๐๐ ชาติ ๑,๐๐๐
ชาติ ๑๐,๐๐๐ ชาติ จนหลายสังวัฏฏกัป หลายวิวัฏฏกัป และหลาย
สังวัฏฏวิวัฏฏกัป ว่า ในชาติโน้นเรามีชื่ออย่างนั้น มีนามสกุลอย่างนั้น
มีผิวพรรณอย่างนั้น มีอาหารอย่างนั้น ได้เสวยสุขทุกข์อย่างนั้น มีกำหนด
อายุเท่านั้น จุติจากชาตินั้นเกิดในชาติโน้น ในชาตินั้นเรามีชื่อมีนามสกุลมี
ผิวพรรณมีอาหารอย่างนั้น ๆ ได้เสวยสุขทุกข์อย่างนั้น มีกำหนดอายุเท่านั้น
จุติจากชาตินั้นมาเกิดในชาตินี้ เธอระลึกชาติได้อย่างอเนกพร้อมทั้งอาการ
(คือรูปร่างท่าทางและความเป็นไปที่ต่าง ๆ กัน มีผิวพรรณต่างกันเป็นต้น)
พร้อมทั้งอุทเทส (คือสิ่งสำหรับอ้างสำหรับเรียก ได้แก่ชื่อและโคตร) อย่างนี้
* ฌาน ๔ นี้ ถ้าอ่านตามพระบาลีนี้ ยังไม่พอจะให้เข้าใจชัด จงดูอธิบายในหนังสือวิสุทธิมรรค

235
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก อังคุตรนิกาย ติกนิบาต เล่ม ๑ ภาค ๓ – หน้าที่ 236 (เล่ม 34)

นี่วิชชาที่ ๑ อันภิกษุนั้นได้บรรลุ อวิชชาหายไป วิชชาเกิดขึ้น ความมืด
หายไป ความสว่างเกิดขึ้น (เป็นผล) สมแก่ที่ภิกษุเป็นผู้ไม่ประมาทมีความ
เพียร มีตนอันส่งไปอยู่๑ (เด็ดเดี่ยว)
ภิกษุนั้น ครั้นจิตเป็นสมาธิบริสุทธิ์สะอาด ไม่มีมลทิน ปราศจาก
อุปกิเลส เป็นจิตอ่อนควรแก่งาน ตั้งอยู่ไม่หวั่นไหวอย่างนี้แล้ว น้อมจิตไป
เพื่อจุตูปปาตญาณ๒ (วิชชากำหนดรู้ความตายความเกิด) แห่งสัตว์ทั้งหลาย
เธอก็เห็นสัตว์ทั้งหลายกำลังจุติ กำลังอุปบัติ เลว ดี ผิวพรรณงาม
ผิวพรรณทราม ได้ดี ตกยาก ด้วยจักษุทิพย์อันแจ่มใสเกินจักษุมนุษย์สามัญ
รู้ชัดว่าสัตว์ทั้งหลายเป็นตามกรรม (ชี้ได้) ว่า สัตว์เหล่านี้ เจ้าข้า ประกอบ
ด้วยกายทุจริต วจีทุจริต มโนทุจริต ติเตียนพระอริยเจ้า มีความเห็นผิด
กระทำกรรมไปตามความเห็นผิด สัตว์เหล่านั้นเพราะกายแตกตายไปก็ไปอบาย
ทุคิติ วินิบาต นรก หรือว่า สัตว์เหล่านี้ เจ้าข้า ประกอบด้วยกายสุจริต
วจีสุจริต มโนสุจริต ไม่ติเตียนพระอริยะ มีความเห็นชอบ กระทำกรรม
ไปตามความเห็นชอบ สัตว์เหล่านั้น เพราะกายแตกตายไป ก็ไปสู่สุคติโลก
สวรรค์ เธอเห็นสัตว์ทั้งหลายกำลังจุติ กำลังอุปบัติ เลว ดี ผิวพรรณงาม
ผิวพรรณทราม ได้ดี ตกยาก ด้วยจักษุทิพย์อันแจ่มใสเกินจักษุมนุษย์สามัญ
รู้ชัดว่าสัตว์ทั้งหลายเป็นตามกรรม อย่างนี้ นี่วิชชาที่ ๒ อันภิกษุนั้นได้บรรลุ
อวิชชาหายไป วิชชาเกิดขึ้น ความมืดหายไป ความสว่างเกิดขึ้น (เป็นผล)
สมแก่ที่ภิกษุเป็นผู้ไม่ประมาทมีความเพียร มีตนอันส่งไปอยู่
ภิกษุนั้น ครั้นจิตเป็นสมาธิบริสุทธิ์สะอาดไม่มีมลทินปราศจาก
อุปกิเลส เป็นจิตอ่อนควรแก่งาน ตั้งอยู่ไม่หวั่นไหวอย่างนี้แล้ว น้อมจิตไป
เพื่ออาสวักขยญาณ (วิชชาทำอาสวะให้สิ้น) เธอรู้ชัดตามจริงว่า นี้ทุกข์
๑. เป็นสำนวนอย่างหนึ่ง หมายความว่า อุทิศร่างกายและชีวิตเพื่อทำการอันนั้นให้สำเร็จจงได้
๒. ทิพจักษุญาณ ก็เรียก

236
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก อังคุตรนิกาย ติกนิบาต เล่ม ๑ ภาค ๓ – หน้าที่ 237 (เล่ม 34)

นี้ทุกข์สมุทัย นี้ทุกขนิโรธ นี้ทุกขนิโรธคามินีปฏิปทา รู้ชัดตามจริงว่า
เหล่านี้อาสวะ นี้อาสวสมุทัย (เหตุเกิดอาสวะ) นี้อาสวนิโรธ (ความ
ดับอาสวะ) นี้อาสวนิโรธคามินีปฏิปทา (ทางไปถึงความดับอาสวะ) เมื่อ
เธอรู้อย่างนี้เห็นอย่างนี้ จิตก็พันทั้งกามาสวะ ทั้งภวาสวะ ทั้งอวิชชา
สวะ ครั้นพ้นแล้วก็มีญาณ (รู้) ว่าพ้นแล้ว รู้ชัดว่า ชาติสิ้นแล้ว พรหม-
จรรย์ได้อยู่จบแล้ว กิจที่ควรทำได้ทำแล้ว กิจอื่น (อันจะต้องทำ) เพื่อความ
เป็นอย่างนี้ไม่มีอีก นี่วิชชาที่ ๓ อันภิกษุนั้นได้บรรลุ อวิชชาหายไป วิชชา
เกิดขึ้น ความมืดหายไป ความสว่างเกิดขึ้น (เป็นผล) สมแก่ที่ภิกษุเป็นผู้
ไม่ประมาทมีความเพียรมีตนอันส่งไปอยู่
จิตของพระโคดมองค์ใด ผู้มีศีลไม่
ขึ้นลง* มีปัญญา เพ่งพินิจ เป็นจิตตั้งมั่น
แน่วแน่เป็นวสี บัณฑิตทั้งหลายกล่าวพระ
โคดมนั้นผู้เป็นปราชญ์ขจัดความมืดเสียผู้
ได้วิชชา ๓ ละมฤตยูละเลิกบาปธรรม
ทั้งปวงเสียได้ว่าเป็นผู้มีประโยชน์สำหรับ
เทวดา มนุษย์ทั้งหลาย
* ศัพท์นี้ข้าพเจ้าแปลตามอรรถกถา ด้วยเห็นว่ามีบท "นิปกสฺส" แสดงปัญญา"ฌายิโน" แสดง
สมาธิอยู่ในลำดับ พอครบไตรสิกขา และที่ว่า "มีศีลไม่ขึ้นลง" นั้น ท่านอธิบายว่า มีศีล
เต็มบริบูรณ์เสมอ อันเป็นคุณของพระขีณาสพ ไม่เดี๋ยวเต็มเดี๋ยวพร่องอย่างปุถุชน
ถ้าไม่มุ่งความอย่างนี้ จะแปลศัพท์นี้ว่า "ผู้มีปกติไม่ขึ้นลง" ก็ได้ และอธิบายว่า เป็นผู้คงที่
แสดงอาการฟูขึ้นด้วยความยินดีและห่อเหี่ยวลงด้วยความยินร้าย ในเมื่อประสบอิฎฐารมณ์
และอนิฏฐารมณ์ ดังพระบาลีในธรรมบทว่า" น อุจฺจาวจํ ปณฺฑิตา ทสฺสยนติ บัณฑิตทั้งหลาย
ย่อมไม่แสดงอาการขึ้นลง" เป็นคุณของพระขีณาสพเหมือนกัน

237
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก อังคุตรนิกาย ติกนิบาต เล่ม ๑ ภาค ๓ – หน้าที่ 238 (เล่ม 34)

บัณฑิตทั้งหลายย่อม นอบน้อมพระ-
โคดมผู้ถึงพร้อมด้วยวิชชา๓ไม่ลุ่มหลงอยู่
เป็นพระพุทธะมีพระสรีระเป็นครั้งที่สุด
ผู้ใดรู้ (ระลึก) ชาติได้ เห็นสวรรค์
และอบาย และถึงธรรมที่สิ้นชาติแล้ว
เป็นมุนีสำเร็จด้วยความรู้ยิ่ง โดยวิชชา ๓
นี้ พราหมณ์จึงเป็นเตวิชฺโช (ผู้ได้วิชชา ๓)
เรากล่าวผู้เช่นนั้นว่า ผู้ได้วิชชา ๓ หา
กล่าวตามคำที่พูดกันอย่างอื่นไม่.
พราหมณ์ ผู้ได้วิชชา ๓ ในวินัยของพระอริยะเป็นอย่างนี้แล.
ข้าแต่พระโคดมผู้เจริญ ผู้ได้วิชชา ๓ ของพวกพราหมณ์เป็นอย่างหนึ่ง
ส่วนผู้ได้วิชชา ๓ ในวินัยของพระอริยะเป็นอย่างหนึ่ง แต่ผู้ได้วิชชา ๓ ของ
พวกพราหมณ์ไม่ถึงเสี้ยวที่ ๑๖ แห่งผู้ได้วิชชา ๓ ในวินัยของพระอริยะ ดีจริง ๆ
พระโคดมผู้เจริญ ฯลฯ ขอพระโคคมผู้เจริญทรงจำข้าพระองค์ไว้ว่า เป็นอุบาสก
ถึงสรณะแล้ว จนตลอดชีวิตตั้งแต่วันนี้ไป.
จบติกัณณสูตรที่ ๘

238