No Favorites




หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก อังคุตรนิกาย ติกนิบาต เล่ม ๑ ภาค ๓ – หน้าที่ 219 (เล่ม 34)

๓. พราหมณสูตร
ว่าด้วยธรรมคุณ
[๔๙๓] ครั้งนั้น พราหมณ์ผู้หนึ่งเข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคเจ้า
ครั้นเข้าไปถึงแล้วชื่นชมกับพระผู้มีพระภาคเจ้า ฯลฯ พราหมณ์นั้นนั่ง ณ ที่
ควรส่วนหนึ่งแล้ว กราบทูลถามพระผู้มีพระภาคเจ้าว่า ข้าแต่พระโคดมผู้เจริญ
ที่ว่า พระธรรมเป็นสนฺทิฏฺฐิโก สนฺทิฏฺฐิโก ด้วยเหตุเท่าไร พระธรรมจึงเป็น
สนฺทิฏฺฐิโก อกาลิโก เอหิปสฺสิโก โอปนยิโก ปจฺจตฺตํ เวทิตพฺโพ วิญญูหิ.
พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสตอบว่า พราหมณ์ คนที่เกิดราคะแล้ว อัน
ราคะครอบงำแล้ว มีจิตอันราคะกลุ้มรุมแล้ว ย่อมคิดเพื่อทำตนให้ลำบาก
บ้าง เพื่อทำคนอื่นให้ลำบากบ้าง เพื่อทำให้ลำบากด้วยกันทั้ง ๒ ฝ่ายบ้าง
ย่อมรู้สึกทุกข์โทมนัสในใจบ้าง ครั้นละราคะเสียได้แล้ว เขาก็ไม่คิดเพื่อทำตน
ให้ลำบาก ฯลฯ ไม่รู้สึกทุกข์โทมนัสในใจ อย่างนี้แล พราหมณ์ พระธรรม
เป็นสนฺทิฏฺฐิริโก...
คนที่เกิดโทสะแล้ว อันโทสะครอบงำแล้ว มีจิตอันโทสะกลุ้มรุม
แล้ว ...คนที่เกิดโมหะแล้ว อันโมหะครอบงำแล้ว มีจิตอันโมหะกลุ้มรุม
แล้ว ย่อมคิดเพื่อทำตนให้ลำบากบ้าง ฯลฯ ย่อมรู้สึกทุกข์โทมนัสในใจบ้าง
ครั้นละโทสะ...โมหะเสียได้แล้ว เขาก็ไม่คิดเพื่อทำตนให้ลำบาก ฯลฯ ไม่
รู้สึกทุกข์โทมนัสในใจ แม้อย่างนี้ พราหมณ์ พระธรรมเป็นสนฺทิฏฺฐิโก...
พราหมณ์นั้นกราบทูล (สรรเสริญพระธรรมเทศนาและแสดงตนเป็น
อุบาสก) ว่า ดีจริง ๆ พระโคดมผู้เจริญ พระโคคมผู้เจริญบอกพระธรรม
หลายปริยาย เหมือนหงายของที่คว่ำ เปิดของที่ปกปิด บอกทางแก่คนหลง

219
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก อังคุตรนิกาย ติกนิบาต เล่ม ๑ ภาค ๓ – หน้าที่ 220 (เล่ม 34)

ส่องตะเกียงในที่มืดเพื่อให้คนตาดีเห็นรูปต่าง ๆ ฉะนั้น ข้าพระเจ้าถึงพระ-
โคดมผู้เจริญและพระธรรมพระภิกษุสงฆ์เป็นสรณะ ขอพระโคดมผู้เจริญทรงจำ
ข้าพระเจ้าไว้ว่า เป็นอุบาสกถึงสรณะแล้ว ตลอดชีวิตตั้งแต่วันนี้ไป.
จบพราหมณสูตรที่ ๓
อรรถกถาพราหมณสูตร
พึงทราบวินิจฉัยในพราหมณสูตรที่ ๓ ดังต่อไปนี้:-
บทว่า สมฺโมทนียํ ได้แก่ ให้เกิดการบันเทิงใจ. บทว่า สาราณียํ
ได้แก่ ที่สมควรให้ระลึกถึงกัน. บทว่า วีติสาเรตฺวา แปลว่า ครั้น (ให้
ระลึกถึงกัน ) เรียบร้อยแล้ว. บทว่า กิตฺตาวตา แปลว่า โดยเหตุกี่อย่าง.
บทว่า สนฺทิฏฺฐิโก ธมฺโม โหติ ความว่า เป็นธรรมที่จะพึง
เห็นได้ด้วยตนเอง. บทว่า อกาลิโก ความว่า ไม่ให้ผลในกาลอื่น ด้วย
บทว่า เอหิปสฺสิโก นี้ พราหมณ์ทูลถามถึงอาคมนียปฏิปทาว่า พระธรรม
อันผู้ปฏิบัติสามารถ เพื่อจะชี้ได้อย่างนี้ว่า เอหิ ปสฺส (ท่านจงมาดูเถิด) ดังนี้
บทว่า โอปนยิโก ความว่า พึงน้อมจิตของตนเข้าไปหา. บทว่า ปจฺจตฺตํ
เวทิตพฺโพ ความว่า พึงทราบได้ด้วยตนเองนั่นแหละ. บทว่า วิญฺญูหิ
ได้แก่ บัณฑิตทั้งหลาย. บทว่า ปริยาทินฺนจิตโต ได้แก่ เป็นผู้มีจิตอัน
ราคะถือเอาแล้ว จับแล้ว และลูบคลำแล้ว. บทว่า เจเตติ แปลว่า คิด.
คำที่เหลือในพระสูตรง่ายทั้งนั้นแล. แต่ในพระสูตรนี้ พราหมณ์ทูลถามถึง
โลกุตรมรรค แม้พระบรมศาสดา ก็ตรัสโลกุตรมรรคนั้นเหมือนกัน ด้วยว่า
โลกุตรมรรคนั้น ชื่อว่า สันทิฏฐิกะ. เพราะจะต้องเห็นด้วยตนเอง ฉะนี้แล
จบอรรถกถาพราหมณสูตรที่ ๓

220
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก อังคุตรนิกาย ติกนิบาต เล่ม ๑ ภาค ๓ – หน้าที่ 221 (เล่ม 34)

๔. ปริพาชกสูตร
ว่าด้วยธรรมคุณ
[๔๙๔] ครั้งนั้นแล พราหมณ์ปริพาชกคนหนึ่งได้เข้าไปเฝ้าพระผู้มี
พระภาคเจ้าถึงที่ประทับ ฯลฯ ครั้นแล้วทูลถามว่า ข้าแต่พระโคดมผู้เจริญ
พระองค์ย่อมตรัสว่า ธรรมอันผู้ได้บรรลุจะพึงเห็นเอง ธรรมอันผู้ได้บรรลุจะ
พึงเห็นเอง ดังนี้ ข้าแต่พระโคดมผู้เจริญ ด้วยเหตุเพียงเท่าไรหนอแล ธรรม
จึงเป็นคุณชาติ อันผู้ได้บรรลุจะพึงเห็นเอง ไม่ประกอบด้วยกาล ควรเรียก
ให้มาดู ควรน้อมเข้ามา อันวิญญูชนพึงรู้เฉพาะตน.
พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสตอบว่า ดูก่อนพราหมณ์ บุคคลผู้กำหนัด ถูก
ราคะครอบงำ มีจิตอันราคะกลุ้มรุมแล้ว ย่อมคิดเพื่อเบียดเบียนตนเองบ้าง
ย่อมคิดเพื่อเบียดเบียนคนอื่นบ้าง ย่อมคิดเพื่อเบียดเบียนตนเองและคนอื่น
ทั้งสองฝ่ายบ้าง ย่อมเสวยทุกข์โทมนัสที่เป็นไปทางจิตบ้าง เมื่อละราคะ
ได้แล้วย่อมไม่คิด แม้เพื่อจะเบียดเบียนตนเองเลย ย่อมไม่คิดแม้เพื่อจะ
เบียดเบียนคนอื่น ย่อมไม่คิดแม้เพื่อจะเบียดเบียนตนเองและคนอื่นทั้งสองฝ่าย
ย่อมไม่เสวยทุกข์โทมนัสที่เป็นไปทางจิต. ดูก่อนพราหมณ์ บุคคลผู้กำหนัด
ถูกราคะครอบงำ มีจิตอันราคะกลุ้มรุมแล้ว ย่อมพระพฤติทุจริตด้วยกาย ย่อม
ประพฤติทุจริตด้วยวาจา ย่อมประพฤติทุจริตด้วยใจ เมื่อละราคะได้เด็ดขาด
แล้ว ย่อมไม่ประพฤติทุจริตด้วยกาย ย่อมไม่ประพฤติทุจริตด้วยวาจา ย่อม
ไม่ประพฤติทุจริตด้วยใจ ดูก่อนพราหมณ์ บุคคลผู้กำหนัด ถูกราคะครอบงำ
มีจิตอันราคะกลุ้มรุมแล้ว แม้ประโยชน์ของตนก็ไม่รู้ชัดตามความเป็นจริง
แม้ประโยชน์ของคนอื่นก็ไม่รู้ชัดตามความเป็นจริง แม้ประโยชน์ทั้งสองฝ่าย
ก็ไม่รู้ชัดตามความเป็นจริง เมื่อละราคะได้เด็ดขาดแล้ว แม้ประโยชน์ของตน
ก็ร้ชัดตามความเป็นจริง แม้ประโยชน์ของคนอื่นก็รู้ชัดตามความเป็นจริง
แม้ประโยชน์ทั้งสองฝ่ายก็รู้ชัดตามความเป็นจริง ดูก่อนพราหมณ์ แม้ด้วย

221
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก อังคุตรนิกาย ติกนิบาต เล่ม ๑ ภาค ๓ – หน้าที่ 222 (เล่ม 34)

เหตุดังกล่าวมาฉะนี้แล ธรรมย่อมเป็นคุณชาติอันผู้ได้บรรลุจะพึงเห็นเอง...
ดูก่อนพราหมณ์ บุคคลที่โกรธ ฯลฯ ดูก่อนพราหมณ์ บุคคลผู้หลง
ถูกโมหะครอบงำ มีจิตอันโมหะกลุ้มรุมแล้ว ย่อมคิดเพื่อเบียดเบียนตนเองบ้าง
ย่อมคิดเพื่อเบียดเบียนคนอื่นบ้าง ย่อมคิดเพื่อเบียดเบียนตนเองและคนอื่น
ทั้งสองฝ่ายบ้าง ย่อมเสวยทุกข์โทมนัสที่เป็นไปทางจิตบ้าง เมื่อละโมหะได้
เด็ดขาดแล้ว ย่อมไม่คิดแม้เพื่อจะเบียดเบียนตนเองเลย ย่อมไม่คิดแม้เพื่อจะ
เบียดเบียนคนอื่น ย่อมไม่คิดแม้เพื่อจะเบียดเบียนตนเองและคนอื่นทั้งสองฝ่าย
ย่อมไม่เสวยทุกข์โทมนัสที่เป็นไปทางจิต ดูก่อนพราหมณ์ บุคคลผู้หลง ถูก
โมหะครอบงำ มีจิตอันโมหะกลุ้มรุมแล้ว ย่อมพระพฤติทุจริตด้วยกาย ย่อม
พระพฤติทุจริตด้วยวาจา ย่อมประพฤติทุจริตด้วยใจ เมื่อละโมหะได้เด็ดขาด
แล้ว ย่อมไม่พระพฤติทุจริตด้วยกาย ย่อมไม่ประพฤติทุจริตด้วยวาจา ย่อม
ไม่ประพฤติทุจริตด้วยใจ ดูก่อนพราหมณ์ บุคคลผู้หลง ถูกโมหะครอบงำ
มีจิตอันโมหะกลุ้มรุมแล้ว แม้ประโยชน์ของตนก็ไม่รู้ชัดตามความเป็นจริง
แม้ประโยชน์ของคนอื่นก็ไม่รู้ชัดตามความเป็นจริง แม้ประโยชน์ทั้งสองฝ่ายก็
ไม่รู้ชัดตามความเป็นจริง เมื่อละโมหะได้เด็ดขาดแล้ว แม้ประโยชน์ของตน
ก็รู้ชัดตามความเป็นจริง แม้ประโยชน์ของคนอื่นก็รู้ชัดตามความเป็นจริง
แม้ประโยชน์ทั้งสองฝ่ายก็รู้ชัดตามความเป็นจริง ดูก่อนพราหมณ์ แม้ด้วยเหตุ
ดังกล่าวมาฉะนี้แล ธรรมย่อมเป็นคุณชาติอันผู้ได้บรรลุจะพึงเห็นเอง ไม่
ประกอบด้วยกาล ควรเรียกให้มาดู ควรน้อมเข้ามา อันวิญญูชนพึงรู้เฉพาะตน.
พราหมณ์ปริพาชกนั้นกราบทูลว่า ข้าแต่พระโคดมผู้เจริญ ภาษิตของ
พระองค์แจ่มแจ้งนัก ฯลฯ ขอท่านพระโคดมโปรดทรงจำข้าพระองค์ว่า เป็น
อุบาสกผู้ถึงสรณะตลอดชีวิต จำเดิมแต่วันนี้เป็นต้นไป.
จบปริพาชกสูตรที่ ๔

222
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก อังคุตรนิกาย ติกนิบาต เล่ม ๑ ภาค ๓ – หน้าที่ 223 (เล่ม 34)

อรรถกถาปริพาชกสูตร
พึงทราบวินิจฉัยในปริพาชกสูตรที่ ๔ ดังต่อไปนี้:-
บทว่า พฺราหฺมณปริพฺพาชโก ได้แก่ ปริพาชกผู้เป็นพราหมณ์
โดยกำเนิด ไม่ใช่กษัตริย์เป็นต้น โดยกำเนิด. บทว่า อตฺตตฺถมปิ ความว่า
ประโยชน์ของตน ทั้งในปัจจุบันและสัมปรายภพ ที่เจือด้วยโลกิยะและโลกุตระ.
จบอรรถกถาปริพาชกสูตรที่ ๔
๕. นิพพุตสูตร*
ว่าด้วยพระนิพพาน
[๔๙๕] ครั้งนั้น พราหมณ์ชื่อชานุสโสณี เข้าไปเฝ้าพระผู้มี-
พระภาคเจ้า ฯลฯ พราหมณ์ชานุสโสณีนั่ง ณ ที่ควรส่วนหนึ่งแล้วกราบทูล
พระผู้มีพระภาคเจ้าว่า ข้าแต่พระโคดมผู้เจริญ ที่ว่าพระนิพานเป็นสนฺทิฏฺฐิกํ
สนฺทิฏฺฐิกํ ด้วยเหตุเท่าไร พระนิพพานจึงเป็นสนฺทิฏฺฐิกํ อกาลิกํ
เอหิปสฺสิกํ โอปนยิกํ ปจฺจตฺตํ เวทิตพฺพํ วิญฺญูหิ.
พราหมณ์ คนที่เกิดราคะ โทสะ โมหะแล้ว ย่อมคิดเพื่อทำตัว
ให้ลำบากบ้าง ฯลฯ ย่อมรู้สึกทุกข์โทมนัสในใจบ้าง ครั้นละราคะ โทสะ
โมหะเสียได้แล้ว เขาย่อมไม่คิดเพื่อทำตนให้ลำบาก ฯลฯ ไม่รู้สึกทุกข์
โทมนัสในใจเลย อย่างนี้แล พราหมณ์ พระนิพพานเป็นสนฺทิฏฺฐิกํ...
พราหมณ์ เมื่อบุคคลได้รสความสิ้นราคะ โทสะ โมหะไม่มีเหลือ
นั่นแล พระนิพพานจึงเป็นสนฺทิฏฺฐกํ...
* ความพิสดาร เหมือนข้อ ๔๙๔

223
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก อังคุตรนิกาย ติกนิบาต เล่ม ๑ ภาค ๓ – หน้าที่ 224 (เล่ม 34)

ดีจริง ๆ พระโคดมผู้เจริญ ฯลฯ ขอพระโคดมผู้เจริญทรงจำข้าพระเจ้า
ไว้ว่า เป็นอุบาสกถึงสรณะแล้ว ตลอดชีวิตตั้งแต่วันนี้ไป.
จบนิพพุตสูตรที่ ๕
อรรถกถานิพพุตสูตร
พึงทราบวินิจฉัยใน นิพพุตสูตรที่ ๕ ดังต่อไปนี้:-
บทว่า อกาลิกํ ความว่า ไม่ใช่จะพึงบรรลุในเวลาอื่น. บทว่า
โอปนยิกํ ได้แก่ ควรเข้าถึงด้วยข้อปฏิบัติ.
จบอรรถกถานิพพุตสูตรที่ ๕
๖. ปโลภสูตร
ว่าด้วยเหตุที่ทำให้มนุษย์มีจำนวนน้อยลง
[๔๙๖] ครั้งนั้น พราหมณ์มหาศาลผู้หนึ่ง เข้าไปเฝ้าพระผู้มี-
พระภาคเจ้า ฯลฯ พราหมณ์มหาศาลนั้นนั่ง ณ ที่ควรส่วนหนึ่ง แล้วกราบทูล
พระผู้มีพระภาคเจ้าว่า ข้าแต่พระโคดมผู้เจริญ ข้าพระเจ้าได้ยินพราหมณ์
ผู้เฒ่าผู้ใหญ่แต่ก่อน ๆ ซึ่งเป็นอาจารย์สืบ ๆ กันมา เล่าว่า แต่ก่อน โลกนี้เต็มไป
ด้วยคน ราวกะอเวจีมหานรก คามนิคมชนบทและราชธานี มีหลังคาเรือนตั้ง
(เรียงรายกัน) อยู่ชั่วระยะไก่บินตก ดังนี้ เหตุอะไรปัจจัยอะไรเล่าหนอ
พระโคดมผู้เจริญ เดี๋ยวนี้ คนจึงดูหมดไปเมาบางไป ที่เคยเป็นคาม นิคม
นคร ชนบท ก็ไม่เป็นคาม นิคม นคร ชนบท.

224
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก อังคุตรนิกาย ติกนิบาต เล่ม ๑ ภาค ๓ – หน้าที่ 225 (เล่ม 34)

พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสตอบว่า พราหมณ์ คนเดี๋ยวนี้กำหนัด ยินดี
ไม่เป็นธรรม โลภเกินสมควร มุ่งไปแต่ทางมิจฉาธรรม เขาทั้งหลายกำหนัด
ยินดีไม่เป็นธรรม โลภเกินสมควร มุ่งไปแต่ทางมิจฉาธรรมแล้วก็จับศาสตรา
อันคมฆ่ากันและกัน คนเป็นอันมากตายไป เพราะเหตุนั้น นี่เป็นเหตุเป็นปัจจัย
อันหนึ่ง ซึ่งทำให้คนเดี๋ยวนี้ดูหมดไปเบาบางไป ที่เคยเป็นคาม นิคม
นคร ชนบท จึงไม่เป็นคาม นิคม นคร ชนบท.
อีกข้อหนึ่ง พราหมณ์ คนเดี๋ยวนี้ กำหนัดยินดีไม่เป็นธรรม โลภ
เกินสมควร มุ่งไปแต่ทางมิจฉาธรรม เมื่อเขาทั้งหลายกำหนัดยินดีไม่เป็นธรรม
โลภเกินสมควร มุ่งไปแต่ทางมิจฉาธรรม ฝนจึงไม่ตกตามฤดูกาล ด้วยเหตุ
นั้นจึงเกิดทุพภิกขภัย ข้าวเสีย เป็นขยอก ตายฝอย คนเป็นอันมากตายไป
เพราะเหตุนั้น นี่ก็เป็นเหตุเป็นปัจจัยอันหนึ่ง ซึ่งทำให้คนเดี๋ยวนี้ดูหมดไป
เบาบ้างไป ที่เคยเป็นคาม นิคม นคร ชนบท จึงไม่เป็นคาม นิคม
นคร ชนบท.
อีกข้อหนึ่ง พราหมณ์ คนเดี๋ยวนี้กำหนัดยินดีไม่เป็นธรรม โลภ
เกินสมควร มุ่งไปแต่ทางมิจฉาธรรม เมื่อเขาทั้งหลายกำหนัดยินดีไม่เป็นธรรม
โลภเกินสมควร มุ่งไปแต่ทางมิจฉาธรรม ยักษ์ทั้งหลายจึงปล่อยอมนุษย์ร้าย
คนเป็นอันมากตายไปเพราะเหตุนั้น นี่ก็เป็นเหตุเป็นปัจจัยอันหนึ่ง ซึ่งทำให้คน
เดี๋ยวนี้ดูหมดไปเบาบางไป ที่เคยเป็นคาม นิคม นคร ชนบท จึงไม่เป็นคาม
นิคม นคร ชนบท.
ดีจริง ๆ พระโคดมผู้เจริญ ฯลฯ ขอพระโคคมผู้เจริญทรงจำข้าพระ-
องค์ไว้ว่า เป็นอุบาสกถึงสรณะแล้ว จนตลอดชีวิตตั้งแต่วันนี้ไป.
จบปโลภสูตรที่ ๖

225
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก อังคุตรนิกาย ติกนิบาต เล่ม ๑ ภาค ๓ – หน้าที่ 226 (เล่ม 34)

อรรถกถาปโลภสูตร
พึงทราบวินิจฉัยใน ปโลภสูตรที่ ๖ ดังต่อไปนี้:-
บทว่า อาจริยปาจริยานํ ความว่า ทั้งอาจารย์ทั้งหลาย ทั้งอาจารย์
ของอาจารย์ทั้งหลาย. บทว่า อวีจิ มญฺเญ ผุฏโฐ โหติ ความว่า
เต็มเปี่ยมไปด้วยมนุษย์ทั้งหลาย เหมือนอเวจีมหานรกที่สัตว์สัมผัสแล้ว คือ
เต็มเปี่ยมไปด้วยเหล่าสัตว์นรกชั่วนิรันดร. บทว่า กุกฺกุฏสมฺปาติกา ความว่า
การบินตกของไก่ กล่าวคือ การที่ไก่บินไปจากหลังคาของหมู่บ้านแห่งหนึ่ง
ไปตกลงที่หลังคาหมู่บ้านอีกหมู่หนึ่ง มีอยู่ในหมู่บ้านเหล่านี้ เพราะเหตุนั้น
หมู่บ้านเหล่านี้ จึงชื่อว่า กุกกุฏสัมปาติกะ (มีอยู่ชั่วไก่บินตก) ปาฐะว่า
กุกฺกุฏสมฺปาทิกา ก็มี. มีอธิบายว่า การตกของไก่ กล่าวคือการย่างเดินไป
ของไก่จากละแวกหมู่บ้าน สู่ละแวกหมู่บ้าน มีอยู่ในหมู่บ้านเหล่านี้. แม้ทั้ง
สองบทนี้ พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงแสดงถึงการอยู่กันอย่างหนาแน่นทั้งนั้น.
บทว่า อธมฺมราครตฺตา ความว่า ราคะเป็นอธรรมโดยส่วนเดียว
เท่านั้น แต่ราคะที่เกิดขึ้นในบริขารของตน ไม่ทรงหมายเอาว่าเป็นอธรรมราคะ
ราคะที่เกิดขึ้นในบริขารของคนอื่น จึงทรงประสงค์เอาความเป็นอธรรมราคะ.
บทว่า วิสมโลภาภิภูตา ความว่า ขึ้นชื่อว่าโลภะ จะมีเวลาสม่ำเสมอ
ไม่มี. โลภะนี้ไม่สม่ำเสมอโดยส่วนเดียวเท่านั้น แต่ว่าเมื่อเกิดขึ้นในวัตถุที่ตน
หวงแหน ชื่อว่า สมโลภะ ที่เกิดขึ้นในวัตถุที่ผู้อื่นหวงแหนเท่านั้น ทรงประสงค์
เอาว่า วิสมโลภะ. บทว่า มิจฺฉาธมฺมปเรตา ความว่า ประกอบด้วยธรรม
ฝ่ายผิด กล่าวคือการซ่องเสพสิ่งที่ไม่ใช่วัตถุ.

226
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก อังคุตรนิกาย ติกนิบาต เล่ม ๑ ภาค ๓ – หน้าที่ 227 (เล่ม 34)

บทว่า เทโว น สมฺมา ธารํ อนุปฺปเวจฺฉติ ความว่า ฝนไม่ตก
ในเวลาที่ควรจะตก. บทว่า ทุพฺภิกฺขํ ได้แก่ภิกษาที่หาได้ยาก. บทว่า
ทุสฺสสฺสํ ความว่า ชื่อว่า ข้าวกล้าเสียหาย เพราะข้าวกล้านานาชนิดไม่เผล็ดผล.
บทว่า เสตฏฺฐิกํ ความว่า เมื่อข้าวกล้ากำลังออกรวง หมู่หนอนจะลงกิน
รวงข้าวที่ออกแล้ว จะมีสีขาว ไม่มีเนื้อ เพราะถูกหนอนเหล่านั้นชอนไช.
ทรงหมายเอาข้าวลีบนั้นตรัสว่า เสตฏฺฐิกํ ดังนี้. บทว่า สลากวุตฺตํ
ความว่า ข้าวกล้าที่หว่านแล้ว ๆ งอกงามเพียงตั้งลำต้นเท่านั้น อธิบายว่า
ไม่ออกรวง. บทว่า ยกฺขา ได้แก่ยักษ์ผู้เป็นอธิบดี. บทว่า วาเฬ อมนุสฺเส
โอสฺสชฺชนฺติ ความว่า ปล่อยยักษ์ร้ายไปในถิ่นมนุษย์. ยักษ์เหล่านั้น
ได้โอกาส ย่อมทำให้มหาชนถึงความสิ้นชีวิต.
จบอรรถกถาปโลภสูตรที่ ๖
๗. ชัปปสูตร
ว่าด้วยผู้รับที่ทำให้ทานมีผลมาก
[๔๙๗] ครั้งนั้น ปริพาชกวัจฉโคตร เข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระ-
ภาคเจ้า ฯลฯ ปริพาชกวัจฉโคตรนั่ง ณ ที่ควรส่วนหนึ่งแล้วกราบทูล
พระผู้มีพระภาคเจ้าว่า ข้าแต่พระโคดมผู้เจริญ ข้าพระเจ้าได้ยินเขาว่า พระ-
สมณโคดมตรัสอย่างนี้ว่า ทานควรให้แก่เราเท่านั้น ไม่ควรให้แก่คนอื่น ๆ
ควรให้แก่สาวกของเราเท่านั้น ไม่ควรให้แก่สาวกของคนอื่น ๆ ทานที่ให้แก่
เราเท่านั้นมีผลมาก ให้แก่คนอื่น ๆ ไม่มีผลมาก ให้แก่สาวกของเราเท่านั้น
มีผลมาก ให้แก่สาวกของคนอื่น ๆ ไม่มีผลมาก ดังนี้ ข้าแต่พระโคดมผู้เจริญ

227
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก อังคุตรนิกาย ติกนิบาต เล่ม ๑ ภาค ๓ – หน้าที่ 228 (เล่ม 34)

ชนเหล่าที่กล่าวว่า พระสมณโคดมตรัสว่า ทานควรให้แก่เราเท่านั้น ฯลฯ
ให้แก่สาวกของคนอื่น ๆ ไม่มีผลมาก ดังนี้ ชนเหล่านั้นกล่าวตามคำที่พระ-
โคดมผู้เจริญได้ตรัสไว้จริงละหรือ เขาไม่ใส่ความพระโคดมผู้เจริญด้วยเรื่อง
อันไม่จริงละหรือ เขากล่าวแก้ธรรมสมควรแก่ธรรมละหรือ การถือตามถ้อยคำ
ที่ชอบแก่เหตุอย่างใดอย่างหนึ่ง จะไม่ตกอยู่ในฐานที่น่าตำหนิละหรือความจริง
พวกข้าพระเจ้าไม่ประสงค์จะใส่ความพระโคดมผู้เจริญเลย
พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสตอบว่า วัจฉะ ชนเหล่าที่กล่าวว่า พระ-
สมณโคดมตรัสว่า ทานควรให้แก่เราเท่านั้น ฯลฯ ให้แก่สาวกของคนอื่น ๆ
ไม่มีผลมาก ดังนี้ ชนเหล่านั้นมิได้กล่าวตามคำที่เรากล่าว อนึ่ง ชนเหล่านั้น
ใส่ความเราด้วยเรื่องอันไม่มีไม่เป็นจริง วัจฉะ ผู้ใดห้ามคนอื่นที่ให้ทาน ผู้นั้น
ชื่อว่าทำอันตรายต่อคน ๓ คน ทำร้ายต่อคน ๓ คน ๓ คนคือใคร คือทำ
อันตรายต่อบุญของทายก ทำอันตรายต่อลาภของปฏิคาหก อนึ่ง ตัวของผู้นั้น
ชื่อว่าถูกก่น (ขุดรากคือความดี) และถูกประหาร (ตายไปจากความดี) เสียก่อน
แล้ว วัจฉะ ผู้ใดห้ามคนอื่นที่ให้ทาน ผู้นั้นชื่อว่าทำอันตรายต่อคน ๓ คน
ทำร้ายต่อคน ๓ คนนี้
เราตถาคตกล่าวอย่างนี้ต่างหาก วัจฉะ ว่า แม้สัตว์ทั้งหลายที่อยู่ใน
หลุมโสโครกหรือท่อโสโครก ผู้ใดเทน้ำล้างหม้อก็ดี น้ำล้างชามก็ดี ลงไปใน
หลุมและท่อโสโครกนั้น ด้วยเจตนาให้สัตว์ในนั้นได้เลี้ยงชีพ อย่างนี้เราตถาคต
ยังกล่าวการได้บุญอันมีกิริยาที่ทำอย่างนั้นเป็นมูล จะกล่าวอะไร (ถึงการให้ทาน)
ในผู้ที่เป็นมนุษย์เล่า
แต่นั่นแหละ วัจฉะ เราตถาคตกล่าวว่า ทานที่ให้แก่ผู้มีศีลมีผลมาก
หาได้กล่าวอย่างนั้นในผู้ทุศีลไม่ และผู้มีศีลนั้นเป็นผู้ละองค์ ๕ ประกอบด้วย

228