No Favorites




หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก อังคุตรนิกาย ติกนิบาต เล่ม ๑ ภาค ๓ – หน้าที่ 29 (เล่ม 34)

ดอกไม้ ของหอม เครื่องลูบไล้ ที่นอน ที่อยู่ และเครื่องประทีป บุคคล
ผู้นั้นได้ยินข่าวว่า เจ้าผู้มีพระนามอย่างนี้ อันเจ้าทั้งหลายอภิเษกให้เป็น
กษัตริย์แล้ว ความหวังอย่างนี้ย่อมไม่มีแก่บุคคลนั้นว่า เมื่อไรหนา เจ้าทั้งหลาย
จักอภิเษกเราให้เป็นกษัตริย์บ้าง นี่ ภิกษุทั้งหลาย เราเรียกว่า บุคคลผู้ไร้
ความหวัง
ก็บุคคลอย่างไร ชื่อว่าผู้มีส่วนแห่งความหวัง ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย
พระโอรสองค์ใหญ่ของพระราชาผู้เป็นกษัตริย์มุรธาภิเษก ยังมิได้รับอภิเษก
ด้วยน้ำอภิเษก เป็นผู้มั่นคงแล้ว พระโอรสนั้นได้สดับข่าวว่า เจ้าผู้มี
พระนามอย่างนี้ อันเจ้าทั้งหลายอภิเษกให้เป็นกษัตริย์แล้ว ความหวังอย่างนี้
ย่อมมีได้แก่พระโอรสนั้นว่า เมื่อไรหนา เจ้าทั้งหลายจักอภิเษกเราให้เป็น
กษัตริย์บ้าง นี่ ภิกษุทั้งหลาย เราเรียกว่า บุคคลผู้มีส่วนแห่งความหวัง
ก็บุคคลอย่างไร ชื่อว่าผู้สิ้นความหวังแล้ว ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย
พระราชาได้เป็นกษัตริย์มุรธาภิเษกแล้ว พระราชานั้นทรงสดับข่าวว่า เจ้าผู้มี
พระนามอย่างนี้ อันเจ้าทั้งหลายอภิเษกให้เป็นกษัตริย์แล้ว ความหวังอย่างนี้
ไม่มีแก่พระราชานั้นว่า เมื่อไรหนา เจ้าทั้งหลายจักอภิเษกให้เราเป็นกษัตริย์
บ้าง นั่นเพราะเหตุอะไร เพราะความหวังในการอภิเษกของพระองค์เมื่อครั้ง
ยังมิได้อภิเษกนั้นรำงับไปแล้ว นี่ ภิกษุทั้งหลาย เราเรียกว่าบุคคลผู้สิ้น
ความหวังแล้ว
นี้แล ภิกษุทั้งหลาย บุคคล ๓ จำพวกมีอยู่ในโลก
ฉันนั้นเหมือนกันแล ภิกษุทั้งหลาย บุคคล ๓ จำพวกก็มีอยู่ในหมู่
ภิกษุ บุคคล ๓ จำพวกไหนบ้าง คือ บุคคลผู้ไร้ความหวัง บุคคลผู้มีส่วน
แห่งความหวัง บุคคลผู้สิ้นความหวังแล้ว

29
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก อังคุตรนิกาย ติกนิบาต เล่ม ๑ ภาค ๓ – หน้าที่ 30 (เล่ม 34)

ก็บุคคลอย่างไร ชื่อว่าผู้ไร้ความหวัง ? ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย บุคคล
ลางคนในโลกนี้ เป็นผู้ทุศีล มีธรรมอันลามก (มีการกระทำ) ไม่สะอาด
มีความประพฤติน่ารังเกียจ มีการงานอันปกปิด ไม่เป็นสมณะ แต่ปฏิญญา
ว่าเป็นสมณะ ไม่เป็นพรหมจารี แต่ปฏิญญาว่าเป็นพรหมจารี เป็นคนเน่าใน
เปียกชื้นรกเรื้อ (ด้วยกิเลสโทษ) บุคคลนั้นได้ยินข่าวว่า ภิกษุชื่อนี้กระทำ
ให้แจ้งเข้าถึงพร้อมซึ่งเจโตวิมุตติ ปัญญาวิมุตติ อันหาอาสวะมิได้ เพราะ
สิ้นอาสวะทั้งหลาย ด้วยความรู้ยิ่งด้วยตนเองอยู่ในปัจจุบันนี่ ความหวังอย่างนี้
ย่อมไม่มีแก่บุคคลนั้นว่า เมื่อไรเล่า เราจักกระทำให้แจ้งเข้าถึงพร้อมซึ่ง
เจโตวิมุตติ ปัญญาวิมุตติ ฯลฯ อยู่ในปัจจุบันนี้บ้าง นี่ ภิกษุทั้งหลาย เรา
เรียกว่า บุคคลผู้ไร้ความหวัง
ก็บุคคลอย่างไร ชื่อว่าผู้มีส่วนแห่งความหวัง ? ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย
ภิกษุในธรรมวินัยนี้ เป็นผู้มีศีล มีธรรมอันงาม ภิกษุนั้นได้ยินข่าวว่า ภิกษุ
ชื่อนี้ กระทำให้แจ้งเข้าถึงพร้อมซึ่งเจโตวิมุตติ ปัญญาวิมุตติ ฯลฯ อยู่ใน
ปัจจุบันนี้ ความหวังอย่างนี้ย่อมมีได้แก่ภิกษุนั้นว่า เมื่อไรเล่า เราจักกระทำ
ให้แจ้งเข้าถึงพร้อมซึ่งเจโตวิมุตติ ปัญญาวิมุตติ ฯลฯ อยู่ในปัจจุบันนี้บ้าง นี่
ภิกษุทั้งหลาย เราเรียกว่า บุคคลผู้มีส่วนแห่งความหวัง
ก็บุคคลอย่างไร ชื่อว่าผู้สิ้นความหวังแล้ว ? ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย
ภิกษุในธรรมวินัยนี้เป็นพระอรหันต์สิ้นอาสวะแล้ว เธอได้ยินข่าวว่า ภิกษุ
ชื่อนี้ การทำให้แจ้งเข้าถึงพร้อมซึ่งเจโตวิมุตติ ปัญญาวิมุตติ ฯลฯ อยู่ใน
ปัจจุบันนี่ ความหวังอย่างนี้ย่อมไม่มีแก่เธอว่า เมื่อไรเล่า เราจักกระทำให้
แจ้งเข้าถึงพร้อมซึ่งเจโตวิมุตติ ปัญญาวิมุตติ ฯลฯ อยู่ในปัจจุบันนี้บ้าง นั่น

30
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก อังคุตรนิกาย ติกนิบาต เล่ม ๑ ภาค ๓ – หน้าที่ 31 (เล่ม 34)

เพราะเหตุอะไร เพราะความหวังในวิมุตติของเธอ เมื่อครั้งยังไม่วิมุตตินั้น
รำงับไปแล้ว นี่ ภิกษุทั้งหลาย เราเรียกว่า บุคคลผู้สิ้นความหวังแล้ว
นี้แล ภิกษุทั้งหลาย บุคคล ๓ จำพวกมีอยู่ในหมู่ภิกษุ.
จบภิกขุสูตรที่ ๓
อรรถกถาภิกขุสูตร
พึงทราบวินิจฉัย ในภิกขุสูตรที่ ๓ ดังต่อไปนี้:-
บทว่า สนฺโต แปลว่า มีอยู่ คือหาได้อยู่. บทว่า สํวิชฺชมานา
เป็นไวพจน์ของบทว่า สนฺโต นั้นนั่นแล. บทว่า โลกสฺมึ ได้แก่ ใน
สัตว์โลก. บทว่า นิราโส ได้แก่บุคคลผู้ไม่มีความหวัง คือ ไม่มีความ
ปรารถนา.
อธิบายบทว่า อาสํโส - วิคตาโส
บทว่า อาสํโส ได้แก่ บุคคลยังหวังอยู่ คือยังปรารถนาอยู่. บทว่า
วิคตาโส ได้แก่ บุคคลผู้เลิกหวังแล้ว. บทว่า จณฺฑาลกุเล ได้แก่ ใน
ตระกูลของคนจัณฑาลทั้งหลาย. บทว่า เวณกุเล ได้แก่ ในตระกูลของช่าง
สาน.๑ บทว่า เนสาทกุเล ได้แก่ ในตระกูลของนายพราน มีนายพราน
เนื้อเป็นต้น. บทว่า รถการกุเล ได้แก่ในตระกูลช่างหนัง. บทว่า ปุกฺกุสกุเล
ได้แก่ ในตระกูลของคนเทขยะ.
ครั้นทรงแสดงความวิบัติของตระกูลด้วยเหตุเพียงเท่านี้แล้ว บัดนี้
เพราะเหตุที่บุคคลลางคน แม้เกิดในตระกูลต่ำก็ยังมั่งคั่ง มีทรัพย์มาก แต่บุคคล
๑. ปาฐะว่า วิวินฺนการกุเล ฉบับพม่าเป็น วิลีวการกุเล แปลตามฉบับพม่า.

31
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก อังคุตรนิกาย ติกนิบาต เล่ม ๑ ภาค ๓ – หน้าที่ 32 (เล่ม 34)

ผู้ไม่มีหวังนี้ หาเป็นเช่นนั้นไม่ ฉะนั้น เพื่อจะทรงแสดงถึงความวิบัติแห่งโภคะ
ของเขา จึงตรัสคำว่า ทลิทฺเท เป็นต้น.
บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า ทลิทฺเท ได้แก่ ผู้ประกอบด้วยความ
เป็นผู้ยากจน. บทว่า อปฺปนฺนปานโภชเน ได้แก่ ตระกูล ที่มีข้าวน้ำ
และของบริโภคอยู่น้อย. บทว่า กสิรวุตฺติเก ได้แก่ ตระกูล ที่มีการเลี้ยง
ชีพลำบาก อธิบายว่า ในตระกูลที่คนทั้งหลาย ใช้ความพยายาม พากเพียร
อย่างยิ่ง สำเร็จการเลี้ยงชีวิต. บทว่า ยตฺถ กสิเรน ฆาสจฺฉาโท ลพฺภติ
ความว่า คนในตระกูลใด ทำมาหากิน ได้ของกิน คือ ข้าวยาคูและภัตร
และเครื่องนุ่งห่มที่พอปกปิดอวัยวะที่น่าละอายโดยยาก.
บัดนี้ เพราะเหตุที่บุคคลลางคนแม้เกิดในตระกูลต่ำมีอุปธิสมบัติ
คือดำรงอยู่ในการที่มีร่างกายสมประกอบ แต่ว่าบุคคลนี้ไม่เป็นเช่นนั้น ฉะนั้น
เพื่อจะทรงแสดงความวิบัติแห่งร่างกายของเขา พระผู้มีพระภาคเจ้า จึงตรัส
คำว่า โส จ โหติ ทุพฺพณฺโณ เป็นต้น.
บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า ทุพฺพณฺโณ ความว่า มีผิวพรรณดัง
ตอถูกไฟไหม้ คล้ายปีศาจคลุกฝุ่น.
บทว่า ทุทฺทสิโก ได้แก่ ไม่เป็นที่เจริญตา แม้ของมารดา บังเกิด
เกล้า. บทว่า โอโกฏิมโก ได้แก่คนเตี้ย. บทว่า กาโณ ได้แก่คนตาบอด
ข้างเดียวบ้าง คนตาบอดสองข้างบ้าง. บทว่า กุณิ ได้แก่ คนมือเป็นง่อย
ข้างเดียวบ้าง ง่อยทั้งสองข้างบ้าง. บทว่า ขญฺโช ได้แก่ คนขาเขยกข้าง
เดียวบ้าง คนขาเขยกทั้งสองข้างบ้าง. บทว่า ปกฺขหโต ได้แก่ คนเปลี้ย
คือคนง่อย.
บทว่า ปทีเปยฺยสฺส ได้แก่ อุปกรณ์แสงสว่าง มีน้ำมันและกระเบื้อง
เป็นต้น. บทว่า ตสฺส น เอวํ โหติ ความว่า คนนั้นย่อมไม่มีความคิดอย่างนี้.
ถามว่า เพราะเหตุไร จึงไม่มี.

32
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก อังคุตรนิกาย ติกนิบาต เล่ม ๑ ภาค ๓ – หน้าที่ 33 (เล่ม 34)

ตอบว่า เพราะเขาเกิดในตระกูลต่ำ.
บทว่า เชฏฺโฐ ความว่า เมื่อพระราชโอรสอีกพระองค์หนึ่งที่เป็น
องค์โตยังมีอยู่ พระราชโอรสองค์เล็ก ก็ไม่ทรงทำความหวัง เพราะเหตุนั้น
พระผู้มีพระภาคเจ้า จึงตรัสว่า เชฏฺโฐ ดังนี้. บทว่า อภิเสโก ความว่า
แม้พระราชโอรสองค์โตก็ยังไม่ควรอภิเษก จึงไม่ทรงทำความหวัง เพราะเหตุ
นั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าจึงตรัสว่า อภิเสโก ดังนี้. บทว่า อนภิสิตฺโต
ความว่า แม้พระราชโอรสที่ควรแก่การอภิเษกซึ่งเว้นจากโทษ มีพระเนตรบอด
และพระหัตถ์หงิกง่อยเป็นต้น ได้รับอภิเษกครั้งเดียวแล้ว ก็ไม่ทรงทำความ
หวังในการอภิเษกอีก เพราะเหตุนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้า จึงตรัสว่า
อนภิสิตฺโต ดังนี้. บทว่า มจลปฺปตฺโต๑ ความว่า ฝ่ายพระราชโอรส
องค์โตก็ยังเป็นเด็กอ่อนนอนแบเบาะ มิได้รับการอภิเษก พระราชโอรสแม้นั้น
มิได้ทำความหวังในการอภิเษก แต่ต่อมา ทรงมีพระชนมายุ ได้ ๑๖ พรรษาเริ่ม
มีพระมัสสุปรากฏ ชื่อว่าทรงบรรลุนิติภาวะ สามารถจะว่าราชการใหญ่ได้
เพราะเหตุนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้า จึงตรัสว่า มจลปฺปตฺโต ดังนี้. บทว่า
ตสฺส เอวํ โหติ ได้แก่ ถามว่า เพราะเหตุไร พระราชโอรสนั้น จึงมีพระ-
ดำริอย่างนี้. ตอบว่า เพราะพระองค์มีพระชาติสูง.
บทว่า ทุสฺสีโล ได้แก่ ผู้ไม่มีศีล. บทว่า ปาปธมฺโม ได้แก่ ผู้มี
ธรรมอันลามก. บทว่า อสุจิ ได้แก่ผู้ประกอบด้วยกรรมทั้งหลาย มีกายกรรม
เป็นต้นอันไม่สะอาด. บทว่า สงฺกสฺสรสมาจาโร ความว่า ผู้มีสมาจารอัน
บุคคลอื่น พึงระลึกถึงด้วยความรังเกียจ คือมีสมาจารเป็นที่ตั้งแห่งความรังเกียจ
ของคนอื่นอย่างนี้ว่า ผู้นี้ชะรอยจักทำบาปกรรมนี้ เพราะเขาได้เห็นบาปกรรม
๑. ในพระบาลี เป็น อจลปฺปตฺโต.

33
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก อังคุตรนิกาย ติกนิบาต เล่ม ๑ ภาค ๓ – หน้าที่ 34 (เล่ม 34)

บางอย่างที่ไม่เหมาะสม. อีกอย่างหนึ่ง อธิบายว่า มีสมาจารที่ตนนั่นแล พึง
ระลึกถึงด้วยความระแวง ชื่อว่า สงฺกสฺสรสมาจาโร. จริงอยู่ ภิกษุนั้น
เห็นภิกษุทั้งหลายประชุมปรึกษากันถึงเรื่องบางเรื่องในที่ทั้งหลายมีที่พักกลางวัน
เป็นต้น แล้วก็มีความคิดอย่างนี้ว่า ภิกษุเหล่านี้จับกลุ่มกันปรึกษา พวกเธอ
รู้กรรมที่เราทำแล้วจึงปรึกษากัน หรือหนอแล อย่างนี้ เธอชื่อว่า มีสมาจาร
ที่ตนเองพึงระลึกถึงด้วยความระแวง. บทว่า ปฏิจฺฉนฺนกมฺมนฺโต ความว่า
ผู้ประกอบด้วยบาปกรรมที่ต้องปิดบัง. บทว่า อสฺสมโณ สมณปฏิญฺโญ
ความว่า บุคคลไม่เป็นสมณะเลย แต่กลับปฏิญญาอย่างนี้ว่า เราเป็นสมณะ
เพราะเขาเป็นสมณะเทียม.
บทว่า อพฺรหฺมจารี พฺรหฺมจารีปฏิญฺโญ ความว่า บุคคลไม่เป็น
พรหมจารีเลย แต่เห็นผู้อื่นที่เป็นพรหมจารีนุ่งห่มเรียบร้อย ครองผ้าสีดอกโกสุม
เที่ยวบิณฑบาต เลี้ยงชีวิตอยู่ในคามนิคมราชธานี ก็ทำเป็นเหมือนให้ปฏิญญา
ว่า เราเป็นพรหมจารี เพราะแม้ตนเองก็ปฏิบัติด้วยอาการเช่นนั้น คืออย่าง
นั้น. แต่เมื่อกล่าวว่า เราเป็นภิกษุ แล้วเข้าไปยังโรงอุโบสถเป็นต้น ชื่อว่า
ปฏิญญาว่าเป็นพรหมจารี แท้ทีเดียว. เมื่อจะรับลาภของสงฆ์ก็ทำนองเดียวกัน
คือปฏิญญาว่าเป็นพรหมจารี.
บทว่า อนฺโตปูติ ได้แก่ มีภายในหมักหมมด้วยกรรมเสีย. บทว่า
อวสฺสุโต ได้แก่ ผู้เปียกชุ่มด้วยกิเลสทั้งหลายมีราคะเป็นต้น ที่เกิดอยู่เสมอ
บทว่า ตสฺส น เอวํ โหติ ความว่า บุคคลนั้น ไม่มีความคิดอย่างนี้
เพราะเหตุไร เพราะเขาไม่มีอุปนิสัยแห่งโลกุตรธรรม. บทว่า ตสฺส เอวํ
โหติ ความว่า เพราะเหตุไร เธอจึงมีความคิดอย่างนี้ เพราะเธอเป็นผู้มี
ปกติทำให้บริบูรณ์ในมหาศีล.
จบอรรถกถาภิกขุสูตรที่ ๓

34
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก อังคุตรนิกาย ติกนิบาต เล่ม ๑ ภาค ๓ – หน้าที่ 35 (เล่ม 34)

๔. จักกวัตติสูตร
ว่าด้วยราชาของพระเจ้าจักรพรรดิและของพระพุทธองค์
[๔๕๓] ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย แม้พระเจ้าจักรพรรดิ ผู้ทรงธรรม
เป็นธรรมราชา ย่อมไม่ยังจักรอันไม่มีพระราชาให้เป็นไป ครั้นพระผู้มีพระ-
ภาคเจ้าตรัสอย่างนี้แล้ว ภิกษุรูปหนึ่งได้กราบทูลถามพระผู้มีพระภาคเจ้าว่า
ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ก็ใครเป็นพระราชาของพระเจ้าจักรพรรดิผู้ทรงธรรม
เป็นธรรมราชา พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า ดูก่อนภิกษุ ธรรม เป็นพระราชา
ของพระเจ้าจักรพรรดิ พระเจ้าจักรพรรดิ ... ทรงอาศัยธรรมนั่นแล ทรง
สักการะ ... เคารพ ... นบนอบธรรม มีธรรมเป็นธง มีธรรมเป็นตรา มี
ธรรมเป็นอธิปไตย จัดการรักษาป้องกันคุ้มครองอย่างยุติธรรม ในอันโตชน๑
... ในกษัตริย์ ... ในอนุยนต์๒... ในทหาร ... ในพราหมณคฤหบดี ... ใน
ชาวนิคมชนบท ... ในสมณพราหมณ์ ... ในเนื้อและนกทั้งหลาย ดูก่อนภิกษุ
พระเจ้าจักรพรรดิ ... นั้นแล ครั้นทรงอาศัยธรรม ทรงสักการะ ... เคารพ ...
นบนอบธรรม มีธรรมเป็นธง มีธรรมเป็นตรา มีธรรมเป็นอธิปไตย จัดการ
รักษาป้องกันคุ้มครองอย่างยุติธรรม ในอันโตชน ... ในกษัตริย์ ... ใน
อนุยนต์ ... ในทหาร ... ในพราหมณคฤหบดี ... ในชาวนิคมชนบท ... ใน
สมณพราหมณ์ ... ในเนื้อและนกทั้งหลายแล้ว ทรงยังจักรให้เป็นไปโดยธรรม
นั้นเทียว จักรนั้นจึงเป็นจักรอันข้าศึกผู้เป็นมนุษย์ไร ๆ ให้เป็นไปตอบไม่ได้
(คือต้านทานคัดค้านไม่ได้)
ดูก่อนภิกษุ พระตถาคตอรหันตสัมมาสัมพุทธะก็อย่างนั้นเหมือนกัน
เป็นผู้ทรงธรรม เป็นพระธรรมราชา ทรงอาศัยธรรมเท่านั้น ทรงสักการะ ...
๑. คนในครัวเรือน คือ ในราชสำนัก ๒. ราชบริพาร

35
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก อังคุตรนิกาย ติกนิบาต เล่ม ๑ ภาค ๓ – หน้าที่ 36 (เล่ม 34)

เคารพ ... นบนอบธรรม มีธรรมเป็นธง มีธรรมเป็นตรา มีธรรมเป็น
อธิปไตย จัดการรักษาป้องกันคุ้มครองที่เป็นธรรมในกายกรรม ด้วยโอวาทว่า
กายกรรมอย่างนี้ควรประพฤติ กายกรรมอย่างนี้ไม่ควรประพฤติ ... ในวจีกรรม
ด้วยโอวาทว่า วจีกรรมอย่างนี้ควรประพฤติ วจีกรรมอย่างนี้ไม่ควรพระพฤติ
... ในมโนกรรม ด้วยโอวาทว่า มโนกรรมอย่างนี้ควรประพฤติ มโนกรรม
อย่างนี้ไม่ควรพระพฤติ ดูก่อนภิกษุ พระตถาคตอรหันตสัมมาสัมพุทธะผู้ทรง
ธรรมเป็นพระธรรมราชานั้นแล ครั้นทรงอาศัยธรรม ทรงสักการะ ...
เคารพ ... นบนอบธรรม มีธรรมเป็นธง มีธรรมเป็นตรา มีธรรมเป็น
อธิปไตย จัดการรักษาป้องกันคุ้มครองที่เป็นธรรมในกายกรรม ... ในวจีกรรม
... ในมโนกรรมแล้ว ทรงยังพระธรรมจักรอย่างยอดเยี่ยมให้เป็นไปโดยธรรม
นั่นเทียว พระธรรมจักรนั้นจึงเป็นจักรอันสมณะหรือพราหมณ์หรือเทวดา
หรือมารหรือพรหมหรือใคร ๆ ในโลก ให้เป็นไปตอบไม่ได้.
จบจักกวัตติสูตรที่ ๔
อรรถกถาจักกวัตติสูตร
พึงทราบวินิจฉัยในจักกวัตติสูตรที่ ๔ ดังต่อไปนี้:-
ความหมายของคำว่า ราชา
ที่ชื่อว่า ราชา เพราะหมายความว่า ทำให้ประชาชนรักด้วยสังคห-
วัตถุ ๔. ที่ชื่อว่า จักรพรรดิ เพราะหมายความว่า ทำจักรให้หมุนไป.
ที่ชื่อว่า ธัมมิกะ เพราะหมายความว่า มีธรรม. ที่ชื่อว่า ธรรมราชา

36
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก อังคุตรนิกาย ติกนิบาต เล่ม ๑ ภาค ๓ – หน้าที่ 37 (เล่ม 34)

เพราะหมายความว่า ทรงเป็นพระราชาด้วยธรรมนั่นเอง คือ ด้วยจักรพรรดิ
วัตร ๑๐ ประการ. บทว่า โสปิ น อราชกํ ความว่า พระเจ้าจักรพรรดิแม้นั้น
เมื่อไม่ได้พระราชาอื่นเป็นที่อาศัย๑ ก็ไม่ทรงสามารถจะปล่อยจักรไปได้.
พระศาสดาทรงเริ่มเทศนาไว้อย่างนี้แล้ว ได้ทรงนิ่งเสีย. ถามว่า เพราะ
เหตุไร. ตอบว่า เพราะพระองค์ทรงดำริว่า ภิกษุทั้งหลายผู้ฉลาดในอนุสนธิ
จักลุกขึ้นถามอนุสนธิ. เนื่องจากว่า ในที่นี้มีภิกษุทำนองนั้นมากอยู่มาก ครั้นแล้ว
เราตถาคตอันภิกษุเหล่านั้น ถามแล้ว จึงจักขยายเทศนา. ทันใดนั้น ภิกษุ
ผู้ฉลาดในอนุสนธิรูปหนึ่ง เมื่อจะทูลถามพระผู้มีพระภาคเจ้า จึงกราบทูลคำว่า
โก ปน ภนฺเต ดังนี้เป็นต้น. ฝ่ายพระผู้มีพระภาคเจ้า เมื่อจะทรงพยากรณ์
แก่ภิกษุนั้น จึงตรัสคำว่า ธมฺโม ภิกขุ ดังนี้เป็นต้น.
บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า ธมฺโม ได้แก่ธรรม คือ กุศลกรรมบถ
๑๐ ประการ. บทว่า ธมฺมํ ได้แก่ ธรรมมีประการดังกล่าวแล้วนั้นแล. บทว่า
นิสฺสาย ได้แก่ ทำธรรมนั้นแลให้เป็นที่อาศัยด้วยใจ ซึ่งเป็นที่ตั้งของธรรม
นั้น. บทว่า ธมฺมํ สกุกโรนฺโต ความว่า ธรรมที่ตนสักการะแล้วนั่นแล
ย่อมเป็นอันทำด้วยดีด้วยประการใด ก็กระทำโดยประการนั้นทีเดียว. บทว่า
ธมฺมํ ครุกโรนฺโต ความว่า เคารพธรรมนั้นด้วยการเกิดความเคารพใน
ธรรมนั้น. บทว่า ธมฺมํ อปจายมาโน ความว่า ทำความอ่อนน้อมถ่อมตน
ด้วยสามีจิกรรม มีการประคองอัญชลีเป็นต้น แก่ธรรมนั้นนั่นแล.
บทว่า ธมฺมทฺธโช ธมฺมเกตุ ความว่า ชื่อว่าเป็นผู้มีธรรมเป็นธงชัย
และชื่อว่า เป็นผู้มีธรรมเป็นตรา เพราะทำธรรมนั้นไว้ข้างหน้า เหมือนนัก
รบยกธงไว้ข้างหน้า และยกธรรมนั้นขึ้น เหมือนนักรบยกทวนขึ้นเป็นไป.
บทว่า ธมฺมาธิปเตยฺโย ความว่า ชื่อว่าเป็นผู้มีธรรมเป็นใหญ่ เพราะความ
๑. ปาฐะว่า นิสฺสาย ราชานํ ลภิตฺวา ฉบับพม่าเป็น นิสฺสยราชานํ อลภิตฺวา แปลตามฉบับพม่า

37
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก อังคุตรนิกาย ติกนิบาต เล่ม ๑ ภาค ๓ – หน้าที่ 38 (เล่ม 34)

เป็นผู้มีธรรมเป็นอธิบดี และเพราะทำกิริยาทั้งปวง (ราชกิจทุกอย่าง) ด้วย
อำนาจธรรมนั่นแล. ในบทว่า ธมฺมิกํ รกฺขาวรณคุตฺตึ สํวิทหติ พึงทราบ
อธิบายว่า การรักษาเป็นต้น ชื่อว่า ประกอบด้วยธรรม เพราะหมายความว่า
มีธรรม. การรักษาการป้องกัน และการคุ้มครอง ชื่อว่า รักขาวรณคุตติ.
บรรดาการรักษา การป้องกัน และการคุ้มครองเหล่านั้น คุณธรรมมีขันติ
เป็นต้น ชื่อว่าการรักษา ตามพระพุทธพจน์ที่ว่า บุคคลเมื่อรักษาคนอื่น ชื่อว่า
รักษาตน. สมจริงดังพระพุทธดำรัสที่พระพุทธเจ้าตรัสไว้ว่า ดูก่อนภิกษุ
ทั้งหลาย ก็บุคคลรักษาคนอื่น ด้วยวิธีอย่างไร จึงชื่อว่า รักษาตน
บุคคลรักษาคนอื่นด้วยขันติ ด้วยอวิหิงสา ด้วยเมตตาจิต (และ) ด้วย
ความเป็นผู้มีความเอ็นดู จึงชื่อว่า รักษาตนด้วย ดังนี้. การป้องกัน
สมบัติ มีผ้านุ่ง ผ้าห่ม และเรือนเป็นต้น ชื่อว่าอาวรณะ. การคุ้มครองเพื่อ
ป้องกันอุปัทวันตรายจากโจรเป็นต้น ชื่อว่า คุตติ. อธิบายว่า พระเจ้าจักร-
พรรดิ ทรงจัดคือทรงวาง การรักษา การป้องกัน และการคุ้มครองที่ชอบ
ธรรมนั้นทั้งหมดด้วยดี.
ผู้ที่ต้องจัดอารักขาให้
บัดนี้ เมื่อจะทรงแสดงบุคคลที่จะต้องจัดการรักษา ป้องกันและ
คุ้มครอง พระผู้มีพระภาคเจ้าจึงตรัสคำว่า อนฺโตชนสฺมึ ดังนี้เป็นต้น. ใน
บทว่า อนฺโตชนสฺมึ เป็นต้นนั้น มีความย่อดังต่อไปนี้
พระเจ้าจักรพรรดิ ทรงให้พระราชโอรส และพระมเหสี ที่เรียกว่า
คนภายใน ดำรงอยู่ในศีลสังวร พระราชทานผ้า ของหอม และพวงมาลา

38