No Favorites


หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก เอกนิบาต-ทุกนิบาต เล่ม ๑ ภาค ๒ – หน้าที่ 350 (เล่ม 33)

สูตร๑ที่ ๕
ว่าด้วยคติ ๒ อย่างของผู้มีการงานลามกและไม่ลามก
[๒๗๐] ๒๕. ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย คติ ๒ อย่าง คือ นรกหรือ
กำเนิดสัตว์ดิรัจฉานอย่างใดอย่างหนึ่ง อันผู้มีการงานลามกพึงหวังได้
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย คติ ๒ อย่าง คือเทวดาหรือมนุษย์อย่างใดอย่างหนึ่ง
อันผู้มีการงานไม่ลามกพึงหวังได้.
จบสูตรที่ ๕
อรรถกถ๒าสูตรที่ ๖
ในสูตรที่ ๖ (บาลีข้อ ๒๗๑) มีวินิจฉัยดัง
บทว่า ปฏิจฺฉนฺนกมฺมนฺตสฺส ได้แก่ ผู้มีการกระทำอันเป็นบาป.
เพราะคนทั้งหลายย่อมทำบาปโดยอาการปกปิด แม้หากทำโดยอาการไม่
ปกปิด บาปกรรมก็ได้ชื่อว่า กรรมอันปกปิดอยู่นั่นเอง. บทว่า นิรโย
ได้แก่ ขันธ์พร้อมทั้งโอกาส และขันธ์ในกำเนิดดิรัจฉาน.
จบอรรถกถาสูตรที่ ๖
สูตร๓ที่ ๖
ว่าด้วยคติ ๒ อย่างที่คนมิจฉาทิฏฐิและสัมมาทิฏฐิพึงหวังได้
[๒๗๒] ๒๖. ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย คติ ๒ อย่าง คือ นรกหรือ
กำเนิดสัตว์ดิรัจฉานอย่างใดอย่างหนึ่ง อันคนมิจฉาทิฏฐิพึงหวังได้ ดูก่อน
๑. อรรถกถาเป็นสูตรที่ ๖ แต่แก้บาลีสูตรที่ ๕ (ข้อ ๒๗๑)
๒. พระสูตรเป็นสูตรที่ ๕.
๓. บาลีเป็นสูตรที่ ๖ แต่อรรถกถาเป็นสูตรที่ ๗-๘.

350
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก เอกนิบาต-ทุกนิบาต เล่ม ๑ ภาค ๒ – หน้าที่ 351 (เล่ม 33)

ภิกษุทั้งหลาย คติ ๒ อย่าง คือ เทวดาหรือมนุษย์อย่างใดอย่างหนึ่ง
อันคนสัมมาทิฏฐิพึงหวังได้.
จบสูตรที่ ๖
อรรถกถาสูตรที่ ๗-๘
ในสูตรที่ ๗ และสูตรที่ ๘ ง่ายทั้งนั้นแล.
จบอรรถกถาสูตรที่ ๗-๘
สูตร๑ที่ ๗
ว่าด้วยฐานะ ๒ ที่ต้อนรับคนทุศีลและคนมีศีล
[๒๗๓] ๒๗. ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ฐานะที่ต้อนรับคนทุศีลมี
๒ อย่าง คือ นรกหรือกำเนิดสัตว์ดิรัจฉาน ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ฐานะ
ที่ต้อนรับคนมีศีล ๒ อย่าง คือ มนุษย์หรือเทวดา.
จบสูตรที่ ๗
อรรถกถาสูตรที่ ๙
ในสูตรที่ ๙ มีวินิจฉัยดังต่อไปนี้.
บทว่า ปฏิคฺคหา แปลว่า ฐานะที่ต้อนรับ ความว่า สถานที่ ๒ แห่ง
ย่อมต้อนรับบุคคลทุศีล.
จบอรรถกถาสูตรที่ ๙
๑. อรรถกถาเป็นสูตรที่ ๙.

351
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก เอกนิบาต-ทุกนิบาต เล่ม ๑ ภาค ๒ – หน้าที่ 352 (เล่ม 33)

สูตร๑ที่ ๘
ว่าด้วยประโยชน์ ๒ ประการในการเสพเสนาสนะอันสงัด
[๒๗๔] ๒๘. ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เราพิจารณาเห็นอำนาจ
ประโยชน์ ๒ ประการ จึงเสพเสนาสนะอันสงัด คือ ป่าและป่าเปลี่ยว
อำนาจประโยชน์ ๒ ประการเป็นไฉน คือ เห็นการอยู่สบายในปัจจุบัน
ของตน ๑ อนุเคราะห์หมู่ชนในภายหลัง ๑ ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เราเห็น
อำนาจประโยชน์ ๒ ประการนี้แล จึงเสพเสนาสนะอันสงัด คือ ป่าและ
ป่าเปลี่ยว.
จบสูตรที่ ๘
อรรถกถาสูตรที่ ๑๐
ในสูตรที่ ๑๐ มีวินิจฉัยดังต่อไปนี้.
บทว่า อตฺถวเส ได้แก่ เหตุ. บทว่า อรญฺญวนปฏฺฐานิ ได้แก่
ป่าและดง. ใน ๒ อย่างนั้น ในอภิธรรมท่านเรียกที่ทั้งหมดที่อยู่นอก
เสาอินทขีล [ เสาหลักเมือง ] ออกไปว่า ป่า โดยตรงก็จริง ถึงอย่างนั้น
บ่าที่ภิกษุผู้ถืออรัญญิกธุดงค์พอพักอยู่ได้ ที่ท่านกล่าวว่าใกล้ที่สุดชั่ว
๕๐๐ ธนูนั้นแหละ พึงทราบว่า ท่านประสงค์. บทว่า วนปฏฺฐ ได้แก่
ป่าที่เลยเขตบ้านออกไป ไม่เป็นถิ่นของมนุษย์ ไม่เป็นที่ไถที่หว่าน.
บทว่า ปนฺตานิ ได้แก่ สุดกู่ คือไกลมาก. บทว่า ทิฏฺฐธมฺมสุขวิหารํ
ได้แก่ การอยู่อย่างผาสุกทั้งที่เป็นโลกิยะและโลกุตระ. บทว่า ปจฺฉิมญฺจ
ชนตํ อนุกมฺปมาโน ความว่า อนุเคราะห์สาวกรุ่นหลังของเรา.
จบอรรถกถาสูตรที่ ๑๐
๑. อรรถกถาเป็นสูตรที่ ๑๐.

352
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก เอกนิบาต-ทุกนิบาต เล่ม ๑ ภาค ๒ – หน้าที่ 353 (เล่ม 33)

สูตรที่ ๙๑
ว่าด้วยธรรม ๒ อย่างที่เป็นไปในส่วนแห่งวิชชา
[๒๗๕] ๒๙. ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ธรรม ๒ อย่างเป็นไปในส่วน
แห่งวิชชา ธรรม ๒ อย่างเป็นไฉน คือ สมถะ ๑ วิปัสสนา ๑ ดูก่อน
ภิกษุทั้งหลาย สมถะที่ภิกษุเจริญแล้ว ย่อมเสวยประโยชน์อะไร ย่อม
อมรมจิต จิตที่อบรมแล้ว ย่อมเสวยประโยชน์อะไร ย่อมละราคะได้
วิปัสสนาที่อบรมแล้ว ย่อมเสวยประโยชน์อะไร ย่อมอบรมปัญญา ปัญญา
ที่อบรมแล้ว ย่อมเสวยประโยชน์อะไร ย่อมละวิชชาได้.
จบสูตรที่ ๙
สูตรที่ ๑๐
[๒๗๖] ๓๐. ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย จิตที่เศร้าหมองด้วยราคะ
ย่อมไม่หลุดพ้น หรือปัญญาที่เศร้าหมองด้วยอวิชชา ย่อมไม่เจริญ ด้วย
ประการฉะนั้นแล ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เพราะสำรอกราคะได้ จึงชื่อว่า
เจโตวิมุตติ เพราะสำรอกอวิชชาได้ จึงชื่อว่าปัญญาวิมุตติ.
จบสูตรที่ ๑๐
จบพาลวรรคที่ ๓
อรรถกถาสูตรที่ ๑๑๒
ในสูตรที่ ๑๑ มีวินิจฉัยดังต่อไปนี้.
บทว่า วิชฺชาภาคิยา แปลว่า เป็นไปในส่วนวิชชา. บทว่า สมโถ
๑. สูตรที่ ๙-๑๐ มีเนื้อความติดต่อกัน ควรจะรวมไว้ในสูตรเดียวกัน แต่บาลีแยกเป็น ๒ สูตร
อรรถกถารวมไว้เป็นสูตรเดียวกัน คือสูตรที่ ๑๑.
๒. บาลีข้อ ๒๗๕-๒๗๖.

353
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก เอกนิบาต-ทุกนิบาต เล่ม ๑ ภาค ๒ – หน้าที่ 354 (เล่ม 33)

ได้แก่ ความที่จิตมีอารมณ์เดียว ( แน่วแน่ ). บทว่า วิปสฺสนา ได้แก่
ญาณกำหนดสังขารเป็นอารมณ์. บทว่า กิมตฺถมนุโภติ ความว่า ให้สำเร็จ
ประโยชน์อะไร คือให้ถึงพร้อม ให้บริบูรณ์. บทว่า จิตฺตํ ภาวียติ
ความว่า เจริญเพิ่มพูน พัฒนามรรคจิต. บทว่า โย ราโค โส ปหียติ
ความว่า ละกิเลสที่ชื่อว่าราคะด้วยอำนาจย้อมใจได้. เพราะราคะเป็นข้าศึก
ของมรรคจิต มรรคจิตเป็นข้าศึกของราคะ. ขณะมีราคะ ไม่มีมรรคจิต
ขณะมีมรรคจิต ไม่มีราคะ. ราคะเกิดขึ้นเมื่อใด ย่อมห้ามนิให้มรรคจิต
เกิดขึ้นเมื่อนั้น คือตัดหนทาง. มรรคจิตเกิดขึ้นเมื่อใด เมื่อนั้นมรรคจิต
ก็เพิกถอนราคะพร้อมทั้งรากทีเดียว ด้วยเหตุนั้น จึงตรัสว่า ราโค ปหียติ.
บทว่า วิปสฺสนา ภิกฺขเว ภาวิตา ความว่า วิปัสสนาญาณอันภิกษุ
เพิ่มพูนแล้วให้เจริญแล้ว. บทว่า ปญฺญา ภาวียติ ความว่า มรรคปัญญา
อันวิปัสสนาให้เจริญ คือให้เพิ่มพูนให้พัฒนา บทว่า ยา อวิชฺชา สา
ปหียติ ความว่า ละอวิชชาใหญ่ที่มีมูลแห่งวัฏฏะได้ในฐานะทั้ง ๘. อวิชชา
เป็นข้าศึกของมรรคปัญญา มรรคปัญญาก็เป็นข้าศึกของอวิชชา. ในขณะ
มีอวิชชา ไม่มีมรรคปัญญา ในขณะมีมรรคปัญญา ไม่มีอวิชชา. อวิชชา
เกิดขึ้นเมื่อใด เมื่อนั้นย่อมห้ามมิให้มรรคปัญญาเกิดขึ้น คือตัดหนทาง.
มรรคปัญญาเกิดขึ้นเมื่อใด เมื่อนั้นมรรคปัญญาก็เพิกถอนอวิชชาพร้อมทั้ง3
รากทีเดียว. เพราะเหตุนั้นจึงตรัสว่า อวิชฺชา ปหียติ. สหชาตธรรมทั้งสอง
คือมรรคจิต มรรคปัญญา พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสแล้ว ด้วยประการฉะนี้.
ด้วยพระดำรัสว่า ราคูปกฺกิลิฏฺฐํ วา ภิกฺขเว จิตฺตํ น วิมุจฺจติ
ดังนี้ พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงแสดงว่า มรรคจิตย่อมไม่หลุดพ้น เพราะ

354
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก เอกนิบาต-ทุกนิบาต เล่ม ๑ ภาค ๒ – หน้าที่ 355 (เล่ม 33)

จิตยังเศร้าหมองด้วยราคะ. ด้วยพระดำรัสว่า อวิชฺชูปกฺกิลิฏฺฐา วา ปญฺญา
น ภาวียติ ดังนี้ พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงแสดงว่า มรรคปัญญา ภิกษุ
ย่อมเจริญไม่ได้ เพราะปัญญายังเศร้าหมองด้วยอวิชชา. บทว่า
อิติ โข ภิกฺขเว แปลว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย อย่างนี้แล. บทว่า
ราควิราคา เจโตวิมุตฺติ ความว่า ธรรมดาเจโตวิมุตติย่อมมี เพราะ
สำรอกราคะ คือราคะสิ้นไป. คำนี้เป็นชื่อของผลสมาธิ. บทว่า อวิชฺชา-
วิราคา ปญฺญาวิมุตฺติ ความว่า ธรรมดาปัญญาวิมุตติย่อมมี เพราะสำรอก
อวิชชา คืออวิชชาสิ้นไป. ในพระสูตรนี้ พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสสมาธิ
วิปัสสนาที่เป็นไปในขณะต่าง ๆ ดังนี้แล.
จบอรรถกถาสูตรที่ ๑๑
จบพาลวรรคที่ ๓

355
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก เอกนิบาต-ทุกนิบาต เล่ม ๑ ภาค ๒ – หน้าที่ 356 (เล่ม 33)

สมจิตตวรรคที่ ๔
สูตรที่ ๑
ว่าด้วยภูมิของอสัตบุรุษและสัตบุรุษ
[๒๗๗] ๓๑. ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เราจักแสดงภูมิอสัตบุรุษและ
สัตบุรุษแก่เธอทั้งหลาย เธอทั้งหลายจงฟัง จงใส่ใจให้ดี เราจักกล่าว ภิกษุ
ทั้งหลายนั้นทุลรับพระดำรัสพระผู้มีพระภาคเจ้าแล้ว พระผู้มีพระภาคเจ้า
ได้ตรัสว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ก็ภูมิอสัตบุรุษเป็นไฉน อสัตบุรุษย่อมเป็น
คนอกตัญญูอกตเวที ก็ความเป็นคนอกตัญญูอกตเวทีนี้ อสัตบุรุษทั้งหลาย
สรรเสริญ ก่อนภิกษุทั้งหลาย ความเป็นคนอกตัญญูอกตเวทีนี้ เป็นภูมิ
อสัตบุรุษทั้งสิ้น ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ส่วนสัตบุรุษย่อมเป็นคนกตัญญูกตเวที
ก็ความเป็นคนกตัญญูกตเวทีนี้. สัตบุรุษทั้งหลายสรรเสริญ ดูก่อนภิกษุ
ทั้งหลาย ความเป็นคนกตัญญูกตเวทีทั้งหมดนี้ เป็นภูมิสัตบุรุษ.
จบสูตรที่ ๑
สมจิตตวรรคที่ ๔
อรรถกถาสูตรที่ ๑
สมจิตตวรรค สูตรที่ ๑ มีวินิจฉัยดังต่อไปนี้.
บทว่า อสปฺปุริสภูมึ ได้แก่ ฐานะที่ดำรงอยู่ของพวกอสัตบุรุษ.
แม้ในภูมิของสัตบุรุษ ก็นัยนี้แหละ. บทว่า อกตญฺญู ได้แก่ไม่รู้บุญคุณ

356
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก เอกนิบาต-ทุกนิบาต เล่ม ๑ ภาค ๒ – หน้าที่ 357 (เล่ม 33)

ที่ผู้อื่นกระทำแก่ตน. บทว่า อกตเวที ได้แก่ ไม่รู้บุญคุณที่ผู้อื่นกระทำ
แก่ตนโดยทำให้ปรากฏ. บทว่า อุปญฺญาตํ แปลว่า ยกย่อง ชมเชย
สรรเสริญ. บทว่า ยทิทํ แปลว่า นี้ใด (หมายความว่า คือ). บทว่า
อกตญฺญุตา อกตเวทิตา ได้แก่ ความไม่รู้อุปการะที่ผู้อื่นกระทำ และ
ความไม่รู้อุปการะที่ผู้อื่นการทำโดยทำให้ปรากฏ (ไม่ตอบแทนคุณเขา).
บทว่า เกวลา แปลว่า ทั้งสิ้น. แม้ในธรรมฝ่ายขาว ก็พึงทราบเนื้อความ
ตามนัยที่กล่าวแล้วนั่นแล.
จบอรรถกถาสูตรที่ ๑
สูตรที่ ๒
บุคคล ๒ พวกที่กระทำตอบแทนไม่ได้ง่าย
[๒๗๘] ๓๒. ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เรากล่าวการกระทำตอบแทน
ไม่ได้ง่ายแก่ท่านทั้งสอง ทั้งสองท่านคือใคร คือ มารดา ๑ บิดา ๑
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย บุตรพึงประคับประคองมารดาด้วยบ่าข้างหนึ่ง พึ่ง
ประดับประคองบิดาด้วยบ่าข้างหนึ่ง เขามีอายุ มีชีวิต อยู่ตลอด ๑๐๐ ปี
และเขาพึงปฏิบัติท่านทั้งสองนั้นด้วยการอบกลิ่น การนวด การให้อาบน้ำ
และการดัด และท่านทั้งสองนั้น พึงถ่ายอุจจาระปัสสาวะบนบ่าทั้งสอง
ของเขานั่นแหละ ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย การกระทำอย่างนั้นยังไม่ชื่อว่า
อันบุตรทำแล้วหรือทำตอบแทนแล้วแก่มารดาบิดาเลย ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย
อนึ่ง บุตรพึงสถาปนาบิดามารดาในราชสมบัติ อันเป็นอิสราธิปัตย์
ในแผ่นดินใหญ่อันมีรตนะ ๗ ประการมากหลายนี้ การการทำกิจอย่างนั้น
ยังไม่ชื่อว่าอันบุตรทำแล้วหรือทำตอบแทนแล้วแก่มารดาบิดาเลย ข้อนั้น

357
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก เอกนิบาต-ทุกนิบาต เล่ม ๑ ภาค ๒ – หน้าที่ 358 (เล่ม 33)

เพราะเหตุไร เพราะมารดาบิดามีอุปการะมาก บำรุงเลี้ยง แสดงโลกนี้
แก่บุตรทั้งหลาย ส่วนบุตรคนใดยังมารดาบิดาผู้ไม่มีศรัทธา ให้สมาทาน
ตั้งมั่นในศรัทธาสัมปทา ยังมารดาบิดาผู้ทุศีล ให้สมาทานตั้งมั่นในศีล-
สัมปทา ยังมารดาบิดาผู้มีความตระหนี่ ให้สมาทานตั้งมั่นในจาคสัมปทา
ยังมารดาบิดาผู้ทรามปัญญา ให้สมาทานตั้งมั่นในปัญญาสัมปทา ดูก่อน
ภิกษุทั้งหลาย ด้วยเหตุมีประมาณเท่านี้แล การกระทำอย่างนั้นย่อมชื่อว่า
อันบุตรนั้นทำแล้วและทำตอบแทนแล้วแก่มารดาบิดา.
จบสูตรที่ ๒
อรรถกถาสูตรที่ ๒
ในสูตรที่ ๒ มีวินิจฉัยดังต่อไปนี้.
บทว่า มาตุ จ ปัตุ จ ได้แก่ มารดาผู้บังเกิดเกล้า ๑ บิดาผู้
บังเกิดเกล้า ๑. บทว่า เอเกน ภิกฺขเว อํเสน มาตรํ ปริหเรยฺย ความว่า
บุตรพึงปรนนิบัติมารดาแบกไว้บนจะงอยบ่าข้างหนึ่ง. บทว่า เอเกน
อํเสน ปิตรํ ปริหเรยฺย ความว่า บุตรพึงปรนนิบัติบิดาแบกไว้บนจะงอย
บ่าข้างหนึ่ง. บทว่า วสฺสสตายุโก วสฺสสตาชีวี ความว่า มีอายุถึง ๑๐๐ ปี
ทรงชีพอยู่ ๑๐๐ ปี. มีคำอธิบายว่า ถ้าบุตรคิดว่าจักตอบแทนคุณบิดา
มารดา กระวีกระวาดให้มารดานั่งบนจะงอยบ่าข้างขวา ให้บิดานั่งบน
จะงอยบ่าข้างซ้าย มีอายุถึง ๑๐๐ ปี ทรงชีพแบกอยู่ ๑๐๐ ปี. บทว่า
โส จ เนสํ อุจฺฉาทนปริมทฺทนนฺหาปนสมฺพาหเนน ความว่า บุตรนั้น
แลพึงบำรุงบิดามารดาผู้นั่งอยู่บนจะงอยบ่านั่นเอง ด้วยการอบกลิ่นให้
ตัวหอม เพื่อบรรเทากลิ่นเหม็น ด้วยการนวดมือเท้า เพื่อบรรเทาเมื่อยขบ

358
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก เอกนิบาต-ทุกนิบาต เล่ม ๑ ภาค ๒ – หน้าที่ 359 (เล่ม 33)

เวลาหนาวให้อาบน้ำอุ่น เวลาร้อนให้อาบน้ำเย็น ด้วยการดัดคือ ดึงมือ
และเท้าเป็นต้น . บทว่า เต จ ตตฺเถว ความว่า บิดามารดาทั้งสองก็นั่ง
ถ่ายอุจจาระปัสสาวะอยู่บนนั้นแหละ คือบนจะงอยบ่าทั้งสองของบุตรนั้น.
บทว่า น เตฺวว ภิกฺขเว ความว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ด้วยอาการ
ปรนนิบัติถึงเพียงนี้ จะเป็นอันบุตรนั้นได้ทำคุณหรือได้ตอบแทนคุณแก่
บิดามารดาแล้ว หามิได้เลย. บทว่า อิสฺสราธิปจฺเจ รชฺเช พระผู่มีพระ-
ภาคเจ้าตรัสหมายถึงความเป็นพระเจ้าจักรพรรดิทีเดียว. บทว่า อาปาหกา
แปลว่า เป็นผู้ให้เติบโต เป็นผู้ดูแล. เพราะบุตรทั้งหลาย บิดามารดา
ทำให้เติบโตและดูแลแล้ว. บทว่า โปสกา ได้แก่ เป็นผู้เลี้ยงดู โดยให้
มือเท้าเติบโต ให้ดื่มโลหิตในหทัย. เพราะบิดามารดาเลี้ยงบุตรอย่างดี
ประคบประหงมด้วยข้าวน้ำเป็นต้น . บทว่า อิมสฺส โลกสฺส ทสฺเสตาโร
ความว่า ถ้าในวันที่บุตรเกิด บิดามารดาจะจับเท้าบุตรเหวี่ยงไปในป่าหรือ
ในเหว บุตรก็จะไม่ได้เห็นอิฏฐารมณ์และอนิฏฐารมณ์ในโลกนี้ แต่เพราะ
ท่านไม่ทำอย่างนี้ ฟูมฟักเลี้ยงดู บุตรจึงเห็นอิฏฐารมณ์ เละอนิฏฐารมณ์
ในโลกนี้ เพราะอาศัยบิดามารดา ฉะนั้น บิดามารดาจึงชื่อว่าเป็นผู้แสดง
โลกนี้แก่บุตร. บทว่า สมาทเปติ ได้แก่ ให้เธอถือ. ในพระสูตรั้น
พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสศรัทธา ศีล จาคะ ปัญญา ผสมกันทั้งโลกิยะ
และโลกุตระ ภิกษุเช่นพระธรรมเสนาบดีสารีบุตรเถระ พึงทราบว่า
ชื่อว่ายังบิดามารดาให้ตั้งมั่นอยู่ในคุณธรรมเหล่านั้น.
จบอรรถกถาสูตรที่ ๒

359