No Favorites




หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก อังคุตรนิกาย เอกนิบาต เล่ม ๑ ภาค ๑ – หน้าที่ 186 (เล่ม 32)

อีกอย่างหนึ่ง พระผู้มีพระภาคเจ้า ตรัสปุคคลกถา ว่าด้วย
บุคคล ด้วยเหตุ ๘ ประการ คือ เพื่อทรงแสดงหิริ ความละอาย
และโอตัปปะ ความเกรงกลัว ๑ เพื่อทรงแสดง กัมมัสสกตา (ความ
ที่สัตว์มีกรรมเป็นของตน) ๑ เพื่อทรงแสดงบุคคลผู้กระทำเฉพาะตน ๑
เพื่อทรงแสดงถึงอนันตริยกรรม (กรรมก่อนกรรมอื่น ๆ ที่ให้ผล) ๑
เพื่อทรงแสดงถึงพรหมวิหารธรรม (เมตตา กรุณา มุทิตา อุเปกขา) ๑
เพื่อทรงแสดงถึงปุพเพนิวาสญาณ (ระลึกชาติก่อนไว้) ๑ เพื่อทรง
แสดงถึงทักขิณาวิสุทธิ (ความบริสุทธิ์แห่งทักขิณา) ๑ และเพื่อไม่ทรง
ละโลกสมมติ ๑. เมื่อพระองค์ตรัสว่า ขันธ์ ธาตุ อายตนะทั้งหลาย
ย่อมละอาย ย่อมเกรงกลัวดังนี้ มหาชนย่อมไม่เข้าใจ ย่อมงงงวย
กลับเป็นศัตรู(โต้แย้ง)ว่า นี้อะไรกัน ขันธ์ ธาตุ อายตนะ ย่อมละอาย ย่อม
เกรงกลัว. แต่เมื่อตรัสว่า หญิง ชาย กษัตริย์ พราหมณ์ เทพ และมาร
ย่อมละอาย ย่อมเกรงกลัว มหาชนย่อมเข้าใจ ย่อมไม่งงงวย ไม่กลับ
เป็นศัตรู(ไม่โต้แย้ง). เพราะฉะนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้า จึงตรัสบุคคล
กถา (กถาว่าด้วยบุคคล) ก็เพื่อทรงแสดงหิริและโอตตัปปะ.
แม้ในคำที่กล่าวไว้ว่า ขันธ์ทั้งหลาย ธาตุทั้งหลาย อายตนะ
ทั้งหลาย มีกรรมเป็นของตน ก็มีนัยนี้เหมือนกัน. เพราะเหตุนั้น
พระผู้มีพระภาคเจ้าจึงตรัสบุคคลกถา เพื่อทรงแสดงความที่สัตว์มีกรรม
เป็นของตน. แม้ในคำที่กล่าวไว้ว่า มหาวิหารทั้งหลาย มีเวฬุวันเป็นต้น
อัน ขันธ์ ธาตุ อายตนะ สร้างแล้ว ก็นัยนี้เหมือนกัน. เพราะฉะนั้น พระผู้
มีพระภาคเจ้า จึงทรงแสดงบุคคลกถา เพื่อทรงแสดงถึงบุคคลผู้กระทำ
เฉพาะตน

186
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก อังคุตรนิกาย เอกนิบาต เล่ม ๑ ภาค ๑ – หน้าที่ 187 (เล่ม 32)

แม้ในคำที่กล่าวไว้ว่า ขันธ์ ธาตุ อายตนะ ย่อมปลงชีวิต
บิดา มารดา พระอรหันต์ กระทำกรรมคือยังพระโลหิตให้ห้อ และ
กระทำสังฆเภท ก็นัยนี้เหมือนกัน เพราะฉะนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้า
จึงทรงแสดงบุคคลกถา เพื่อทรงแสดงอนันตริยกรรม.
แม้ในคำที่กล่าวไว้ว่า ขันธ์ ธาตุ อายตนะ ย่อมมีเมตตา
ก็นัยนี้เหมือนกัน เพราะฉะนั้นพระผู้มีพระภาคเจ้าจึงทรงแสดง
บุคคลกถา เพื่อทรงแสดงพรหมวิหารธรรม.
แม้ในคำที่กล่าวไว้ว่า ขันธ์ ธาตุ อายตนะ ย่อมระลึกถึง
ปุพเพนิวาสญาณ ก็นัยนี้เหมือนกัน เพราะฉะนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้า
จึงทรงแสดงบุคคลกถา เพื่อทรงแสดงปุพเพนิวาสญาณ.
แม้เมื่อกล่าวว่า ขันธ์ ธาตุ อายตนะ ย่อมรับทาน มหาชน
ย่อมไม่เข้าใจ ย่อมงงงวย กลับเป็นศัตรูว่า นี้อะไรกัน ขันธ์ ธาตุ อายตนะ
ย่อมรับทาน. แต่เมื่อกล่าวว่า บุคคลผู้มีศีล มีกัลยาณธรรมเป็นต้น
มหาชนย่อมเข้าใจ ย่อมไม่งงงวย เพราะฉะนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้า
จึงทรงแสดงบุคคลกถา เพื่อทรงแสดงความหมดจดแห่งทักษิณา.
จริงอยู่ พระผู้มีพระภาคพุทธเจ้าทั้งหลาย ย่อมไม่ละโลกสมมติ
ตั้งอยู่ในชื่อของชาวโลก ในภาษาของชาวโลก ในคำพูดจากันของ
ชาวโลกนั่นแลแสดงธรรม. เพราะฉะนั้นพระผู้มีพระภาคเจ้าจึงทรง
แสดงบุคคลกถา แม้เพื่อไม่ละโลกสมมติ.
ดังนั้น จึงชื่อว่าบุคคลเอก เพราะบุคคลนั้นด้วย เป็นเอกด้วย.
ที่ชื่อว่าบุคคลเอก เพราะอรรถว่ากระไร ? เพราะอรรถว่า ไม่มี
ผู้อื่นเหมือน เพราะอรรถว่าพิเศษโดยคุณ เพราะอรรถว่าเสมอกับ

187
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก อังคุตรนิกาย เอกนิบาต เล่ม ๑ ภาค ๑ – หน้าที่ 188 (เล่ม 32)

พระพุทธเจ้าผู้ไม่มีบุคคลเสมอ. จริงอยู่ พระผู้มีพระภาคเจ้านั้น
ไม่เหมือนกับมหาชนทั่วไป โดยคุณคือโพธิสมภารนับตั้งแต่ทรงรำพึง
ถึงบารมี ๑๐ ตามลำดับและโดยพระพุทธคุณ เพราะฉะนั้น จึงชื่อว่า
บุคคลเอก เพราะอรรถว่าไม่มีใครเหมือนบ้าง.
อนึ่ง พระผู้มีพระภาคเจ้านั้น ทรงมีคุณพิเศษกว่าคุณของ
เหล่าสัตว์ผู้มีคุณทั่วไป เพราะเหตุนั้น จึงชื่อบุคคลเอก เพราะอรรถ
ว่า มีความพิเศษโดยคุณ. พระสัมมาสัมพุทธเจ้าก่อน ๆ ไม่เสมอ
ด้วยสัตว์ทุกจำพวก แต่พระผู้มีพระภาคเจ้านี้ พระองค์เดียวเท่านั้น
เป็นผู้เสมอกับพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเหล่านั้น โดยพระคุณคือรูปกาย
และพระคุณคือนามกาย เพราะเหตุนั้น จึงชื่อว่า บุคคลเอก เพราะ
อรรถว่า เสมอกับพระพุทธเจ้าผู้ไม่มีผู้เสมอ.
บทว่า โลเก ได้แก่ โลก ๓ คือ สัตวโลก โอกาสโลก สังขาร-
โลก. กถาว่าด้วยความพิสดารแห่งโลกทั้ง ๓ นั้น ท่านได้กล่าวไว้แล้ว
ในวิสุทธิมรรค. บรรดาโลก ๓ นั้น สัตวโลกท่านประสงค์เอาในที่นี้.
จริงอยู่ พระตถาคตนั้น แม้เมื่อเกิดในสัตวโลก หาได้เกิดในเทวโลก และ
ในพรหมโลกไม่ ย่อมเกิดเฉพาะในมนุษยโลกเท่านั้น. แม้ในมนุษย-
โลกเล่า ก็หาได้เกิดในจักรวาลอื่นไม่ ย่อมเกิดเฉพาะในจักรวาลนี้
เท่านั้น แม้ในจักรวาลนั้น ก็หาเกิดในที่ทุกแห่งไปไม่.
ในทิศบูรพา มีนิคม ชื่อว่า กชังคละ ถัดจากกชังคละนิคม
นั้นไป มีนครชื่อว่า มหาสาละ ถัดจากมหาสาละนั้นไป เป็น
ปัจจันตชนบท ร่วมในเป็นมัชฌิมชนบท. ในทิศอาคเนย์ มีแม่น้ำ
ชื่อว่า สัลลวดี ถัดจากแม่น้ำสัลลวดีนั้นไป เป็นปัจจันตชนบท ร่วมใน

188
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก อังคุตรนิกาย เอกนิบาต เล่ม ๑ ภาค ๑ – หน้าที่ 189 (เล่ม 32)

เป็นมัชฌิมชนบท. ในทิศทักษิณ มีนิคนชื่อว่าเสตกัณณิกะ ถัดจาก
เสตกัณณิกนิคมนั้นไปเป็นปัจจันตชนบท ร่วมในเป็นมัชฌิมชนบท
ในทิศประจิม มีบ้านพราหมณ์ ชื่อว่าถูนะ ถัดจากบ้านพราหมณ์นั้นไป
เป็นปัจจันตชนบท ร่วมในเป็นมัชฌิมชนบท ในทิศอุดร มีภูเขา
ชื่อว่า อุสีรธชะ ถัดจากเขานั้นไปเป็นปัจจันตชนบท ร่วมในเป็น
มัชฌิมชนบท. พระตถาคตย่อมอุบัติ ในมัชฌิมประเทศ ที่ท่านกำหนด
ดังกล่าวมาแล้วนั้น โดยส่วนยาว วัดได้ ๓๐๐ โยชน์ โดยส่วนกว้าง
วัดได้ ๑๕๐ โยชน์ วัดโดยรอบได้ ๙๐๐ โยชน์. อนึ่งพระตถาคต
หาได้อุบัติแต่ลำพังพระองค์อย่างเฉียวไม่ พระปัจเจกพุทธเจ้าทั้งหลาย
พระอัครสาวก พระอสีติมหาเถระ แม้ท่านผู้มีบุญอื่น ๆ ก็ย่อมเกิด
ขึ้น. พระพุทธมารดา พระพุทธบิดา พระเจ้าจักรพรรดิ์ และ
พราหมณ์คฤหบดี ผู้เป็นบุคคลสำคัญเหล่าอื่น ก็ย่อมเกิดในมัชฌิม-
ประเทศนี้เหมือนกัน.
ก็บทว่า อุปฺปชฺชมาโน อุปฺปชฺชติ ทั้งสองนี้ เป็นคำกล่าว
ค้างไว้เท่านั้น. ก็ในคำนี้พึงทราบความอย่างนี้ว่า พระตถาคตเมื่อ
อุบัติ ย่อมอุบัติเพื่อประโยชน์เกื้อกูลแก่ชนเป็นอันมาก หาอุบัติ
ด้วยเหตุอื่นไม่. ก็ในอธิการนี้ ลักษณะเห็นปานนี้ ใคร ๆ หาอาจ
คัดค้านคำทั้งสองนั่นโดยลักษณะศัพท์อื่นไม่.
อีกอย่างหนึ่ง พึงทราบความต่างกันในคำนี้ ดังนี้ว่า อุปฺปชฺ-
ชมาโน นาม (ชื่อว่าเมื่อจะอุบัติ ) อุปฺปชฺชติ นาม (ชื่อว่ากำลังอุบัติ)
อุปฺปนฺโน นาม (ชื่อว่าอุบัติแล้ว.) จริงอยู่ พระพุทธองค์ได้รับคำ

189
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก อังคุตรนิกาย เอกนิบาต เล่ม ๑ ภาค ๑ – หน้าที่ 190 (เล่ม 32)

พยากรณ์ แต่บาทมูลแห่งพระพุทธเจ้าทรงพระนามว่าทีปังกร เมื่อ
แสวงหาพุทธการกธรรม (ธรรมเครื่องทำความเป็นพระพุทธเจ้า)
ทรงเห็นบารมี ๑๐ จึงทรงตกลงพระทัยว่า เราควรบำเพ็ญธรรม
เหล่านี้ แม้กำลังบำเพ็ญทานบารมีอยู่ ก็ชื่อว่า เมื่อจะอุบัติ. แม้
เมื่อทรงบำเพ็ญบารมี ๑๐ เหล่านี้คือ ศีลบารมี ฯลฯ อุเปกขาบารมี
ก็ดี ทรงบำเพ็ญอุปบารมี ๑๐ อยู่ก็ดี ก็ชื่อว่า เมื่อจะอุบัติ. แม้เมื่อ
ทรงบำเพ็ญปรมัตถบารมี ๑๐ อยู่ก็ชื่อว่า เมื่อจะอุบัติ เมื่อบริจาค
ซึ่งมหาบริจาค ๕ ประการ ก็ชื่อว่า เมื่อจะอุบัติ แม้เมื่อทรงบำเพ็ญ
ญาตัตถจริยา โลกัตถจริยา และพุทธัตถจะริยา ก็ชื่อว่า เมื่อจะอุบัติ.
แม้เมื่อทรงบำเพ็ญพุทธการกธรรม ให้ถึงที่สุด สิ้น ๔ อสงไขยกำไรแสนกัป
ก็ชื่อว่าเมื่อจะอุบัติ. แม้เมื่อทรงละอัตภาพพระเวสสันดร ถือปฏิสนธิใน
ดุสิตบุรี ดำรงอยู่ตลอด ๕๗ โกฏิปี กับอีก ๖๐,๐๐๐ ปี ก็ชื่อว่าเมื่อจะ
อุบัติ. พระองค์อันเทวดาทูลอาราธนาแล้ว ทรงตรวจดู มหาวิโลกิตะ
๕ ประการ ทรงถือปฏิสนธิในพระครรภ์ของพระเทวี ทรงพระนาม
ว่ามหามายาก็ดี ทรงอยู่ในพระครรภ์ ๑๐. เดือนถ้วนก็ดี ก็ชื่อว่า
เมื่อจะอุบัติเหมือนกัน. แม้ทรงดำรงอยู่ในการครองเรือน ๒๙ พรรษา
ก็ชื่อว่า เมื่อจะอุบัติเหมือนกัน. แม้เมื่อทรงเห็นโทษในกามทั้งหลาย
เห็นอานิสงส์ในการออกจากกาม มีนายฉันนะเป็นสหาย ทรงม้า
กัณฐกะตัวประเสริฐ เสด็จออกผนวชในวันที่พระราหุลภัตทะประสูติ
ก็ชื่อว่าเมื่อจะอุบัติเหมือนกัน. เสด็จผ่านพ้นราชอาณาจักรทั้ง ๓ แห่งไป
ทรงผนวชที่ฝั่งแม่น้ำอโนมานทีก็ดี ก็ชื่อว่าเมื่อจะอุบัติเหมือนกัน แม้.
ทรงท่านหาปธานความเพียร ๖ พรรษา ก็ชื่อว่า เมื่อจะอุบัติเหมือนกัน.
เมื่อพระญาณแก่กล้าแล้วเสวยกระยาหารหยาบก็ดี ก็ชื่อว่า เมื่อจะอุบัติ

190
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก อังคุตรนิกาย เอกนิบาต เล่ม ๑ ภาค ๑ – หน้าที่ 191 (เล่ม 32)

เหมือนกัน. แม้เมื่อขึ้นสู่มหาโพธิมัณฑสถานในวันวิสาขบุรณมี
ในเวลาเย็น ทรงกำจัดมารและพลแห่งมาร ทรงระลึกถึงปุพเพ-
นิวาสญาณในปฐมยาม ทรงชำระทิพพจักขุในมัชฌิมยาม ทรง
พิจารณาปฏิจจสมุปบาท ๑๒ องค์ โดยอนุโลม และปฏิโลมในเวลา
ติดต่อกับปัจฉิมยาม แล้วแทงตลอดโสดาปัตติมรรคก็ดี ชื่อว่า เมื่อจะ
อุบัติเหมือนกัน. ในขณะแห่งโสดาปัตติผลก็ดี ในขณะแห่งสกทาคา
มิมรรคก็ดี ในขณะแห่งสกทาคามิผลก็ดี ในขณะแห่งอนาคามิมรรค
ก็ดี ในขณะแห่งอนาคามิผลก็ดี ชื่อว่า เมื่อจะอุบัติเหมือนกัน. ส่วน
ในขณะแห่งอรหัตตมรรค ชื่อว่า กำลังอุบัติ. ในขณะแห่งอรหัตตผล
ชื่อว่า อุบัติแล้ว. จริงอยู่ อิทธิวิธญาณเป็นต้น ของพระพุทธเจ้า
ทั้งหลาย ย่อมไม่เกิดขึ้นตามลำดับ เหมือนของพระสาวกทั้งหลาย.
ก็กองแห่งคุณมีพระสัพพัญญุตญาณเป็นต้น แม้ทั้งสิ้น ชื่อว่าย่อม
มาพร้อมกันทีเดียวกับพระอรหัตตมรรค. เพราะฉะนั้น ท่านเหล่านั้น
ชื่อว่าอุบัติแล้วในขณะแห่งอรหัตตผล เพราะมีกิจทั้งปวงอันสำเร็จ
แล้ว. ในสูตรนี้ พึง ราบว่า กำลังอุบัติ หมายเอาขณะแห่งอรหัตตผล
นั่นแล. ความจริงในคำว่า อุปฺปชฺชติ นี้ มีใจความดังนี้ว่า อุปฺปนฺโน
โหติ (ย่อมเป็นผู้อุบัติ).
บทว่า พหุชนหิตาย ความว่า ย่อมเสด็จอุบัติเพื่อประโยชน์
เกื้อกูลแก่ชนหมู่มาก. บทว่า พหุโน ชนสฺส สุขาย ความว่า ย่อมเสด็จ
อุบัติเพื่อประโยชน์สุขแก่ชนหมู่มาก. บทว่า โลกานุกมฺปาย ความว่า
เสด็จอุบัติเพราะอาศัยความเอ็นดูแก่สัตวโลก. ถามว่า แก่สัตว์โลก
ไหน ? แก้ว่า เพื่อประโยชน์แก่สัตวโลกผู้สดับพระธรรมเทศนา
ของพระตถาคตได้ดื่มน้ำอมฤตแล้วตรัสรู้ธรรม. เมื่อพระผู้มีพระ-

191
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก อังคุตรนิกาย เอกนิบาต เล่ม ๑ ภาค ๑ – หน้าที่ 192 (เล่ม 32)

ภาคเจ้า ยับยั้งอยู่ ๗ สัปดาห์ ณ โพธิมัณฑสถาน แล้วเสด็จจาก
โพธิมัณฑสถานมายังป่าอิสิปตนมฤคทายวัน แล้วทรงแสดงธรรม
จักกัปปวัตตนสูตรว่า ภิกษุทั้งหลาย ที่สุด ๒ อย่างนี้ บรรพชิต
ไม่ควรเสพ เป็นต้น พรหมนับได้ ๑๘ โกฏิ พร้อมด้วยท่านพระ-
อัญญาโกณฑัญญเถระ ได้ดื่มน้ำอมฤตแล้ว. พระองค์เสด็จอุบัติ
เพื่อความอนุเคราะห์แก่สัตวโลกนี้. ในวันที่ ๕ ในเวลาจบ อนัตต-
ลักขณสูตร พระปัญจวัคคีย์เถระ ดำรงอยู่ในพระอรหัตแล้ว. พระองค์
เสด็จอุบัติเพื่อความอนุเคราะห์แก่สัตวโลกแม้นี้. ลำดับนั้น ทรง
ให้บุรุษ ๕๕ คน มียสกุลบุตรเป็นหัวหน้า ดำรงอยู่ในพระอรหัต.
แต่นั้นทรงให้ภัททวัคคีย์กุมาร ๓๐ คน ณ ไพรสณฑ์ป่าฝ้าย ได้
บรรลุ มรรค ๓ และผล ๓. พระองค์เสด็จอุบัติเพื่อความอนุเคราะห์
แก่สัตวโลกนี้. ในเวลาจบอาทิตตปริยายสูตร ให้ชฎิล ๑,๐๐๐ คน
ดำรงอยู่ในพระอรหัต ณ คยาสีสประเทศ. อนึ่ง พราหมณ์และ
คฤหบดี ๑๑ นหุต มีพระเจ้าพิมพิสารเป็นประมุข ณ สวนตาลหนุ่ม
ฟังพระธรรมเทศนาของพระศาสดาแล้ว ดำรงอยู่ในโสดาปัตติผล
อีก ๑ นหุต ตั้งอยู่ในสรณะ ในเวลาจบอนุโมทนาด้วยติโรกุฑฑสูตร
สัตว์ ๘๔,๐๐๐ ได้ดื่มน้ำอมฤตแล้ว. ในสมาคมแห่งนายสุมนมาลาการ
สัตว์ ๘๔,๐๐๐ ดื่มน้ำอมฤตแล้ว. ในสมาคมแห่งช้างธนบาล สัตว์
๑๐,๐๐๐ ดื่มน้ำอมฤตแล้ว. ในสมาคมแห่งขทิรังคารชาดก สัตว์
๘๔,๐๐๐ ดื่มน้ำอมฤตแล้ว. ในสมาคมแห่งชัมพุกาชีวก สัตว์
๘๔,๐๐๐ ดื่มน้ำอมฤต. ในสมาคมแห่งอานันทเศรษฐี สัตว์ ๘๔,๐๐๐
ดื่มน้ำอมฤต. ในวันแสดงปารายนสูตร ณ ปาสาณกเจดีย์ สัตว์
๑๔ โกฏิ ดื่มน้ำอมฤตแล้ว. ในวันแสดงยมกปาฏิหาริย์ สัตว์ ๒๐ โกฏิ

192
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก อังคุตรนิกาย เอกนิบาต เล่ม ๑ ภาค ๑ – หน้าที่ 193 (เล่ม 32)

ดื่มน้ำอมฤต. เมื่อพระศาสดาประทับนั่งบนบัณฑุกัมพลศิลาอาสน์
ณ ภพดาวดึงส์ ทรงกระทำพระมารดาให้เป็นกายสักขี แสดง
พระอภิธรรม ๗ คัมภีร์ สัตว์ ๘๐ โกฏิ ดื่มน้ำอมฤต. ในวันเสด็จลงจากเทวโลก
สัตว์ ๓๐ โกฏิ ดื่มน้ำอมฤต ในสักกปัญหสูตร เทวดา ๘๐,๐๐๐ ได้ดื่มน้ำอมฤต
แล้ว. ในฐานะทั้ง ๔ เหล่านี้ คือ ในมหาสมัยสูตร ในมงคลสูตร
ในจุลลราหุโลวาทสูตร ในสมจิตตปฏิปทาสูตร สัตว์ผู้ได้ตรัสรู้ธรรม
กำหนดไม่ได้. พระองค์เสด็จอุบัติเพื่อความอนุเคราะห์แก่สัตวโลก
แม้นี้แล. เบื้องหน้าแต่นี้จากวันนี้ไป (และ) ในอนาคตกาล พึงทราบ
เนื้อความในอธิการนี้ดังกล่าวมานี้ แม้ด้วยอำนาจแห่งเหล่าสัตว์ผู้
อาศัยพระศาสนาแล้วดำรงอยู่ในทางสวรรค์และพระนิพพาน.
บทว่า เทวมนุสฺสานํ ความว่า พระองค์เสด็จอุบัติ เพื่อประโยชน์
เพื่อเกื้อกูล และเพื่อความสุข แก่เทวดาแสะมนุษย์อย่างเดียวเท่านั้น
ก็หาไม่ (แต่) เสด็จอุบัติ เพื่อประโยชน์ เพื่อเกื้อกูล และเพื่อความสุข
แก่สัตว์ที่เหลือ มีนาคและครุฑเป็นต้นด้วย. ก็เพื่อจะแสดงบุคคล
ผู้ถือปฏิสนธิเป็นสเหตุกะ ผู้สมควรทำให้แจ้งมรรคและผล จึงกล่าว
อย่างนั้น. เพราะเหตุนั้น พึงทราบว่า พระองค์เสด็จอุบัติ เพื่อประโยชน์
เพื่อเกื้อกูลและเพื่อความสุขเท่านั้น แม้แก่สัตว์เหล่านั้น.
บทว่า กตโม เอกปุคฺคโล มีปุจฉาดังต่อไปนี้ :-
ชื่อว่า ปุจฉานี้ มี ๕ อย่าง คือ อทิฏฐโชตนาปุจฉา (คำถาม
เพื่อให้กระจ่างในสิ่งที่ตนยังไม่เห็น) ๑ ทิฏฐสังสันทนาปุจฉา (คำถาม
เพื่อเทียบกับสิ่งที่ตนเห็นแล้ว) ๑ วิมติเฉทนาปุจฉา (คำถามเพื่อ
ตัดความสงสัย) ๑ อนุมิปุจฉา (คำถามเพื่อรับอนุมัติ ) ๑ กเถตุ-

193
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก อังคุตรนิกาย เอกนิบาต เล่ม ๑ ภาค ๑ – หน้าที่ 194 (เล่ม 32)

กัมยตาปุจฉา (คำถามโดยใคร่จะกล่าวเสียเอง ๑ ปุจฉาทั้ง ๕ นั้น
มีความค้างกันดังต่อไปนี้ :-
อทิฎฐโชตนาปุจฉา เป็นไฉน ? ลักษณะตามปกติ เป็นสิ่ง
ยังไม่รู้ ยังไม่เห็น ยังชั่งไม่ได้ ยังไม่ได้ไตร่ตรอง ยังไม่ปรากฏ
ชัด ยังไม่แจ่มแจ้ง บุคคลย่อมถามปัญหาเพื่อรู้ เพื่อเห็น เพื่อชั่ง
เพื่อไตร่ตรอง เพื่อต้องการให้ปรากฏชัด เพื่อต้องการความแจ่ม
แจ้ง แห่งลักษณะนั้น นี้ชื่อว่า อทิฏฐโชตนาปุจฉา.
ทิฏฐสังสันทนาปุจฉา เป็นไฉน ? ลักษณะตามปกติ เป็นอันรู้
แล้ว เห็น ชั่ง ไตร่ตรอง ปรากฏชัด และแจ่มแจ้งแล้ว บุคคลย่อมถาม
ปัญหา เพื่อเทียบเคียงกับบัณฑิตเหล่าอื่น นี้ชื่อว่า ทิฏฐสังสันทนา-
ปุจฉา.
วิมติเฉทนาปุจฉา เป็นไฉน ? ตามปกติ บุคคลย่อมแล่นไป
สู่ความสงสัย เกิดความลังเลใจขึ้นว่า เป็นอย่างนี้หรือหนอ มิใช่
หรือหนอ เป็นอะไรหนอ เป็นอย่างไรหนอ เขาจึงถามปัญหา เพื่อ
ต้องการตัดความสงสัย นี้ชื่อว่า วิมติเฉทนาปุจฉา.
อนุมติปุจฉา เป็นไฉน. จริงอยู่ พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสถาม
ปัญหา ตามความเห็นชอบของภิกษุทั้งหลายว่า ภิกษุทั้งหลาย
พวกเธอสำคัญความข้อนั้นเป็นไฉน ? รูปเที่ยงหรือไม่เที่ยง. ไม่
เที่ยงพระเจ้าข้า. ก็รูปใดไม่เที่ยง รูปนั้น เป็นทุกข์หรือเป็นสุขเล่า.
เป็นทุกข์พระเจ้าข้า. ก็รูปใดไม่เที่ยงเป็นทุกข์ มีความแปรปรวน
ไปเป็นธรรมดา ควรหรือที่จะตามเห็นรูปนั่นว่า นั่นเป็นของเรา

194
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก อังคุตรนิกาย เอกนิบาต เล่ม ๑ ภาค ๑ – หน้าที่ 195 (เล่ม 32)

เราเป็นนั่น นั่นเป็นอัตตาของเรา. ก็ข้อนั้นไม่เป็นอย่างนั้นพระเจ้าข้า.
นี้ชื่อว่า อนุมติปุจฉา.
กเถตุกัมยตาปุจฉา เป็นไฉน ? พระผู้มีพระภาคเจ้า ตรัสถาม
ปัญหาโดยที่พระองค์ทรงมีพระประสงค์จะตรัสตอบเสียเอง แก่
ภิกษุทั้งหลาย ว่า ภิกษุทั้งหลาย สติปัฏฐาน ๔ เหล่านี้ สติปัฏฐาน ๔
เป็นไฉน ? นี้ชื่อว่า กเถตุกัมยตาปุจฉา.
ในปุจฉาทั้ง ๕ เหล่านั้น ปุจฉา ๓ ข้างต้น ไม่มีแก่พระพุทธเจ้า
ทั้งหลาย. เพราะเหตุไร ? เพราะว่าสิ่งไร ๆ ในกาลอันยืดยาวทั้ง ๓
กาล ที่ปัจจัยปรุงแต่ง หรือพ้นจากกาลอันยืดยาว ที่ปัจจัยปรุงแต่ง
ไม่ได้ ชื่อว่าไม่ทรงเห็น ไม่ทรงทราบ ไม่ทรงชั่ง ไม่ทรงไตร่ตรอง
ไม่ปรากฏชัด ไม่แจ่มแจ้ง ย่อมไม่มีแก่พระพุทธเจ้าทั้งหลาย เพราะ
ฉะนั้น อทิฏฐโชตนาปุจฉา จึงไม่มีแก่พระพุทธเจ้าเหล่านั้น. ก็สิ่ง
ใดที่พระผู้มีพระภาคเจ้า ทรงรู้แล้วด้วยพระญาณของพระองค์
กิจคือการเทียบเคียงสิ่งนั้น กับด้วยผู้อื่น ไม่ว่าจะเป็นสมณะ พราหมณ์
เทวดา มาร หรือพรหม ย่อมไม่มี ด้วยเหตุนั้น ทิฏฐสังสันทนาปุจฉา
ย่อมไม่มีแก่พระองค์. ก็เพราะเหตุที่พระองค์ไม่มีความสงสัย. เป็น
เหตุให้กล่าวว่าอย่างไร เป็นผู้ข้ามพ้นความเคลือบแคลงเสียได้
ขจัดความสงสัยในธรรมทั้งปวงได้แล้ว ด้วยเหตุนั้น วิมติเฉทนาปุจฉา
จึงไม่มีแก่พระองค์. ส่วนปุจฉา ๒ ข้อนอกนี้ย่อมมีแก่พระผู้มีพระ-
ภาคเจ้า. ในปุจฉาเหล่านั้น ปุจฉานี้ พึงทราบว่า กเถตุกัมยตาปุจฉา.

195