No Favorites




หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก สังยุตตนิกาย สฬายตนวรรค เล่ม ๔ ภาค ๑ – หน้าที่ 338 (เล่ม 28)

สมุททวรรคที่ ๓
๑. ปฐมสมุททสูตร
ว่าด้วยสมุทรในวินัยของพระอริยเจ้า
[๒๘๕] ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ปุถุชนผู้ไม่ได้สดับแล้ว ย่อมกล่าว
ว่า สมุทร ๆ ดังนี้ ภิกษุทั้งหลาย สมุทรนั้นไม่ชื่อว่าเป็นสมุทรในวินัยของ
พระอริยเจ้า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย สมุทรนั้นเรียกว่า เป็นแอ่งน้ำใหญ่
เป็นห้วงน้ำใหญ่ ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย จักษุเป็นสมุทรของบุรุษ กำลัง
ของจักษุนั้นเกิดจากรูป บุคคลใดย่อมอดกลั้นกำลังอันเกิดจากรูปนั้นได้
บุคคลนี้เรียกว่าเป็นพราหมณ์ ข้ามสมุทรคือจักษุ ซึ่งมีทั้งคลื่น มีทั้งน้ำวน
มีทั้งสัตว์ร้าย มีทั้งผีเสื้อน้ำ แล้วขึ้นถึงฝั่งตั้งอยู่บนบก ฯลฯ ใจเป็นสมุทร
ของบุรุษ กำลังของใจนั้นเกิดจากธรรมารมณ์ บุคคลใดย่อมอดกลั้นกำลัง
อันเกิดจากธรรมารมณ์นั้นได้ บุคคลนี้เรียกว่าเป็นพราหมณ์ ข้ามสมุทรคือ
ใจได้ ซึ่งมีทั้งคลื่น มีทั้งน้ำวน มีทั้งสัตว์ร้าย มีทั้งผีเสื้อน้ำ แล้วขึ้นถึงฝั่ง
ตั้งอยู่บนบก.
พระผู้มีพระภาคเจ้าผู้สุคตศาสดา ครั้นได้ตรัสไวยากรณภาษิตนี้จบ
ลงแล้วจึงได้ตรัสคาถาประพันธ์ต่อไปว่า
[๒๘๖] บุคคลใดข้ามสมุทรนี้ ซึ่งมีทั้งคลื่น มีทั้งน้ำวน
มีทั้งสัตว์ร้าย มีทั้งผีเสื้อน้ำ น่าหวาดกลัว ข้ามได้
แสนยาก ได้แล้ว บุคคลนั้นเราเรียกว่า เป็นผู้จบ
เวท อยู่จบพรหมจรรย์ ถึงที่สุดแห่งโลก ถึงฝั่งแล้ว.
จบ ปฐมสมุททสูตรที่ ๑

338
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก สังยุตตนิกาย สฬายตนวรรค เล่ม ๔ ภาค ๑ – หน้าที่ 339 (เล่ม 28)

สมุททวรรคที่ ๓
อรรถกถาปฐมสมุททสูตรที่ ๑
ในสมุททวรรค ปฐมสมุททสูตรที่ ๑ มีวินิจฉัยดังต่อไปนี้
บทว่า จกฺขุํ ภิภฺขเว ปุริสสฺส สมุทฺโท ความว่า อารมณ์
ชื่อว่าสมุทรเพราะอรรถว่า เต็มได้โดยยาก ก็ได้ หรือ เพราะอรรถว่าตั้งขึ้น
ก็ได้ จักษุนั่นแหละเป็นสมุทร. จริงอยู่อารมณ์มีสีเขียวเป็นต้น ของจักษุนั้น
ร่วมกันเข้าตั้งแต่พื้นปฐพี จนจดชั้นอกนิฏฐที่พรหมโลก ไม่สามารถจะทำให้
เต็มที่ได้ อารมณ์ชื่อว่าสมุทร เพราะอรรถว่าเต็มได้ยาก ก็มีด้วยประการฉะนี้
ส่วนจักษุชื่อว่าเป็นสมุทรในเพราะอารมณ์ทั้งหลาย มีสีเขียวเป็นต้นนั้น ๆ
อันภิกษุไม่สำรวมแล้ว ย่อมถึงความกล้าแข็งด้วยการดำเนินไปที่มีโทษ
เพราะเป็นเหตุเกิดกิเลส เพราะฉะนั้นจึงชื่อว่าสมุทร เพราะอรรถว่าตั้งขึ้น
ก็มี. บทว่า ตสฺส รูปมโย เวโค ความว่า กำลังเร็วแห่งสมุทรคือจักษุแม้นั้น
สำเร็จมาแต่รูป หาประมาณมิได้ ด้วยอำนาจอารมณ์ ต่างด้วยอารมณ์มี
สีเขียวเป็นต้น ที่มารวมกัน พึงทราบเหมือนกำลังเร็วอันสำเร็จมาแต่คลื่น
ของสมุทรอันหาประมาณมิได้. บทว่า โย ตํ รูปมยํ เวคํ สหติ ความว่า
ู้ใด ไม่ทำกิเลสมีราคะเป็นต้นให้เกิดขึ้นอย่างนี้คือ ราคะในอารมณ์ที่น่า
พอใจ โทสะในอารมณ์ที่ไม่น่าพอใจ โมหะในอารมณ์ที่เป็นกลาง ๆ อดทน
กำลังเร็วที่สำเร็จมาแต่รูป ซึ่งรวมลงในสมุทรนั้น โดยเป็นผู้วางเฉยเสีย.
ในบทว่า สอุมฺมิ เป็นต้น พึงทราบวินิจฉัยดังต่อไปนี้. ชื่อว่า
สอุมฺมิ เพราะคลื่นคือกิเลส. ชื่อว่า สาวัฏฏะ เพราะวังวนคือกิเลส
ชื่อว่า สุคาหะ เพราะสัตว์ร้ายผู้จับคือกิเลส ชื่อว่า สรักขสะ เพราะผีร้าย

339
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก สังยุตตนิกาย สฬายตนวรรค เล่ม ๔ ภาค ๑ – หน้าที่ 340 (เล่ม 28)

คือกิเลส อนึ่งชื่อว่า สอุมฺมิ มีคลื่นก็โดยอำนาจความโกรธและความคับ
แค้น. สมจริงดังที่ตรัสไว้ว่า อุมฺมิภยนฺติ โข ภิกฺขเว โกธุปายาสสฺ-
เสตํ อธิวจนํ ภิกษุทั้งหลาย คำว่า อุมฺมิภยํ ภัยคือคลื่นนี้แล เป็น
ชื่อ แห่งความโกรธและความคับแค้น ชื่อว่า สาวัฏฏะวังวนด้วยอำนาจกาม
คุณ สมจริงดังที่ตรัสไว้ว่า อาวฏฺฏํ วา โหติ โข ภิกฺขเว ปญฺจนฺเนตํ
กามคุณานํ อธิวจนํ ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย คำว่า อาวฏฺฏํ นี้เป็นชื่อ
กามคุณ ๕. ชื่อว่า สคาหะ ชื่อว่า สรักขสะ ด้วยอำนาจแห่งมาตุคาม.
สมจริงดังที่ตรัสไว้ว่า ภิกษุทั้งหลาย คำว่า สรกฺขโส นี้แลเป็นชื่อ
มาตุคาม. แม้ในทวารที่เหลือ ก็นัยนี้เหมือนกัน. บทว่า สภยํ ทุตฺตรํ
อจฺจตริ ความว่า ข้ามสมุทรที่มีภัย ด้วยภัยคือคลื่น ก้าวลงได้ยาก.
บทว่า โลกนฺตคู ได้แก่ถึงที่สุด แห่งสังขารโลก. บทว่า ปารคโตติ วุจฺจติ
ความว่า ท่านเรียกว่า ถึงพระนิพพาน.
จบ อรรถกถาปฐมสมุททสูตรที่ ๑
๒. ทุติยสมุททสูตร
ว่าด้วยสมุทรในวินัยของพระอริยเจ้า
[๒๘๗] ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ปุถุชนไม่ได้สดับแล้ว ย่อมกล่าวว่า
สมุทร ๆ ดังนี้ ภิกษุทั้งหลาย สมุทรนั้นไม่ชื่อว่าเป็นสมุทรในวินัยของ
พระอริยเจ้า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย สมุทรนั้นเรียกว่า เป็นแอ่งน้ำใหญ่
เป็นห้วงน้ำใหญ่ รูปอันจะพึงรู้แจ้งด้วยจักษุ อันน่าปรารถนา น่าใคร่ น่า
พอใจ น่ารัก อาศัยความใคร่ ชวนให้กำหนัด นี้เรียกว่าเป็นสมุทรในวินัย

340
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก สังยุตตนิกาย สฬายตนวรรค เล่ม ๔ ภาค ๑ – หน้าที่ 341 (เล่ม 28)

ของพระอริยเจ้า โลกนี้ พร้อมทั้งเทวโลก มารโลก พรหมโลก หมู่สัตว์
พร้อมทั้งสมพราหมณ์ เทวดาและมนุษย์ มีอยู่ในสมุทรนี้ โดยมาก
เป็นผู้เศร้าหมอง เกิดเป็นผู้ยุ่งประดุจด้ายของช่างหูก เกิดเป็นปมประหนึ่ง
กระจุกด้าย เป็นดุจหญ้าปล้องและหญ้ามุงกระต่าย หาล่วงอบาย ทุคติ
วินิบาต สงสารไปได้ไม่ ฯลฯ ธรรมารมณ์อันจะพึงรู้ได้ด้วยใจ น่าปรารถนา
น่าใคร่ น่าพอใจ น่ารัก อาศัยความใคร่ ชวนให้กำหนัด นี้เรียกว่าเป็น
สมุทรในวินัยของพระอริยเจ้า โลกนี้ พร้อมทั้งเทวโลก มารโลก พรหม-
โลก หมู่สัตว์พร้อมทั้งสมณพราหมณ์ เทวดาและมนุษย์ มีอยู่ในสมุทรนี้
โดยมาก เป็นผู้เศร้าหมอง เกิดเป็นผู้ยุ่งดุจด้ายของช่างหูก เกิดเป็นปม
ประหนึ่งกระจุกด้าย เป็นดุจหญ้าปล้องและหญ้ามุงกระต่าย หาล่วงอบาย
ทุคติ วินิบาต สงสารไปได้ไม่.
[๒๘๘] บุคคลใดคลายราคะ โทสะ และอวิชชาได้แล้ว
บุคคลนั้นชื่อว่าข้ามสมุทรนี้ ซึ่งมีทั้งสัตว์ร้าย มีทั้ง
ผีเสื้อน้ำ มีภัยคือคลื่น ที่ข้ามได้แสนยาก ได้แล้ว
เรากล่าวว่า บุคคลนั้นล่วงพ้นเครื่องข้อง ละมัจจุ
ไม่มีอุปธิ และทุกข์ได้ขาดเพื่อไม่เกิดต่อไป ถึง
ความดับสูญ ไม่กลับมาเกิดอีก ลวงมัจจุราชให้
หลงได้.
จบ ทุติยสมุททสูตรที่ ๒

341
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก สังยุตตนิกาย สฬายตนวรรค เล่ม ๔ ภาค ๑ – หน้าที่ 342 (เล่ม 28)

อรรถกถาทุติยสมุททสูตรที่ ๒
ในทุติยสมุททสูตรที่ ๒ มีวินิจฉัยดังต่อไปนี้.
บทว่า สมุทฺโท ความว่า ชื่อว่า สมุททะ เพราะอรรถว่า ตั้งขึ้น
ท่านอธิบายไว้ว่า เพราะอรรถว่า เปียกชุ่ม. บทว่า เยภุยฺเยน ความว่า
เว้นพระอริยสาวกทั้งหลาย. บทว่า สมุทฺทา ความว่า เปียก ชุ่ม จมน้ำ.
คำว่า กนฺตา กุลกชาตา เป็นต้น กล่าวไว้พิสดารแล้วในหนหลังนั่นแล.
บทว่า มจฺจุชโห ได้แก่ละมัจจุทั้ง ๓ แล้วอยู่. บทว่า นิรูปธิ ได้แก่
ไม่มีอุปธิ ด้วยอุปธิทั้ง ๓. บทว่า อปุนพฺภวาย ได้แก่ เพื่อประโยชน์
แก่พระนิพพาน. บทว่า อโมหยี มจฺจุราชํ ความว่า ไปทางข้างหลังพระยา
มัจจุราช โดยอาการที่พระยามัจจุราชไม่รู้คติของเขา.
จบ อรรถกถาทุติยสมุททสูตรที่ ๒
๓. พาลิสิกสูตร
ว่าด้วยเบ็ด ๖ ชนิด
[๒๘๙] ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย พรานเบ็ดหย่อนเบ็ดที่มีเหยื่อลง
ในห้วงน้ำลึก ปลาที่เห็นแก่เหยื่อตัวหนึ่งกลืนกินเบ็ดนั้น ปลานั้นชื่อว่า
กลืนกินเบ็ดของนายพรานเบ็ด ถึงความวิบัติ ถึงความพินาศ พรานเบ็ด
พึงกระทำได้ตามชอบใจฉันใด ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ในโลกนี้มีเบ็ดอยู่
๖ ชนิดเหล่านี้ สำหรับนำสัตว์ทั้งหลายไป สำหรับฆ่าสัตว์ทั้งหลายเสีย
ก็ฉันนั้นเหมือนกัน เบ็ด ๖ ชนิด คืออะไรบ้าง. คือ รูปอันจะพึงรู้แจ้ง

342
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก สังยุตตนิกาย สฬายตนวรรค เล่ม ๔ ภาค ๑ – หน้าที่ 343 (เล่ม 28)

ด้วยจักษุ อันน่าปรารถนา น่าใคร่ น่าพอใจ น่ารัก อาศัยความใคร่
ชวนให้กำหนัด มีอยู่ ถ้าภิกษุเพลิดเพลิน สรรเสริญ หมกมุ่นในรูปนั้น
ภิกษุนี้เราเรียกว่า กลืนกินเบ็ดของมาร ถึงความวิบัติ ถึงความพินาศ
มารใจบาปพึงกระทำได้ตามชอบใจ เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ ธรรมารมณ์
อันจะพึงรู้แจ้งด้วยใจ อันน่าปรารถนา น่าใคร่ น่าพอใจ น่ารัก อาศัย
ความใคร่ ชวนให้กำหนัด มีอยู่ ถ้าภิกษุเพลิดเพลิน สรรเสริญ หมกมุ่น
ธรรมารมณ์นั้น ภิกษุนี้เราเรียกว่า กลืนกินเบ็ดของมาร ถึงความวิบัติ
ถึงความพินาศ มารใจบาปพึงกระทำได้ตามชอบใจ.
[๒๙๐] ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย รูปอันจะพึงรู้แจ้งด้วยจักษุอันน่า
ปรารถนา น่าใคร่ น่าพอใจ น่ารัก อาศัยความใคร่ ชวนให้กำหนัด
มีอยู่ ถ้าภิกษุไม่เพลิดเพลิน ไม่สรรเสริญ ไม่หมกมุ่นรูปนั้น ภิกษุนี้
เราเรียกว่า ไม่กลืนกินเบ็ดของมาร ได้ทำลายเบ็ด ตัดเบ็ด ไม่ถึงความวิบัติ
ไม่ถึงความพินาศ มารใจบาปไม่พึงกระทำได้ตามชอบใจ เสียง กลิ่น รส
โผฏฐัพพะ ธรรมารมณ์อันจะพึงรู้ได้ด้วยใจ อันน่าปรารถนา น่าใคร่
น่าพอใจ น่ารัก อาศัยความใคร่ ชวนให้กำหนัด มีอยู่ ถ้าภิกษุไม่
เพลิดเพลิน ไม่สรรเสริญ ไม่หมกมุ่นธรรมารมณ์นั้น ภิกษุนี้เราเรียกว่า
ไม่กลืนกินเบ็ดของมาร ได้ทำลายเบ็ด ตัดเบ็ด ไม่ถึงความวิบัติ ไม่ถึง
ความพินาศ มารใจบาปไม่พึงกระทำได้ตามชอบใจ.
จบ พาลิสิกสูตรที่ ๓

343
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก สังยุตตนิกาย สฬายตนวรรค เล่ม ๔ ภาค ๑ – หน้าที่ 344 (เล่ม 28)

อรรถกถาพาลิสิกสูตรที่ ๓
พาลิสิกสูตรที่ ๓ มีนัยดังกล่าวแล้วนั่นแล.
จบ อรรถกถาพาลิสิกสูตรที่ ๓
๔. ขีรรุกขสูตร
ว่าด้วยทรงเปรียบเทียบกิเลสกับยางไม้
[๒๙๑] ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ราคะ โทสะ โมหะ ของภิกษุ
หรือภิกษุณีรูปใดรูปหนึ่ง มีอยู่ในรูปทั้งหลาย อันจักษุวิญญาณพึงรู้แจ้ง
ภิกษุหรือภิกษุณีนั้น ไม่ละราคะ โทสะ โมหะนั้นแล้ว ถ้าแม้รูป
อันจักขุวิญญาณพึงรู้แจ้ง ซึ่งมีประมาณน้อย มาปรากฏในจักษุของภิกษุ
หรือภิกษุณีนั้น ก็ยังครอบงำจิตของภิกษุหรือภิกษุณีนั้นได้ จะป่วยกล่าว
ไปไยถึงรูปอันมีประมาณยิ่ง จักไม่ครอบงำจิตของภิกษุหรือภิกษุณีนั้นได้เล่า
ข้อนั้นเพราะเหตุไร. เพราะราคะ โทสะ โมหะนั้นยังมีอยู่ ภิกษุหรือภิกษุณี
นั้นยังละราคะ โทสะ โมหะนั้นไม่ได้. ราคะ โทสะ โมหะของภิกษุ
หรือภิกษุณีรูปใดรูปหนึ่ง มีอยู่ในเสียง ในกลิ่น ในรส ในโผฏฐัพพะ
ในธรรมารมณ์อันมโนวิญญาณพึงรู้แจ้ง ภิกษุหรือภิกษุณีนั้นไม่ละราคะ
โทสะ โมหะนั้นแล้ว ถ้าแม้ธรรมารมณ์อันมโนวิญญาณพึงรู้แจ้ง ซึ่งมี
ประมาณน้อย มาปรากฏในใจของภิกษุหรือภิกษุณีนั้น. ก็ยังครอบงำจิต
ของภิกษุหรือภิกษุณีนั้นได้ จะป่วยกล่าวไปไยถึงธรรมารมณ์อันมีประมาณ
ยิ่ง จักไม่ครอบงำจิตของภิกษุหรือภิกษุณีนั้นได้เล่า ข้อนั้นเพราะเหตุไร.
เพราะราคะ โทสะ โมหะนั้นยังมีอยู่ ภิกษุหรือภิกษุณีนั้นยังละราคะ โทสะ
โมหะนั้นไม่ได้.

344
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก สังยุตตนิกาย สฬายตนวรรค เล่ม ๔ ภาค ๑ – หน้าที่ 345 (เล่ม 28)

[๒๙๒] ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ต้นโพธิ์ ต้นไทร ต้นกร่าง หรือ
ต้นมะเดื่อ เป็นต้นไม้มียาง ขนาดเขื่อง ขนาดรุ่น ขนาดเล็ก บุรุษเอาขวาน
อันคมสับต้นไม้นั้น ตรงที่ไร ๆ ยางพึงไหลออกหรือ. ภิกษุทั้งหลาย
กราบทูลว่า อย่างนั้นพระเจ้าข้า.
พ. ข้อนั้น เพราะอะไร.
ภิ. เพราะยางมีอยู่ พระเจ้าข้า.
พ. ข้อนั้นฉันใด ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ข้อนี้ก็ฉันนั้นเหมือนกัน
ราคะ โทสะ โมหะ ของภิกษุหรือภิกษุณีรูปใดรูปหนึ่ง มีอยู่ในรูปอันจักขุ-
วิญญาณพึงรู้แจ้ง ภิกษุหรือภิกษุณีนั้นไม่ละราคะ โทสะ โมหะนั้นแล้ว
ถ้าแม้รูปอันจักขุวิญญาณพึงรู้แจ้ง ซึ่งมีประมาณน้อย มาปรากฏในจักษุ
ของภิกษุหรือภิกษุณีนั้น ก็ยังครอบงำจิตของภิกษุหรือภิกษุณีได้ จะป่วย
กล่าวไปไยถึงรูปอันมีประมาณยิ่ง จักไม่ครอบงำจิตของภิกษุหรือภิกษุณีนั้น
ได้เล่า ข้อนั้นเพราะเหตุไร. เพราะราคะ โทสะ โมหะนั้นยังมีอยู่ ภิกษุ
หรือภิกษุณีนั้นยังละราคะ โทสะ โมหะนั้นไม่ได้ ราคะ โทสะ โมหะ
ของภิกษุหรือภิกษุณีรูปใดรูปหนึ่งมีอยู่ในเสียง ในกลิ่น ในรส ใน
โผฏฐัพพะ ในธรรมารมณ์อันมโนวิญญาณพึงรู้แจ้ง ภิกษุหรือภิกษุณีนั้น
ไม่ละราคะ โทสะ โมหะนั้นแล้ว ถ้าแม้ธรรมารมณ์อันมโนวิญญาณ
พึงรู้แจ้ง ซึ่งมีประมาณน้อย มาปรากฏในใจของภิกษุหรือภิกษุณีนั้น ยัง
ครอบงำจิตของภิกษุหรือภิกษุณีนั้นได้ จะป่วยกล่าวไปไยถึงธรรมารมณ์
อันมีประมาณยิ่ง จักไม่ครอบงำจิตของภิกษุหรือภิกษุณีนั้นได้เล่า ข้อนั้น
เพราะเหตุไร. เพราะราคะ โทสะ โมหะ ยังมีอยู่ ภิกษุหรือภิกษุณีนั้น
ยังละราคะ โทสะ โมหะนั้นไม่ได้.

345
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก สังยุตตนิกาย สฬายตนวรรค เล่ม ๔ ภาค ๑ – หน้าที่ 346 (เล่ม 28)

[๒๙๓] ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ราคะ โทสะ โมหะ ของภิกษุ
หรือภิกษุณีรูปใดรูปหนึ่ง ไม่มีอยู่ในรูปอันจักขุวิญญาณพึงรู้แจ้ง ภิกษุ
หรือภิกษุณีนั้นละราคะ. โทสะ โมหะนั้นแล้ว ถ้าแม้รูปอันจักขุวิญญาณ
พึงรู้แจ้งซึ่งมีประมาณยิ่ง มาปรากฏในจักษุของภิกษุหรือภิกษุณีนั้น ก็ยัง
ครอบงำจิตของภิกษุหรือภิกษุณีนั้นไม่ได้เลย จะป่วยกล่าวไปไยถึงรูปอันมี
ประมาณน้อย จักครอบงำจิตของภิกษุหรือภิกษุณีนั้นได้เล่า ข้อนั้นเพราะ
เหตุไร. เพราะราคะ โทสะ โมหะนั้นไม่มี ภิกษุหรือภิกษุณีนั้นละราคะ
โทสะ โมหะนั้นได้แล้ว ราคะ โทสะ โมหะ ของภิกษุหรือภิกษุณีรูปใด
รูปหนึ่งไม่มีอยู่ในเสียง ในกลิ่น ในรส ในโผฏฐัพพะ ในธรรมารมณ์
อันมโนวิญญาณพึงรู้แจ้ง ซึ่งมีประมาณยิ่ง มาปรากฏในใจของภิกษุหรือ
ภิกษุณีนั้น ก็ครอบงำจิตของภิกษุหรือภิกษุณีนั้นไม่ได้เลย จะป่วยกล่าว
ไปไยถึงธรรมารมณ์อันมีประมาณน้อย จักครอบงำจิตของภิกษุหรือภิกษุณี
นั้นได้เล่า ข้อนั้นเพราะเหตุไร. เพราะราคะ โทสะ โมหะนั้นไม่มี ภิกษุ
หรือภิกษุณีนั้นละราคะ โทสะ โมหะนั้นได้แล้ว.
[๒๙๔] ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ต้นโพธิ์ ต้นไทร ต้นกร่าง หรือ
ต้นมะเดื่อซึ่งเป็นไม้มียาง เป็นต้นไม้แห้ง เป็นไม้ผุ เกินปีหนึ่ง บุรุษเอา
ขวานอันคมสับต้นไม้นั้น ตรงที่ไร ๆ ยางพึงไหลออกมาหรือ. ภิกษุทั้งหลาย
กราบทูลว่า ไม่ใช่อย่างนั้น พระเจ้าข้า.
พ. ข้อนั้น เพราะเหตุไร.
ภิ. เพราะยางไม่มี พระเจ้าข้า.

346
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก สังยุตตนิกาย สฬายตนวรรค เล่ม ๔ ภาค ๑ – หน้าที่ 347 (เล่ม 28)

พ. ข้อนั้นฉันใด ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ข้อนี้ก็ฉันนั้นเหมือนกัน
ราคะ โทสะ โมหะ ของภิกษุหรือภิกษุณีรูปใดรูปหนึ่ง ไม่มีอยู่ในรูป
อันจักขุวิญญาณพึงรู้แจ้ง ภิกษุหรือภิกษุณีนั้นละราคะ โทสะ โมหะนั้นแล้ว
ถ้าแม้รูปอันจักขุวิญญาณพึงรู้แจ้ง ซึ่งมีประมาณยิ่ง มาปรากฏในจักษุของ
ภิกษุหรือภิกษุณีนั้น ก็ยังครอบงำจิตของภิกษุหรือภิกษุณีนั้นไม่ได้เลย จะ
ป่วยกล่าวไปไยถึงรูปอันมีประมาณน้อย จักครอบงำจิตของภิกษุหรือภิกษุณี
นั้นได้เล่า ข้อนั้นเพราะเหตุไร. เพราะราคะ โทสะ โมหะนั้นไม่มี ภิกษุ
หรือภิกษุณีนั้นละราคะ โทสะ โมหะนั้นแล้ว ราคะ โทสะ โมหะ ของ
ภิกษุหรือภิกษุณีรูปใดรูปหนึ่ง ไม่มีอยู่ในเสียง ในกลิ่น ในรส ใน
โผฏฐัพพะ ในธรรมารมณ์อันมโนวิญญาณพึงรู้แจ้ง ภิกษุหรือภิกษุณีนั้น
ละราคะ โทสะ โมหะนั้นแล้ว ถ้าธรรมารมณ์อันมโนวิญญาณพึงรู้แจ้ง
ซึ่งมีประมาณยิ่ง มาปรากฏในใจของภิกษุหรือภิกษุณีนั้น ก็ยังครอบงำจิต
ของภิกษุหรือภิกษุณีนั้นไม่ได้เลย จะป่วยกล่าวไปไยถึงธรรมารมณ์อันมี
ประมาณน้อย จักครองงำจิตของภิกษุหรือภิกษุณีนั้นได้เล่า ข้อนั้นเพราะ
เหตุไร เพราะราคะ โทสะ โมหะนั้นไม่มี ภิกษุหรือภิกษุณีนั้นละราคะ
โทสะ โมหะนั้นได้แล้ว.
จบ ขีรรุกขสูตรที่ ๔
อรรถกถาขีรรุกขสูตร
ในขีรรุกขสูตรที่ ๔ มีวินิจฉัยดังต่อไปนี้.

347