No Favorites




หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก มัชฌิมนิกาย มัชฌิมปัณณาสก์ เล่ม ๒ ภาค ๒ – หน้าที่ 156 (เล่ม 21)

สุดท้ายอยู่ แล้วกล่าวว่า เจ้าจะต้องฆ่าคนให้ได้พันคน ในเรื่องนี้
เจ้าจะเป็นผู้เดียวลุกขึ้น ฆ่าเขาให้ได้ครบพัน. ทีนั้นอาจารย์จึงกล่าว
กะอหิงสกกุมารว่า มาเถอะพ่อ เจ้าจงฆ่าให้ได้พันคน เมื่อทำได้เช่นนี้ ก็จัก
เป็นอันกระทำอุปจาระแก่ศิลปะ การบูชาครู ดังนี้ . อหิงสกกุมารจึงกล่าวว่า
ข้าแต่ท่านอาจารย์ ข้าพเจ้าเกิดในตระกูลที่ไม่เบียดเบียน ข้าพเจ้าไม่อาจทำเช่น
นั้น. ศิลปะที่ไม่ได้ค่าบูชาครูก็จะไม่ให้ผลนะพ่อ. อหิงสกกุมารนั้นจึงถือ
อาวุธ ๕ ประการ ไหว้อาจารย์เข้าสู่ดงยืน ณ ที่คนจะเข้าไปสู่ดงบ้าง ที่ตรง
กลางดงบ้าง ตรงที่ที่คนจะออกจากดงบ้าง ฆ่าคนเสียเป็นอันมาก. ก็ไม่ถือเอา
ผ้าหรือผ้าโพกศีรษะ กระทำเพียงกำหนดว่า ๑,๒, ดังนี้เดินไป แม้การนับก็
กำหนดไม่ได้. แต่โดยธรรมดาอหิงสกกุมารนี้ เป็นคนมีปัญญา แต่จิตใจไม่
ดำรงอยู่ได้ เพราะปาณาติบาต ฉะนั้น จึงกำหนดแม้การนับไม่ได้ตามลำดับ.
เขาตัดนิ้วได้หนึ่ง ๆ ก็เก็บไว้. ในที่ที่เก็บไว้ นิ้วมือก็เสียหายไป. ต่อแต่นั้น
จึงร้อยทำเป็นมาลัยนิ้วมือคล้องคอไว้. ด้วยเหตุนั้นแล เขาจึงปรากฏชื่อว่า
องคุลิมาล. องคุลิมาลนั้นท่องเที่ยวไปยังป่าทั้งสิ้นจนไม่มีใครสามารถไปป่าเพื่อ
หาฟืนเป็นต้น . ในตอนกลางคืนก็เข้ามายังภายใบบ้านเอาเท้าถีบประตู. แต่นั้น
ก็ฆ่าคนที่นอนนั้นแหละกำหนดว่า ๑,๑, เดินไป. บ้านก็ร่นถอยไปตั้งในนิคม.
นิคมก็ร่นถอยไปตั้งอยู่ในเมือง. พวกมนุษย์ทิ้งบ้านเรือนจูงลูกเดินทางมาล้อม
พระนครสาวัตถี เป็นระยะทางถึงสามโยชน์ ตั้งค่ายพักประชุมกันที่ลานหลวง
ต่างคร่ำครวญกล่าวกันว่า ข้าแต่สมมติเทพ ในแว่นแคว้นของพระองค์ มีโจรชื่อ
องคุลิมาลเป็นต้น . ในลำดับนั้น พราหมณ์รู้ว่า โจรองคุลิมาลนั้นจักเป็นบุตร
ของเรา จึงกล่าวกะนางพราหมณีว่า แนะนางผู้เจริญ เกิดโจรชื่อองคุลิมาลขึ้น
แล้ว โจรนั้นไม่ใช่ใครอื่น คืออหิงสกกุมารลูกของเจ้า บัดนี้ พระราชาจักเสด็จ
ออกไปจับเขา เราควรจะทำอย่างไร. นางพราหมณีพูดว่า นายท่านไปเถอะ จง

156
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก มัชฌิมนิกาย มัชฌิมปัณณาสก์ เล่ม ๒ ภาค ๒ – หน้าที่ 157 (เล่ม 21)

ไปพาลูกของเรามา. พราหมณ์พูดว่า แน่ะนางผู้เจริญ ฉันไม่กล้าไป เพราะไม่
ควรวางใจในคน ๔ จำพวก คือโจรที่เป็นเพื่อนเก่าของเรามา ก็ไม่ควรไว้ใจ
เพื่อนฝูงที่เคยมีสันถวไมตรีกันมาก่อนของเราก็ไม่ควรไว้ใจ พระราชาก็ไม่ควร
ไว้ใจว่า นับถือเรา. หญิงก็ไม่ควรไว้ใจว่านับอยู่ในเครือญาติของเรา แต่หัวใจ
ของแม่เป็นหัวใจที่อ่อน ฉะนั้น นางพราหมณีจึงกล่าวว่า ฉันจะไปพาลูกของ
ฉันมา ดังนี้ ออกไปแล้ว.
และในวันนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงตรวจดูสัตวโลกในเวลาปัจจุ-
สมัยใกล้รุ่ง ทรงเห็นองคุลิมาล จึงทรงพระดำริว่า เมื่อเราไปจักเป็นความ
สวัสดีแก่เธอ ผู้ที่อยู่ในป่าอันหาบ้านมิได้ครั้นได้ฟังคาถาอันประกอบด้วยบท ๔
ออกบวชในสำนักของเราแล้ว จักกระทำให้แจ้งซึ่งอภิญญา ๖ ถ้าเราไม่ไป เธอ
จะผิดในมารดา จักเป็นผู้อันใคร ๆ ยกขึ้นไม่ได้ เราจักการทำความสงเคราะห์
เธอ ดังนี้แล้ว ทรงนุ่งเวลาเข้าแล้วเข้าไปเพื่อบิณฑบาต ทรงกระทำภัตตกิจ
เสร็จแล้ว ประสงค์จะสงเคราะห์เธอ จึงเสด็จออกไปจากวิหาร. เพื่อจะแสดง
ความข้อนี้ ท่านจึงกล่าวว่า "อถ โข ภควา" ดังนี้ เป็นต้น. คำว่า สงฺคริตฺ-
วา สงฺคริตฺวา ความว่า เป็นพวกๆ คอยสังเกต. บทว่า หตฺถตฺถํ คจฺฉนฺติ
ความว่า ถึงความตั้งอยู่ไม่ได้ในมือ คือ พินาศไป. ถามว่า ก็คนเหล่านั้น
จำพระผู้มีพระภาคเจ้าได้แล้ว กล่าวอย่างนี้ว่า จำไม่ได้ หรือ ? ตอบว่า จำ
ไม่ได้. เพราะพระผู้มีพระภาคเจ้าจำแลงเพศ เสด็จไปเพียงพระองค์เดียว.
ในสมัยนั้น แม้โจรหงุดหงิดใจเพราะบริโภคอย่างฝืดเคือง และนอนลำบากมา
เป็นเวลานาน. อนึ่ง พวกมนุษย์ถูกโจรองคุลิมาลฆ่าไปเท่าไร. ถูกฆ่าไป
๙๙๙ คนแล้ว. ก็โจรนั้นมีความสำคัญว่า เดี๋ยวนี้ได้อีกคนเดียวก็จะครบพัน
ตั้งใจว่า เห็นผู้ใดก่อนก็จะฆ่าผู้นั้น ให้เต็มจำนวนกระทำอุปจาระแก่ศิลปะ (บูชา
ครู) โกนผมและหนวดแล้วอาบน้ำ ผลัดเปลี่ยนผ้าไปเห็นมารดาบิดา ดังนี้

157
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก มัชฌิมนิกาย มัชฌิมปัณณาสก์ เล่ม ๒ ภาค ๒ – หน้าที่ 158 (เล่ม 21)

จึงออกจากกลางดงมาสู่ปากดง ยืนอยู่ ณ ส่วนสุดข้างหนึ่ง ได้เห็นพระผู้มีพระ-
ภาคเจ้าแล้ว. เพื่อจะแสดงความข้อนี้ ท่านจึงกล่าวว่า "อทฺทสา โข" ดังนี้
เป็นต้น.
บทว่า อิทฺธาภิสงฺขารํ อภิสงฺขาเรสิ ความว่า ทรงบันดาลให้
เป็นเหมือนแผ่นดินใหญ่มีคลื่นตั้งขึ้น แล้วทรงเหยียบอยู่อีกด้านหนึ่ง เกลียว
ในภายในออกมา. องคุลิมาลทิ้งเครื่องซัดลูกศรเสียเดินไป. พระผู้มีพระภาคเจ้า
ทรงแสดงเนินใหญ่อยู่ข้างหน้าแล้วพระองค์อยู่ตรงกลาง โจรอยู่ริมสุด. องคุลิ-
มาลนั้นคิดว่า เราจักทันจับได้ในบัดนี้ จึงรีบแล่นไปด้วยสรรพกำลัง.
พระผู้มีพระภาคเจ้าเสด็จอยู่ริมสุดของเนิน โจรอยู่ตรงกลาง เขารีบแล่นมาโดย
เร็ว คิดว่า ทันจับได้ตรงนี้. พระผู้มีพระภาคเจ้าก็ทรงบันดาลเหมือง หรือ
แผ่นดินไว้ข้างหน้าเขาเสีย. โดยทำนองนี้ สิ้นทางไปถึงสามโยชน์. โจรเหนื่อย
น้ำลายในปากแห้ง เหงื่อไหลออกจากรักแร้. ครั้งนี้ได้มีความคิดดังนี้ แก่เขาว่า
น่าอัศจรรย์นักหนอ ท่านผู้เจริญ.
บทว่า มิคํปิ ความว่า เนื้อไฉนยังจับได้. ในตอนที่หิวก็จับเอา
มาเป็นอาหารได้. ได้ยินว่า โจรนั้น เคาะที่พุ่มไม้แห่งหนึ่งให้เนื้อลุกขึ้นหนีไป.
ต่อนั้นก็จะติดตามเนื้อได้ดังใจปรารถนาแล้วปิ้งเคี้ยวกิน. บทว่า ปุจฺเฉยฺยํ
ความว่า ท่านผู้นี้กำลังเดินไปอยู่เทียว (ก็ว่า) หยุดแล้ว ส่วนตัวเราหยุดอยู่
แล้วก็ว่าไม่หยุด ด้วยเหตุใด ทำไฉนหนอ เราจะพึงถามเหตุนั้น ๆ กะสมณะ
นี้. บทว่า นิธาย ความว่า แม้อาชญาใดอันบุคคลพึงให้เป็นไปในสัตว์ทั้งหลาย
เพื่อเบียดเบียน เราวางอาชญานั้น คือ นำออกเสีย พิจารณาด้วยเมตตา ขันติ
ประพฤติไปในสาราณียธรรมทั้งหลายด้วย อวิหิงสา. บทว่า ตุวมฏฺฐิโตสิ ความ
ว่า เมื่อท่านฆ่าสัตว์มีประมาณพันหนึ่งนี้ เพราะไม่มีความสำรวมในสัตว์ มี
ปาณะทั้งหลาย เมตตาก็ดี ขันติก็ดี ปฏิสังขารก็ดี อวิหิงสาก็ดี สาราณียธรรม

158
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก มัชฌิมนิกาย มัชฌิมปัณณาสก์ เล่ม ๒ ภาค ๒ – หน้าที่ 159 (เล่ม 21)

ก็ดี ของท่านจึงไม่มี ฉะนั้น ท่านจึงชื่อว่า ยังไม่หยุด. มีคำอธิบายว่า แม้ถึง
หยุดแล้วด้วยอิริยาบถในขณะนี้ ท่านก็จักแล่นไปในนรก คือจักแล่นไปในกำหนด
ติรัจฉาน ในเปรตวิสัย หรือในอสุรกาย. ในลำดับนั้น โจรคิดว่า การบรรลือ
สีหนาทนี้ใหญ่ การบรรลืออันใหญ่นี้จักเป็นของผู้อื่นไปมิได้ การบรรลือนี้ต้อง
เป็นของพระสมณเจ้าพระนามว่า สิทธธัตถะ ผู้โอรสแห่งพระนางมหามายา เรา
เห็นจะเป็นผู้อันพระสัมมาสัมพุทธเจ้าผู้มีพระจักษุคมกล้า ทรงเห็นแล้วหนอ
พระผู้มีพระภาคเจ้าเสด็จมาเพื่อทำการสงเคราะห์แก่เรา ดังนี้ จึงกล่าวว่า
จิรสฺสํ วต เม ดังนี้เป็นอาทิ.
ในบรรดาบทเหล่านั้น บทว่า มหิโต ความว่า อันเทวดาและมนุษย์
เป็นต้นบูชาแล้วด้วยการบูชาด้วยปัจจัย ๔. บทว่า ปจฺจุปาทิ ความว่า ทรง
ดำเนินมาสู่ป่าใหญ่นี้เพื่อจะสงเคราะห์เราโดยล่วงกาลนานนัก. คำว่า ปชหิสฺสํ
ปาปํ ความว่า ข้าพระองค์จักละบาป. บทว่า อิจฺเจว แปลว่า กล่าวอย่าง
นี้แล้วเทียว. บทว่า อาวุธํ ได้แก่ อาวุธ ๕ ประการะ บทว่า โสพฺเภ คือ
ที่ขาดไปข้างเดียว. บทว่า ปปาเต ได้แก่ ขาดข้างหนึ่ง. บทว่า นรเก คือ
ที่ที่แตกระแหง. อนึ่ง ในที่นี้ ท่านกล่าวถึงป่าเท่านั้น ด้วยบททั้งสามนี้. บทว่า
อวกิริ ได้แก่ ซัดไป คือ ทิ้งไปแล้ว. บทว่า ตเมหิ ภิก ขูหิ ตทา อโวจ
ความว่า พระผู้มีพระภาคเจ้าเมื่อจะยังอังคุลีมาลนี้ให้บวชก็ไม่มีกิจในการแสวง
หาว่า จักได้มีดน้อยที่ไหน จักได้บาตรจีวรที่ไหน ดังนี้. อนึ่ง ทรงตรวจ
ธรรม. ทีนั้นก็ทรงทราบว่า องคุลิมาลนั้น .ได้เคยถวายภัณฑะ คือ บริขาร
แปด แก่ท่านผู้มีศีลในปางก่อน จึงทรงเหยียดพระหัตถ์เบื้องขวา ตรัสว่า.
เอหิ ภิกขุ สฺวากฺขาโต ธมฺโม จร พฺรหฺมจริยํ สมฺมาทุกฺขสฺส
อนฺตกิริยาย เธอจงเป็นภิกษุมาเถิด ธรรมอันเรากล่าวไว้ดีแล้ว จงประพฤติ
พรหมจรรย์เพื่อทำที่สุดแห่งทุกข์โดยชอบเถิด ดังนี้. องคุลีมาลนั้นได้เฉพาะ

159
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก มัชฌิมนิกาย มัชฌิมปัณณาสก์ เล่ม ๒ ภาค ๒ – หน้าที่ 160 (เล่ม 21)

ซึ่งบาตรและจีวรอันสำเร็จด้วยฤทธิ์ พร้อมกับพระดำรัสนั้นเทียว. ในทันใด
นั้นเพศคฤหัสถ์ของท่านอันตรธานไป สมณเพศปรากฏแล้ว.
บริขาร ๘ ดังที่กล่าวไว้อย่างนี้ว่า
ไตรจีวร บาตร มีด เข็ม
ประคดเอว รวมเป็น ๘ กับ
ผ้ากรองน้ำ สมควรแก่ภิกษุผู้
ประกอบความเพียรแล้ว ดังนี้
เป็นของจำเป็นสำหรับตัว บังเกิดขึ้นแล้ว. คำว่า เอเสว ตสฺส อหุ ภิกฺขุ-
ภาโว ความว่า ความเป็นเอหิภิกขุ นี้ ได้เป็นภิกษุภาวะที่เข้าถึงพร้อมแก่
พระองคุลิมาลนั้น. ชื่อว่า การอุปสมบทต่างหากจากเอหิภิกษุ ไม่มีหามิได้.
บทว่า ปจฺฉาชมเณน ได้แก่ ปัจฉาสมณะผู้ถือภัณฑะ. ความว่า พระผู้มี
พระภาคเจ้าให้พระองคุลิมาลถือบาตรและจีวรของตน แล้วทรงทำพระองคุลีมาล
นั้นให้เป็นปัจฉาสมณะเสด็จไปแล้ว. ฝ่ายมารดาขององคุลิมาลนั้น ไม่รู้อยู่ เพราะ
อยู่ห่างกันประมาณ ๘ อสุภ เที่ยวร้องอยู่ว่า พ่ออหิงสกะ พ่อยืนอยู่ที่ไหน
พ่อนั่งอยู่ที่ไหน พ่อไปไหน ทำไม ไม่พูดกับแม่ละลูก ดังนี้ เมื่อไม่เห็น
จึงมาถึงที่นี้ทีเดียว.
บทว่า ปญฺจมตฺเตหิ อสฺสสเตหิ ความว่า ถ้าโจรจักปราชัย เรา
จักติดตามไปจับโจรนั้น ถ้าเราปราชัยเราจักรีบหนีไป ฉะนั้น จึงออกไปด้วย
กำลังอันเบาพร้อม. บทว่า เยน อาราโม ความว่า มาสู่พระอารามเพราะ
เหตุไร. ได้ยินว่า พระราชานั้นทรงกลัวโจร มิได้ประสงค์จะไป เพราะโจร
ทรงออกไปเพราะเกรงต่อคำครหา. เพราะฉะนั้น พระองค์จึงทรงดำริว่า เรา
จักถวายบังคมพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแล้วนั่งอยู่ พระองค์จักตรัสถามว่า พระองค์
พาพลออกมาเพราะเหตุไร ดังนี้ ที่นั้นเราจักทูลว่า ก็พระผู้มีพระภาคเจ้ามิได้

160
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก มัชฌิมนิกาย มัชฌิมปัณณาสก์ เล่ม ๒ ภาค ๒ – หน้าที่ 161 (เล่ม 21)

สงเคราะห์ข้าพระองค์ด้วยประโยชน์ในสัมปรายิกภพอย่างเดียวเท่านั้น แม้ประ-
โยชน์ในปัจจุบันก็ทรงสงเคราะห์ด้วย พระผู้มีพระภาคเจ้าจักดำริว่า ถ้าเรา
ชัยชนะก็จักทรงเฉยเสีย ถ้าเราแพ้ก็จะตรัสว่า มหาบพิตรประโยชน์อะไรด้วยการ
เสด็จมาปรารภโจรคนเดียว แต่นั้น คนก็จะเข้าใจเราอย่างนี้ว่า พระราชาเสด็จ
ออกจับโจร แต่สัมระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงห้ามเสียแล้ว ดังนี้ เล็งเห็นว่าจะพ้น
คำครหาด้วยประการฉะนี้ จึงเสด็จไปแล้ว.
ถามว่า พระราชาตรัสว่า ก่อนคุลิมาลโจรนั้นมาจากไหนเพราะเหตุไร
ตอบว่า ตรัสเพื่อทรงเข้าใจพระผู้มีพระภาคเจ้าว่า เออก็ พระผู้มีพระภาคเจ้า
ทรงตรวจดูอุปนิสัยขององคุลิมาลโจรนั้นแล้ว พึงทรงนำเขามาให้บวช. บทว่า
รญฺโญ ความว่า พระราชาเท่านั้นทรงกลัวพระองค์เดียวก็หามิได้. มหาชน
แม้ที่เหลือ ก็กลัวทิ้งโล่และอาวุธ หลีกหนีในที่เผชิญหน้านั้นเทียวเข้าเมือง
ปิดประตู ขึ้นโรงป้อม ยืนแลดู และกล่าวอย่างนี้ว่า องคุลิมาลรู้ว่า พระราชา
เสด็จมาสู่สำนักของเราดังนี้แล้ว มานั่งที่พระเชตวันก่อน พระราชาถูกองคุลิมาล
โจรนั้นจับไปแล้ว แต่พวกเรา หนีพ้นแล้ว. บทว่า นตฺถิ เต อิโต ภิยํ ความว่า
ก็บัดนี้ องคุลิมาลนี้ไม่ฆ่ามดแดง ภัยจากสำนักขององคุลิมาลนี้ ย่อมไม่มีแก่
พระองค์.
ถามว่า ท่านกล่าวด้วยบทว่า กถํ โภโต ดังนี้ เพราะเหตุไร. ตอบว่า
ท่านสำคัญอยู่ว่า การที่จะถือเอาชื่อที่เกิดขึ้นเพราะกรรมอันหยาบช้าแล้วร้อง
เรียกบรรพชิต ไม่สมควร เราจักร้องเรียกท่านด้วยสามารถแห่งโคตรของ
บิดามารดา ดังนี้ จึงถามแล้ว. บทว่า ปริกฺขารานํ ความว่า เราจักกระ
ทำการขวนขวายเพื่อประโยชน์บริกขารเหล่านั้น และพระองค์กำลังกล่าวอยู่นั่น
เทียว ก็ทรงเปลื้องผ้าสาฎกที่คาดท้องวางไว้ ณ ที่ใกล้เท้าของพระเถระ
แล้ว. ธุดงค์ ๔ ข้อมีอัน อยู่ในป่าเป็นวัตรเป็นต้นมาแล้วในพระบาลี. แต่พระ-

161
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก มัชฌิมนิกาย มัชฌิมปัณณาสก์ เล่ม ๒ ภาค ๒ – หน้าที่ 162 (เล่ม 21)

เถระได้สมาทานธุดงค์แล้วทั้ง ๑๓ ข้อทีเดียว เพราะฉะนั้น ท่านจึงกล่าวว่า อลํ
อย่าเลย ดังนี้ . ถามว่า ท่านหมายถึงอะไรจึงกล่าวว่า ยญฺหิ มยํ ภนฺเต ดังนี้.
ตอบว่า ท่านจับช้างเป็นต้นที่พระราชาส่งมาแล้วในที่ที่มาแล้วว่า เราติดตามจับ
แม้ช้างวิ่งอยู่ได้ อย่างนี้. แม้พระราชาก็ทรงส่งช้างเป็นต้น เป็นอันมาก
ไปหลายครั้งอย่างนี้ว่า จงเอาช้างไปล้อมเธอแล้วจับมา จงเอาม้าไปล้อม
จงเอารถไปล้อมแล้วจับมา. เมื่อคนเหล่านั้นไปแล้วอย่างนี้ เมื่อองคุลิมาลลุก
ขึ้นส่งเสียงว่า เฮ้ย เราองคุลิมาล แม้คนเดียวก็ไม่อาจร่ายอาวุธ. จะทุบคน
เหล่านั้นทั้งหมดฆ่าเสียแล้ว. ช้างก็เป็นช้างป่า ม้าก็เป็นม้าป่า รถก็หักแตก
ทำลายอยู่ตรงนั้นแหละ พระราชาหมายเอาเรื่องดังกล่าวมานี้ จึงตรัสอย่างนั้น.
บทว่า ปิณฺฑาย ปาวิสิ มิใช่พระองคุลิมาลเข้าไปครั้งแรก ก็คำนี้
ท่านกล่าวหมายเอาวันที่เห็นหญิง. แลพระองคุลิมาลนี้เข้าไปบิณฑบาต แม้ทุก
วันเหมือนกัน. แต่พวกมนุษย์เห็นท่านแล้วย่อมสะดุ้งบ้าง ย่อมหนีไปบ้าง
ย่อมปิดประตูบ้าง บางพวกพอได้ยินว่า องคุลิมาล ก็วิ่งหนีเข้าป่าไปบ้าง
เข้าเรือนปิดประตูเสียบ้าง. เมื่อไม่อาจหนีก็ยืนผินหลังให้. พระเถระไม่ได้แม้
ข้าวยาคูสักกระบวนหนึ่ง แม้ภัตสักทัพพีหนึ่ง ย่อมลำบากด้วยบิณฑบาต.
เมื่อไม่ได้ในภายนอกก็เข้าไปยังพระนคร ด้วยคิดว่าเมืองทั่วไปแก่คนทุกคน.
พอเข้าไปทางประตูนั้น ก็มีเหตุให้เสียงตะโกนระเบิดออกมาเป็นพัน ๆ เสียงว่า
องคุลิมาลมาแล้วๆ. บทว่า เอตทโหสิ ความว่า ได้มีแล้วเพราะความบังเกิด
ขึ้นแห่งกรุณา. เมื่อองคุลิมาลฆ่าคนอยู่ถึงพันคนหย่อนหนึ่ง (๙๙๙) ก็มิได้มี
ความกรุณาสักคนเดียว แม้ในวันหนึ่ง เพียงแต่เห็นหญิงมีครรภ์หลงแล้ว
ความกรุณาเกิดขึ้นได้อย่างไร เกิดขึ้นได้ด้วยกำลังแห่งบรรพชา. จริงอยู่ ความ
กรุณานั้นเป็นพลังแห่งบรรพชา.

162
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก มัชฌิมนิกาย มัชฌิมปัณณาสก์ เล่ม ๒ ภาค ๒ – หน้าที่ 163 (เล่ม 21)

บทว่า เตนหิ ความว่า เพราะเหตุที่ท่านเกิดความกรุณานั้น. บทว่า
อรยาย ชาติยา ความว่า ดูก่อนองคุลิมาล ท่านอย่าถือเอาเหตุนั้นเลย นั่น
ไม่ใช่ชาติของท่าน นั่นเป็นเวลาเมื่อเป็นคฤหัสถ์ ธรรมดาคฤหัสถ์ย่อมฆ่าสัตว์.
บ้าง ย่อมกระทำอทินนาทานเป็นต้นบ้าง. แต่บัดนี้ ชาติของท่านชื่อว่า อริยชาติ.
เพราะฉะนั้น ท่านถ้ารังเกียจจะพูดอย่างนี้ว่า ยโต อหํ ภคินิ ชาโต ไซร้
เพราะเหตุนั้นแหละ จึงทรงส่งไปแล้วด้วยพระดำรัสว่า ท่านจงกล่าวให้ต่าง
ออกไปอย่างนี้ว่า อริยาย ชาติยา ดังนี้.
คำว่า ตํ อิตฺถึ เอวํ อวจ ความว่า ธรรมดาการตลอดบุตร ของหญิง
ทั้งหลาย ผู้ชายไม่ควรจะเข้าไป พระเถระกระทำอะไร จึงบอกว่า พระองคุลิมาล
เถระนากระทำสัจจกิริยาเพื่อตลอดโดยสวัสดี. แต่นั้น ชนเหล่านั้นจึงกั้นม่านปูลาด
ตั่งไว้ภายนอกม่าน สำหรับพระเถระ. พระเถระนั่งบนตั่งนั้น กระทำสัจจกิริยาว่า
ยโต อหํ ภคินิ สพฺพญฺญูพุทฺธสฺส อริยาย ชาติยา ชาโต ดูก่อนน้องหญิง
จำเดิมแต่เราเกิดโดยอริยชาติแห่งพระสัพพัญญูพุทธเจ้า ทารกก็ออกมาดุจน้ำ
ไหลจากธรมกรก พร้อมกับกล่าวคำสัตย์นั่นเที่ยว. ทั้งมารดาทั้งบุตรมีความ
สวัสดีแล้ว. ก็แลพระปริตรนี้ท่านกล่าวไว้ว่า นี้ชื่อว่า มหาปริต. จะไม่มี
อันตรายไร ๆ มาทำลายได้. ชนทั้งหลายได้กระทำตั่งไว้ตรงที่ที่พระเถระ
นั่งกระทำสัจจกิริยา. ชนทั้งหลายย่อมนำแม้ดิรัจฉานตัวเมียที่มีครรภ์หลงมาให้
นอนที่ตั่งนั้น. ในทันใดนั้นเอง ก็ตลอดออกได้โดยง่าย. ตัวใดทุรพลนำมาไม่ได้
ก็เอาน้ำล้างตั่งนั้นไปรดศีรษะ ก็คลอคออกได้ในขณะนั้นทีเดียว. แม้โรคอย่าง
อื่นก็สงบไป. ได้ยินว่า พระมหาปริตรนี้มีปาฏิหาริย์ตั้งอยู่ตลอดกัป.

163
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก มัชฌิมนิกาย มัชฌิมปัณณาสก์ เล่ม ๒ ภาค ๒ – หน้าที่ 164 (เล่ม 21)

ถามว่า ก็พระผู้มีพระภาคเจ้าย่อมให้พระเถระทำเวชกรรมหรือ. ตอบว่า
พระองค์มิได้ให้กระทำ. เพราะพวกมนุษย์พอเห็นพระเถระก็กลัวต่างหนี
กันไป. พระเถระย่อมลำบากด้วยภิกษาหาร ย่อมไม่อาจกระทำสมณธรรมได้.
ทรงให้กระทำสัจจกิริยา เพราะจะสงเคราะห์พระเถระนั้น.
ดังได้สดับมาว่า พระผู้มีพระภาคเจ้านั้นได้มีปริวิตกอย่างนี้ว่า บัดนี้
พระองคุลิมาลเถระกลับได้เมตตาจิต กระทำความสวัสดีให้แก่พวกมนุษย์ด้วย
สัจจกิริยา ฉะนั้น พวกมนุษย์ย่อมสำคัญว่าควรเข้าไปหาพระเถระ ต่อแต่นั้น
จักไม่ลำบากด้วยภิกษาหาร อาจกระทำสมณธรรมได้ จึงให้กระทำสัจจกิริยา
เพราะทรงอนุเคราะห์ด้วยประการฉะนี้. สัจจกิริยามิใช่เป็นเวชกรรม. อนึ่ง
เมื่อพระเถระเรียนมูลกัมมัฏฐานด้วยตั้งใจว่า จักกระทำสมณธรรมแล้วไปนั่ง ณ
ที่พักกลางคืนและที่พักกลางวัน จิตก็จะไม่ดำเนินไปเฉพาะพระกัมมัฏฐาน.
ย่อมปรากฏเฉพาะแต่ที่ที่ท่านยืนที่ดงแล้ว ฆ่าพวกมนุษย์เท่านั้น. อาการแห่ง
ถ้อยคำก็ดี ความวิการแห่งมือและเท้าก็ดี ของตนที่กลัวความตายว่า ข้าพเจ้า
เป็นคนเข็ญใจ ข้าพเจ้ายังมีบุตรเล็ก ๆ อยู่ โปรดให้ชีวิตแก่ข้าพเจ้าเถิดนาย
ดังนี้ ย่อมมาสู่คลอง มโนทวาราวัชชนะ. ท่านจะมีความเดือนร้อน ต้องลุก
ไปเสียจากที่นั้น. ที่นั้นพระผู้มีพระภาคเจ้าให้กระทำสัจจกิริยาโดยอริยชาติ
ด้วยทรงเล็งเห็นว่า พระองคุลิมาลต้องกระทำชาตินั้นให้เป็นอัพโพหาริกเสียก่อน
แล้วเจริญวิปัสสนา จึงจักบรรลุพระอรหัตต์ได้. บทว่า เอโก วูปกฏฺโฐ เป็น
ต้น กล่าวไว้พิสดารแล้วในวัตถสูตร. บทว่า อญฺเญนปิ เลฑฺฑุขิตฺโต
ความว่า ก้อนดินเป็นต้นที่คนซัดไปโดยทิศาภาคใด ๆ ก็ตาม ในที่นี้เพียง
ล้อมไว้โดยรอบ เพื่อกันกาสุนัขและสุกรเป็นต้น ให้กลับ ไป ก็มาตกลงที่กาย
ของพระเถระอยู่อีก. เป็นอยู่อย่างนี้ในที่มีประมาณเท่าไร บ่วงแร้วที่ดักไว้ยัง
อยู่ จนท่านเที่ยวบิณฑบาตลับแล้วก็สวมบ่วงจนได้.

164
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก มัชฌิมนิกาย มัชฌิมปัณณาสก์ เล่ม ๒ ภาค ๒ – หน้าที่ 165 (เล่ม 21)

บทว่า ภินฺเนน สีเสน ความว่า ทำลายหนังกำพร้าแตกจนจดกระดูก.
บทว่า พฺราหฺมณ ท่านกล่าวหมายถึงความเป็นพระขีณาสพ. บทว่า ยสฺส โข
ตฺวํ พฺราหฺมณ กมฺมสฺส วิปาเกน นี้ ท่านกล่าวหมายเอาทิฏฐธรรมเวทนีย
กรรมที่เป็นสภาคกัน . จริงอยู่กรรมที่ท่านกระท่านั่นแหละย่อมยังส่วนทั้งสามให้
เต็ม ในบรรดาจิต ๗ ดวง ชวนจิตดวงแรกเป็นกุศลหรืออกุศล ก็ย่อมชื่อว่า
ทิฏฐธรรมเวทนียกรรม. กรรมนั้น ย่อมให้ซึ่งวิบากในอัตภาพนี้เท่านั้น.
เมื่อไม่อาจเช่นนั้น ย่อมชื่อว่าเป็นอโหสิกรรมไป ด้วยหมวดสามนี้คือ อโหสิ-
กรรม (นาโหสิ กมฺมวิปาโก) กรรมวิบากไม่ได้มีแล้ว (น ภวิสฺสติ กมฺม
วิปาโก) กรรมวิบากจักไม่มี (นตฺถิ กมฺมวิปาโก) ไม่มีกรรมวิบาก. ชวน
เจตนาดวงที่ ๗ อันให้สำเร็จประโยชน์ ชื่อว่า อุปปัชชเวทนียกรรม. กรรมนั้น
ย่อมให้ผลในอัตภาพถัดไป. เมื่อไม่อาจเช่นนั้น กรรมนั้นก็ชื่อว่าเป็นอโหสิ-
กรรม โดยนัยที่กล่าวแล้วนั่นเทียว. ชวนเจตนา ๕ ดวง ในระหว่างกรรมทั้ง
สอง ย่อมชื่อว่า อปราปริยเวทนียกรรม. กรรมนั้น ย่อมได้โอกาสเมื่อใด
ย่อมให้ผลเมื่อนั้นในอนาคต. เมื่อยังมีการเวียนว่ายอยู่ในสงสาร ชื่อว่าอโหสิ-
กรรมย่อมไม่มี. ก็กรรมทั้ง ๒ เหล่านี้ ของพระเถระคือ อุปปัชชเวทนียกรรม ๑
อปราปริยเวทนียกรรม ๑ อันพระอรหัตตมรรคตัวกระทำกรรมให้สิ้นถอนขึ้น
เสร็จแล้ว. ยังมีแต่ทิฏฐธรรมเวทนียกรรม. กรรมนั้นแม้ท่านถึงพระอรหัตต์
แล้ว ก็ยังให้ผลอยู่นั่นเทียว. พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงหมายถึงกรรมนี้ จึง
ตรัสว่า ยสฺส โข ตฺวํ เป็นต้น. เพราะฉะนั้น ในคำว่า ยสฺส โข นี้ พึง
ทราบเนื้อความอย่างนี้ว่า ยาทิสสฺส โข ตฺวํ พฺราหฺมณ กมฺมสฺส วิปาเกน
ดูก่อนพราหมณ์ ด้วยผลแห่งกรรมเช่นใดแลท่าน.

165