No Favorites




หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก มัชฌิมนิกาย มัชฌิมปัณณาสก์ เล่ม ๒ ภาค ๒ – หน้าที่ 146 (เล่ม 21)

พระดำเนินด้วยพระบาทเข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคเจ้าถึงที่ประทับ ครั้นแล้ว
ถวายบังคมพระผู้มีพระภาคเจ้าประทับนั่ง ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง.
[๕๒๗] พระผู้มีพระภาคเจ้าได้ตรัสกะพระเจ้าปเสนทิโกศลผู้ประทับ
นั่ง ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่งแล้วว่า ดูก่อนมหาบพิตร พระเจ้าแผ่นดินมคธ
จอมเสนา ทรงพระนามว่า พิมพิสาร ทรงทำให้พระองค์ทรงขัดเคืองหรือหนอ
หรือเจ้าลิจฉวี เมืองเวสาลี หรือว่าพระราชาผู้เป็นปฏิปักษ์เหล่าอื่น.
พระเจ้าปเสนทิโกศลกราบทูลว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ พระเจ้า
แผ่นดินมคธ จอมเสนาทรงพระนามว่า พิมพิสาร มิได้ทรงทำหม่อมฉันให้
ขัดเคือง แม้เจ้าลิจฉวีเมืองเวสาลี ก็มิได้ทรงทำให้หม่อมฉันขัดเคือง แม้
พระราชาที่เป็นปฏิปักษ์เหล่าอื่น ก็มิได้ทำให้หม่อมฉันขัดเคือง ข้าแต่พระองค์
ผู้เจริญในแว่นแคว้นของหม่อมฉัน มีโจรชื่อว่าองคุลิมาล เป็นคนหยาบช้า
มีฝ่ามือเปื้อนเลือด ปักใจในการฆ่าตี ไม่มีความกรุณาในสัตว์ทั้งหลาย
องคุลิมาลโจรนั้น กระทำบ้านไม่ไห้เป็นบ้านบ้าง กระทำนิคมไม่ให้เป็นนิคมบ้าง
กระทำชนบทไม่ให้เป็นชนบทบ้าง เขาเช่นฆ่าพวกมนุษย์แล้วเอานิ้วมือร้อย
เป็นพวงทรงไว้ หม่อมฉันจักกำจัดมันเสีย.
ภ. ดูก่อนมหาราช ถ้ามหาบพิตรพึงทอดพระเนตรองคุลิมาลผู้ปลงผม
และหนวด นุ่งห่มผ้ากาสายะ ออกจากเรือนบวชเป็นบรรพชิต เว้นจากการ
ฆ่าสัตว์ เว้นจากการลักทรัพย์ เว้นจากการพูดเท็จ ฉันภัตตาหารหนเดียว
ประพฤติพรหมจรรย์ มีศีล มีกัลยาณธรรม มหาบพิตรจะพึงทรงกระทำ
อย่างไรกะเขา.
ป. ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ หม่อมฉันพึงไหว้ พึงลุกรับ พึงเชื้อเชิญ
ด้วยอาสนะ พึงบำรุงเข้าด้วยจีวร บิณฑบาต เสนาสนะและคิลานปัจจัยเภสัช
บริขารหรือพึงจัดการรักษาป้องกันคุ้มครองอย่างเป็นธรรม ข้าแต่พระองค์

146
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก มัชฌิมนิกาย มัชฌิมปัณณาสก์ เล่ม ๒ ภาค ๒ – หน้าที่ 147 (เล่ม 21)

ผู้เจริญ แต่องคุลิมาลโจรนั้น เป็นคนทุศีล มีบาปธรรม จักมีความสำรวม
ด้วยศีลเห็นปานนี้ แต่ที่ไหน.
[๕๒๘] ก็สมัยนั้น ท่านพระองคุลิมาลนั่งอยู่ไม่ไกลพระผู้มีพระภาค
เจ้า. พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงยกพระหัตถ์เบื้องขวาขึ้นชี้ตรัส บอกพระเจ้าปเสน-
ทิโกศลว่า ดูก่อนมหาบพิตร นั่นองคุลิมาล. ลำดับนั้นพระเจ้าปเสนทิโกศล
ทรงมีความกลัว ทรงหวาดหวั่น พระโลมชาติชูชันแล้ว. พระผู้มีพระภาคเจ้า
ทรงทราบว่า พระเจ้าปเสนทิโกศลทรงกลัว ทรงหวาดหวั่น มีพระโลมชาติ
ชูชันแล้ว จึงได้ตรัสกะพระเจ้าปเสนทิโกศลว่า อย่าทรงกลัวเลย มหาบพิตร
อย่าทรงกลัวเลย มหาบพิตร ภัยแต่องคุลิมาลนี้ไม่มีแก่มหาบพิตร. ครั้งนั้น
พระเจ้าปเสนทิโกศลทรงระงับความกลัว ความหวาดหวั่น หรือโลมชาติชูชัน
ได้แล้ว จึงเสด็จเข้าไปหาท่านองคุลิมาลถึงที่อยู่ ครั้นแล้วได้ตรัสกะท่าน
องคุลิมาลว่า ท่านผู้เจริญ พระองคุลิมาลผู้เป็นเจ้าของเรา.
ท่านพระองคุลิมาลถวายพระพรว่า อย่างนั้น มหาบพิตร.
ป. บิดาของพระผู้เป็นเจ้ามีโคตรอย่างไร มารดาของพระผู้เป็นเจ้า
มีโคตรอย่างไร.
อ. ดูก่อนมหาบพิตร บิดาชื่อ คัคคะ มารดาชื่อ มันตานี.
ป. ท่านผู้เจริญ ขอพระผู้เป็นเจ้าคัคคะมันตานีบุตร จงอภิรมย์เถิด
ข้าพเจ้าจักทำความขวนขวาย เพื่อจีวร บิณฑบาต เสนาสนะและคิลานปัจจัย-
เภสัชบริขาร แก่พระผู้เป็นเจ้าคัคคะมันตานีบุตร.
ก็สมัยนั้น ท่านองคุลิมาล ถือการอยู่ในป่าเป็นวัตร ถือเที่ยวบิณฑ-
บาตเป็นวัตร ถือผ้าบังสุกุลเป็นวัตร ถือผ้าสามผืนเป็นวัตร. ครั้งนั้น ท่าน
องคุลิมาลได้ถวายพระพรพระเจ้าปเสนทิโกศลว่า อย่าเลย มหาบพิตร ไตรจีวร
ของอาตมภาพบริบูรณ์แล้ว.

147
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก มัชฌิมนิกาย มัชฌิมปัณณาสก์ เล่ม ๒ ภาค ๒ – หน้าที่ 148 (เล่ม 21)

ทูลลากลับ
[๕๒๙] ครั้งนั้น พระเจ้าปเสนทิโกศลเสด็จเข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระ
ภาคเจ้าถึงที่ประทับ ถวายบังคมพระผู้มีพระภาคเจ้าแล้วจึงประทับนั่ง ณ ที่ควร
ส่วนข้างหนึ่ง แล้วได้กราบทูลว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ น่าอัศจรรย์นัก
ไม่เคยมีมา ที่พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงทรมานได้ซึ่งบุคคลที่ใคร ๆ ทรมานไม่ได้
ทรงยังบุคคลที่ใคร ๆ ให้สงบไม่ได้ ให้สงบได้ ทรงยังบุคคลที่ใคร ๆ ให้ดับ
ไม่ได้ ให้ดับได้ เพราะว่าหม่อมฉันไม่สามารถจะทรมานผู้ใดได้ แม้ด้วย
อาชญา แม้ด้วยศาสตรา ผู้นั้นพระผู้มีพระภาคเจ้าทรงทรมานได้โดยไม่ต้องใช้
อาชญา ไม่ต้องใช้ศาสตรา ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ หม่อมฉันขอทูลลาไปใน
บัดนี้ หม่อมฉันมีกิจมาก มีกรณียะมาก พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า ขอมหา-
บพิตรจงทรงทราบกาลอันควรในบัดนี้เถิด ลำดับนั้น พระเจ้าปเสนทิโกศ
เสด็จลุกจากที่ประทับ ถวายบังคมพระผู้มีพระภาคเจ้าแล้ว เสด็จหลีกไป.
[๕๓๐] ครั้งนั้น เวลาเช้า ท่านพระองคุลิมาลครองอันตรวาสกแล้ว
ถือบาตรและจีวรเข้าไปบิณฑบาตยังพระนครสาวัตถี. กำลังเที่ยวบิณฑบาต
ตามลำดับตรอกอยู่ในพระนครสาวัตถี ได้เห็นสตรีคนหนึ่งมีครรภ์แก่หนัก
ครั้นแล้วได้มีความดำริว่า สัตว์ทั้งหลายย่อมเศร้าหมองหนอ สัตว์ทั้งหลายย่อม
เศร้าหมองหนอ ดังนี้. ครั้งนั้น ท่านพระองคุลิมาลเที่ยวบิณฑบาตในพระ-
นครสาวัตถี เวลาปัจฉาภัตกลับจากบิณฑบาตแล้ว เข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคเจ้า
ถึงที่ประทับ ถวายบังคมพระผู้มีพระภาคเจ้าแล้วนั่ง ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง
ครั้นแล้วได้กราบทูลว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ขอประทานพระวโรกาส
เวลาเช้า ข้าพระองค์ครองอันตรวาสกแล้ว ถือบาตรและจีวรเข้าไปบิณฑบาต
ยังพระนครสาวัตถี กำลังเที่ยวบิณฑบาตตามลำดับตรอกอยู่ในพระนคร

148
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก มัชฌิมนิกาย มัชฌิมปัณณาสก์ เล่ม ๒ ภาค ๒ – หน้าที่ 149 (เล่ม 21)

สาวัตถี ได้เห็นสตรีคนหนึ่งมีครรภ์แก่หนัก ครั้นแล้วได้มีความดำริว่า สัตว์
ทั้งหลายย่อมเศร้าหมองหนอ ดังนี้.
[๕๓๑] พระผู้มีพระภาคเจ้าจึงตรัสว่า ดูก่อนองคุลิมาล ถ้าอย่างนั้น
เธอจงเข้าไปหาสตรีนั้นแล้วกล่าวกะสตรีนั้นอย่างนี้ว่า ดูก่อนน้องหญิง ตั้งแต่
เราเกิดมาแล้วจะได้รู้สึกว่าแกล้งปลงสัตว์จากชีวิตหามิได้ ด้วยสัจจวาจานี้
ขอความสวัสดีจงมีแก่ท่าน ขอความสวัสดีจงมีแก่ครรภ์ของท่านเถิด.
ท่านพระองคุลิมาลกราบทูลว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ก็อาการนั้น
จักเป็นอันข้าพระองค์กล่าวเท็จทั้งรู้อยู่เป็นแน่ เพราะข้าพระองค์แกล้งปลงสัตว์
เสียจากชีวิตเป็นอันมาก.
ภ. ดูก่อนองคุลิมาล ถ้าอย่างนั้น เธอจงเข้าไปหาสตรีนั้น แล้ว
กล่าวกะสตรีนั้นอย่างนี้ว่า ดูก่อนน้องหญิง ตั้งแต่เราเกิดแล้วในอริยชาติ จะได้
รู้สึกว่าแกล้งปลงสัตว์เสียจากชีวิตหามิได้ ด้วยสัจจวาจานี้ ขอความสวัสดีจงมี
แก่ท่าน ขอความสวัสดีจงมีแก่ครรภ์ของท่านเถิด.
พระองคุลิมาลทูลรับพระผู้มีพระภาคเจ้าแล้ว เข้าไปหาหญิงนั้นถึงที่อยู่
ครั้นแล้วได้กล่าวกะหญิงนั้นอย่างนี้ว่า ดูก่อนน้องหญิง ตังแต่เวลาที่ฉัน
เกิดแล้วในอริยชาติ จะแกล้งปลงสัตว์จากชีวิตทั้งรู้หามิได้ ด้วย
สัจจวาจานี้ ขอความสวัสดีจงมีแก่ท่าน ขอความสวัสดีจงมีแก่ครรภ์
ของท่านเถิด.
ครั้งนั้น ความสวัสดีได้มีแก่หญิง ความสวัสดีได้มีแก่ครรภ์ของหญิง
แล้ว.
พระองคุลิมาลบรรลุพระอรหัตต์
[๕๓๒] ครั้งนั้นท่านพระองคุลิมาล หลีกออกจากหมู่อยู่แต่ผู้เดียว
เป็นผู้ไม่ประมาท มีความเพียร มีตนส่งไปแล้วอยู่ไม่นานนัก ก็กระทำให้แจ้ง

149
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก มัชฌิมนิกาย มัชฌิมปัณณาสก์ เล่ม ๒ ภาค ๒ – หน้าที่ 150 (เล่ม 21)

ซึ่งที่สุดพรหมจรรย์อันไม่มีธรรมอื่นยิ่งกว่าที่กุลบุตรทั้งหลายผู้ออกจาจเรือนบวช
เป็นบรรพชิตต้องการ ด้วยปัญญาอันยิ่งเองในปัจจุบันแล้วเข้าถึงอยู่ ได้รู้ชัดว่า
ชาติสิ้นแล้วพรหมจรรย์อยู่จบแล้ว กิจที่ควรทำทำเสร็จแล้ว กิจอื่นเพื่อความ
เป็นอย่างนี้อีกมิได้มีดังนี้. ก็ท่านพระองคุลิมาลได้เป็นอรหันต์องค์หนึ่งใน
จำนวนพระอรหันต์ทั้งหลาย.
[๕๓๓] ครั้งนั้น เวลาเช้า ท่านพระองคุลิมาลนุ่งแล้ว ถือบาตรและ
จีวร เข้าไปบิณฑบาตในพระนครสาวัตถี. ก็เวลานั้นก้อนดิน... ท่อนไม้...
ก้อนกรวดที่บุคคลขว้างไปแม้โดยทางอื่นก็มาตกลงที่กายของท่านพระองคุลิมาล.
ท่านพระองคุลิมาลศีรษะแตก โลหิตไหล บาตรก็แตก ผ้าสังฆาฏิก็ฉีกขาด
เข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคเจ้าถึงที่ประทับ. พระผู้มีพระภาคเจ้าได้ทอดพระเนตร
ท่านพระองคุลิมาลเดินมาแต่ไกล ครั้นแล้วได้ตรัสกะท่านพระองคุลิมาลว่า
เธอจงอดกลั้นไว้เถิดพราหมณ์ เธอจงอดกลั้นไว้เถิดพราหมณ์ เธอได้เสวย
ผลกรรมซึ่งเป็นเหตุจะให้เธอพึงหมกไหม้อยู่ในนรกตลอดปีเป็นอันมาก ตลอด
ร้อยปีเป็นอันมาก ตลอดพันปีเป็นอัน มาก ในปัจจุบันนี้เท่านั้น.
พระองคุลิมาลอุทาน
[๕๓๔] ครั้งนั้น ท่านพระองคุลิมาลไปในที่ลับเร้นอยู่ เสวยวิมุตติสุข
เปล่งอุทานนี้ในเวลานั้นว่า
ผู้ใด เมื่อก่อนประมาท ภายหลัง
ผู้นั้นไม่ประมาท เขาย่อมยังโลกนี้ให้สว่าง
ดังพระจันทร์ซึ่งพ้นแล้วจากเมฆ ฉะนั้น
ผู้ใดทำกรรมอันเป็นบาปแล้ว ย่อมปิดเสีย
ได้ด้วยกุศล ผู้นั้นย่อมยังโลกนี้ให้สว่าง

150
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก มัชฌิมนิกาย มัชฌิมปัณณาสก์ เล่ม ๒ ภาค ๒ – หน้าที่ 151 (เล่ม 21)

ดุจพระจันทร์ซึ่งพ้นแล้วจากเมฆ ฉะนั้น
ภิกษุใดแล ยังเป็นหนุ่ม ย่อมขวนขวาย
ในพระพุทธศาสนา ภิกษุนั้นย่อมยังโลกนี้
ให้สว่าง ดุจพระจันทร์ซึงพ้นแล้วจากเมฆ
ฉะนั้น.
ขอศัตรูทั้งหลายของเราจงพึงธรรม
กถาเถิด ขอศัตรูทั้งหลายของเราจงขวน-
ขวายในพระพุทธศาสนาเถิด อมนุษย์
ทั้งหลายที่เป็นศัตรูของเรา จงคบสัตบุรุษ
ผู้ชวนให้ถือธรรมเถิด.
ขอจงคบความผ่องแผ่ว คือ ขันติ
ความ สรรเสริญ คือ เมตตาเถิดขอจงพึง
ธรรมตามกาล และจงกระทำตามธรรมนั้น
เถิด ผู้ที่เป็นศัตรูนั้น ไม่พึงเบียดเบียนเรา
หรือใคร ๆ อื่นนั้นเลย ผู้ถึงความสงบ
อย่างยิ่งแล้วพึงรักษาไว้ซึงสัตว์ที่สะดุ้งและ
ที่มั่นคง
คนทดน้ำย่อมชักนำไปได้ ช่างศร
ย่อมดัดลูกศรได้ ช่างถากย่อมถากไม้ได้
ฉันใด บัณฑิตทั้งหลายย่อมทรมานตนได้
ฉันนั้น

151
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก มัชฌิมนิกาย มัชฌิมปัณณาสก์ เล่ม ๒ ภาค ๒ – หน้าที่ 152 (เล่ม 21)

คนบางพวกย่อมฝึกสัตว์ ด้วยท่อน
ไม้บ้าง ด้วยขอบ้าง ด้วยแส้บ้าง เราเป็น
ผู้ที่พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงฝึกแล้วโดยไม่
ต้องใช้อาชญาไม่ต้องใช้ศาสตรา เมื่อก่อน
เรามีชื่อว่าอหิงสกะ แต่ยังเบียดเบียนสัตว์
อยู่ วันนิเรามีชื่อตรงความจริงเราไม่เบียด
เบียนใคร ๆ เลย เมื่อก่อน เราเป็นโจร
ปรากฏชื่อว่าองคุลิมาล ถูกกิเลสดุจห้วง
น้ำใหญ่พัดไป มาถึงพระพุทธเจ้าเป็น
สรณะแล้ว เมื่อก่อนเรามีมือเปื้อนเลือด
ปรากฏชื่อว่า องคุลิมาล ถึงพระพุทธเจ้า
เป็นสรณะ จึงถอนตัณหาอันจะนำไปสู่ภพ
เสียได้ เรากระทำกรรมที่จะให้ถึงทุคติ
เช่นนั้นไว้มาก อันวิบากของกรรมถูกต้อง
แล้ว เป็นผู้ไม่มีหนี้ บริโภคโภชนะ พวก
ชนที่เป็นพาลทรามปัญญา ย่อมประกอบ
ตามซึ่งความประมาท ส่วนนักปราชญ์ทั้ง
หลาย ย่อมรักษาความไม่ประมาทไว้
เหมือนทรัพย์อันประเสริญ ฉะนั้น ท่าน
ทั้งหลายจงอย่าประกอบตามซึ่งความประ-
มาท อย่าประกอบตามความชิดชมด้วย
สามารถความยินดีในกาม เพราะว่าผู้ไม่
ประมาทแล้ว เพ่งอยู่ ย่อมถึงความสุขอัน

152
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก มัชฌิมนิกาย มัชฌิมปัณณาสก์ เล่ม ๒ ภาค ๒ – หน้าที่ 153 (เล่ม 21)

ไพบูลย์ การที่เรามาสู่พระพุทธศาสนานี้
นั้นเป็นการมาดีแล้วไม่ปราศจากประโยชน์
ไม่เป็นการคิดผิด บรรดาธรรมทิพระผู้มี
พระภาคเจ้าทรงจำแนกไว้ดีแล้ว เราก็ได้
เข้าถึงธรรมอันประเสริฐสุดแล้ว (นิพพาน)
การที่เราได้เข้าถึงธรรมอันประเสริฐสุดนี้
นั้น เป็นการถึงดีแล้ว ไม่ปราศจาก
ประโยชน์ ไม่เป็นการคิดผิด วิชชา ๓
เราบรรลุแล้ว คำสอนของพระพุทธเจ้า
เรากระทำแล้วดังนี้.
จบ อังคุลิมาลสูตรที่ ๖

153
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก มัชฌิมนิกาย มัชฌิมปัณณาสก์ เล่ม ๒ ภาค ๒ – หน้าที่ 154 (เล่ม 21)

อรรถกถาอังคุลิมาลสูตร
อังคุลิมาลสูตรมีคำเริ่มต้นว่า ข้าพเจ้าได้สดับมาอย่างนี้ :-
ถามว่า ในพระสูตรนั้น คำว่า ทรงระเบียบแห่งนิ้วมือ ทรงไว้เพราะ
เหตุไร. ตอบว่าทรงไว้ตามคำของอาจารย์. ในข้อนั้น มีอนุปุพพิกถาดังต่อไปนี้.
ได้ยินว่า พระองคุลิมาลนี้ ได้ถือปฏิสนธิในครรภ์แห่งนางพราหมณี
ชื่อ มันตานี แห่งปุโรหิตของพระเจ้าโกศล. นางพราหมณีได้คลอดบุตรออก
ในเวลากลางคืน. ในเวลาที่อังคุลิมาลนั้นคลอดออกจากครรภ์มารดา อาวุธทั้ง
หลายในนครทั้งสิ้นช่วงโชติขึ้น. แม้พระแสงที่เป็นมงคลของพระราชาแม้กระทั่ง
ฝักดาบ ที่อยู่ในห้องพระบรรทมอันเป็นศิริรุ่งเรือง. พราหมณ์จึงลุกออกมา
แหงนดูดาวนักษัตร ก็รู้ว่าบุตรเกิดโดยดาวฤกษ์โจร จึงเข้าเฝ้าพระราชาทูล
ถามถึงความบรรทมอัน เป็นสุข.
พระราชาตรัสว่า ท่านอาจารย์ เราจะนอนเป็นสุขอยู่ได้แต่ไหน
อาวุธที่เป็นมงคลของเราส่องแสงรุ่งเรือง เห็นจะมีอันตรายแก่รัฐหรือแก่ชีวิต.
ปุโรหิตทูลว่า ข้าแต่มหาราช อย่าทรงกลัวเลย กุมารเกิดแล้วในเรือนของ
หม่อนฉัน อาวุธทั้งหลายมิใช่จะรุ่งเรืองด้วยอานุภาพของกุมารนั้น. จักมี
เหตุอะไร ท่านอาจารย์. ข้าแต่พระมหาราชเจ้า เขาจักเป็นโจร เขาจะเป็นโจร
คนเดียวหรือว่าจะเป็นโจรประทุษร้ายราชสมบัติ. เขาจะเป็นโจรธรรมดาคนเดียว
พะยะค่ะ. ก็แลปุโรหิตครั้นทูลอย่างนั้นแล้ว เพื่อจะเอาพระทัยพระราชา
จึงทูลว่า จงฆ่ามันเสียเถอะ พระเจ้าค่ะ. พระราชา. เป็นโจรธรรมดาคนเดียว
จักทำอะไรได้ เหมือนรวงข้าวสาลีรวงเดียว ในนาตั้งพันกรีส จงบำรุงเขาไว้
เถอะ. เมื่อจะตั้งชื่อกุมารนั้น สิ่งของเหล่านี้คือ ฝักดาบอันเป็นมงคลที่วางไว้

154
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก มัชฌิมนิกาย มัชฌิมปัณณาสก์ เล่ม ๒ ภาค ๒ – หน้าที่ 155 (เล่ม 21)

ณ ที่นอน ลูกศรที่วางไว้ที่มุม มีดน้อยสำหรับตัดขั้วตาลซึ่งวางไว้ในปุยฝ้าย
ต่างโพลงขึ้นส่องแสงแต่ไม่เบียดเบียนกัน ฉะนั้น จึงตั้งชื่อว่า อหิงสกะ. พอ
เวลาจะให้เรียนศิลปะก็ส่งเขายังเมืองตักกสิลา. อหิงสกะกุมารนั้น เป็นธัมมัน
เตวาสิก เริ่มเรียนศิลปะแล้ว. เป็นคนถึงพร้อมด้วยวัตร ตั้งใจคอยรับใช้
ประพฤติเป็นที่พอใจ พูดจาไพเราะ. ส่วนอันเตวาสิกที่เหลือ เป็นอันเตวาสิก
ภายนอก. อันเตวาสิกเหล่านั้น นั่งปรึกษากันว่า จำเดิมแต่เวลาที่อหิงสกมาณพ
มา พวกเราไม่ปรากฏเลย เราจะทำลายเขาได้อย่างไร จะพูดว่าเป็นคนโง่ ก็
พูดไม่ได้ เพราะมีปัญญายิ่งกว่าทุกคน จะว่ามีวัตรไม่ดีก็ไม่อาจพูด เพราะเป็นผู้
สมบูรณ์ด้วยวัตร จะว่ามีชาติต่ำ ก็พูดไม่ได้ เพราะสมบูรณ์ด้วยชาติ พวก
เราจักทำอย่างไรกัน ขณะนั้นปรึกษากับคนมีความคิดเฉียบแหลมคนหนึ่งว่า
เราจะกระทำช่องของอาจารย์ทำลายเขาเสีย แบ่งเป็นสามพวก พวกแรกต่างคน
ต่างเข้าไปหาอาจารย์ไหว้แล้วยืนอยู่. อาจารย์ถามว่า อะไรพ่อ. ก็บอกว่าพวก
กระผมได้ฟังเรื่องหนึ่งในเรือนนี้. เมื่ออาจารย์ถามว่า อะไรพ่อ. ก็กล่าวว่า
พวกเราทราบว่า อหิงสกมาณพจะประทุษร้ายระหว่างท่านอาจารย์. อาจารย์จึง
ก็ตะคอกไล่ออกมาว่า ออกไป เจ้าถ่อย เจ้าอย่าทำลายบุตรของเราในระหว่างเรา
เสียเลย. ต่อแต่นั้น ก็ไปอีกพวกหนึ่ง แต่นั้น ก็อีกพวกหนึ่ง ทั้งสามพวก
มากล่าวทำนองเดียวกัน แล้วก็กล่าวว่า เมื่ออาจารย์ไม่เชื่อพวกข้าพเจ้า ก็จง
ใคร่ครวญรู้เอาเองเถิด ดังนี้. ท่านอาจารย์เห็นศิษย์ทั้งหลายกล่าวว่าด้วยความ
ห่วงใย จึงตัดสินใจว่า เห็นจะมีความจริง จึงคิดว่า เราจะฆ่ามันเสีย.
ต่อไปจึงคิดอีกว่า ถ้าเราฆ่ามัน ใคร ๆ ที่คิดว่าท่านอาจารย์ทิสา
ปาโมกข์ ยังโทษให้เกิดขึ้นในมาณพผู้มาเรียนศิลปะยังสำนักของตนแล้ว ปลง
ชีวิตเสีย ดังนี้ ก็จักไม่มาเพื่อเล่าเรียนศิลปะอีก ด้วยอาการอย่างนี้ เราก็จะ
เสื่อมลาภ อย่ากระนั้นเลย เราจะบอกมันว่า ยังมีคำสำหรับศิลปะ วิชา ขั้น

155